Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทท่ี 7 พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร, สาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบแบบเฉีย…
บทท่ี 7 พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร
สรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร
2.กระบวนการเมตาบอลิซึม
2.1 ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
2.2 การดูดซึมอาหารในลาไส้เล็ก
2.3 การดูดซึมในลาไส้ใหญ่
ภาวะโภชนาการที่ผิดปกติ
1.ภาวะทพุโภชนาการ(Malnutrition)เป็นภาวะท่ีร่างกายไดร้บัสารอาหารในปริมาณท่ีไม่ ถูกต้องเป็นเวลานานๆส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจแบ่งเป็น3ประเภท
ภาวะที่มีโภชนาการเกิน (Overnutrition) ได้แก่โรคอ้วน
ภาวะขาดสารอาหาร (Under nutrition or nutritional deficiency) ได้เเก่
2.1 การขาดโปรตีนและพลังงาน ได้แก่ Kwashiorkor ขาดสารอาหารโปรตีน Marasmus ขาดพลงังานและโปรตีน
2.2 Anorexia nervosa and bulimia
ภาวะขาดวิตามิน ได้แก่ โรคขาดวิตามินเอ ทำให้ตาบอดกลางคืน โรคขาดวิตามินบีหนึ่งเกิดโรค เหน็บชาโรคขาดวิตามินบีสองเกิดโรคปากนกกระจอกโรคขาดวิตามินซีเกิดโรคลักปิดลักเปิดโรคขาด ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรสัจะเป็นโรคกระดกูอ่อนโรคขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจางโรคขาดธาตุ ไอโอดีนจะเป็นโรคคอพอก
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
2.1ความผิดปกติของผนังทางเดินอาหาร
hiatal hernia
Gastritis
Peptic ulcer disease
inflammatory bowel disease
Diverticular disease
Hiatal Hernia
sliding (direct) hiatal hernia
paraesophageal (rolling) hiatal hernia
เป็นความผิดปกติของ diaphragm เกิดการดันหรือเลอื่นของกระเพาะอาหาร
ส่วนบนเข้าไปในช่องอก
Sliding hiatal hernia
เกิดจากกระเพาะอาหารเลื่อนเข้าสู่ช่องอกผ่านทางesophageal hiatusซึ่งเป็นทางเปิดของdiaphragm
ปัจจัยท่ีทำให้เกิดSliding hiatal hernia
มีหลอดอาหารสั้นมาแต่กำเนิด
ได้รับบาดเจ็บหรอืความอ่อนแอของกล้ามเนื้อกระบังลม บรเวิณรอยต่อของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
มีการเพิ่ม แรงดันในช่องท้อง การไอ โก่งตัวหรืองอตัว
การใส่เสื้อผ้าคับแน่นเกินไป
ascitesหรอืการตั้งครรภ์
การรักษา sliding hiatal hernia
รับประทานทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
นอนในท่า semi-fowlerposition
หลีกเล่ยีงการอยู่ในท่านอนชันเข่า(recombentposition) หลังรับประทานอาหาร
หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าคับ หรือ รัดหน้าท้อง
ควบคุมนำหนัก
ใหย้าantacidsเพื่อลดrefluxesophagitis
กระเพาะอาหารอักเสบและแผลในทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารอักเสบ
เป็นการอัก เสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร gastric mucosa เกิดจากสารท่ี ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่นgastric acid, bile reflux, ยาtoxins
การเกิดพยาธิสภาพ
กระเพาะอาหารจะมีmucosalbarrierถ้ากลไกการป้องกันล้มเหลวจะทำ ให้เกิดกระเพาะอาหารอกัเสบทาํใหเ้สน้เลือดเล็กๆบวม(edema)มีเลือดออก (hemorrhage) และเกิดรอยถลอก (erosion) ของกระเพาะอาหาร
ระยะแรกการอักเสบจะพบว่ามีการแดงและหนาตัวของเยื่อบกุระเพาะ
อาหารต่อมา ผนังของกระเพาะจะบางและฝ่อ(atrophy)
กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis)
กระเพาะอาหารอักเสบแบ่ง ตามลักษณะของการอักเสบเป็น 2 ชนิด ได้เเก่
ชนิดเฉียบพลัน(acute, erosive, hemorrhagic gastritis)
ชนิดเรื้อรัง (chronic, nonerosive gastritis)
โรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเฉียบพลัน(acute gastritis)
เป็นการอักเสบเยื่อบุกระเพาะอาหารแบบ
เฉียบพลัน
พบ mucosa บวมแดง มีจุด เลือดออก
และหลุดลอกของmucosaเป็นแผลตื้นๆ
โรคกระเพาะอาหารท่ีเป็นในระยะสั้นๆ ไม่ เกิน1-2สปัดาห์ก็หาย
โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (chronic gastritis)
เป็นการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุmucosaร่วมกับมี mucosal atrophy และ epithelial metaplasia
เป็นโรคกระเพาะอาหารท่ีเป็นนานเป็นเดือนหรือเป็นปี
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการอะไรนอกจากแน่นท้องเป็นๆหายๆ
กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรังอาจหายโดยไม่ทิ้งรอย แผลเป็นให้เห็น หรือ ลุกลามจนเกิดเลือดออก เป็นแผลใน กระเพาะอาหารได้
สาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง
การติดเชื้อ helicobacterpylori
ภาวะทางภูมิคุ้มกัน มีantibodyทาํลายparietalcells
การผ่าตัด post antrectomy ทำให้น้ำดีไหลยอ้นจากลำไส้เล็กส่วนต้นมาระคายเคืองเยื่อบกุระเพาะอาหาร
การดื่ม เหล้ามากสูบบุหรี่รจัดเป็นประจำ
การรับประทานยาบางชนิด เช่น salicylates
การแบ่งชนิดของกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง
แบ่งได้ตามตำแหน่งของการอักเสบแบ่งเป็น2ชนิด
1.TypeAพบการอกัเสบบริเวณfundus
2.TypeBเป็นการอักเสบเรื้อรังทั่วทั้งกระเพาะอาหาร
แบ่งตามความลึกของการอักเสบแบ่งเป็น3ชนิด:
1.Superficialgastritisมีการเปลี่นแปลงทางพยาธิสภาพ ส่วนบนประมาณ1/3ของmucosa
2.Atrophicgastricมีพยาธิสภาพลึกทั้งหมดของ mucosaทำให้มีการฝ่อ(atrophy)ของgastricglands มีการสญูเสีย chief และ parietal cells
Gastric atrophy มีการสญูเสีย gastric glands ทั้งหมด แต่มีการอักเสบเพียงเล็กน้อย mucosa จะบาง
การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
ชักประวัติและตรวจร่างกาย
ตรวจเลือดหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร
ตรวจอจุจาระ
เอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้ง
แบเรียม
การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy)
การรักษากระเพาะอาหารอักเสบ
การรักษาทางยาได้แก่
antacids
Sucralfate (carafate):
H2blockersหรือ prostaglandins
ขจัดสาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบเช่นยา ภาวะติดเชื้อเป็นต้น
การป้องกันกระเพาะอาหารอักเสบ
หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า
2.ระมัดระวังในการรับประทานยาประเภทaspirin,NSAIDเช่น
ibuprofen และ indomethacin และ Corticosteroids
3.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มท่ีผสมcafeine
4.ไม่รับประทานอาหารท่ีปนเปื้อนเชื้อ
งดสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการรับประทานสารท่ีก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรดด่าง
แผลในทางเดินอาหาร(Pepticulcerdisease)
กลไกการเกิดพยาธิสภาพ
กิดจากการขาดสมดลุของสารคัดหลั่งจาก กระเพาะอาหาร คือhydrochloric
acidและpepsinกับฝ่ายทำหน้าท่ี ป้องกันคือเยื่อเมือกท่ีบุทางเดินอาหาร และเกิดจากความสามารถในการควบคุมยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยของลำไส้เล็กส่วนต้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด แผลในระบบทางเดินอาหาร
ฮอร์โมน เช่น ACTH , Cortisone เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเยื่อบุ และ adrenocorticosteroidsลดการสรา้งcellเยื่อบุ
2.ความเครียดทางอารมณ์เพิ่มการหลั่งน้ำยอ่ย
ยาบางชนิด
anti-inflammatory agents เช่น indomethacin
cafeineกระตุ้นการหลั่งกรดและเปปซิน
phenylbutazoneทำให้cellmetabolismบกพร่อง
chemotherapeuticagentsมีผลต่อเซลล์ปกติในเยื่อบรุะบบทางเดินอาหาร
alcoholกระตุ้นการหลั่งกรด
aspirinทำลายเยื่อบุเฉพาะท่ีและลดการหลั่งmucous
ชนิดของแผลในระบบทางเดินอาหาร
แผลในทางเดินอาหารจากภาวะเครียด (Stress ulcer) เกิดจากมีการทำลาย gastric mucosa เกิดแผลหลายแห่ง มีลักษณะเล็กๆ อยู่ตื้นๆ ไม่ ลึกถึงกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วย
1)ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนบาดเจ็บรุนแรง
2)ติดเชื้อรุนแรง
3) ช็อค
4)ได้รับบาดเจ็บทางสมองหรือผ่าตัดสมอง
5)ได้รับอุบัติเหตุไฟไหม้
6)รับประทานยาNSAIDSหรือดื่มเหล้าติดต่อกันเป็นเวลานาน
แผลในกระเพาะอาหาร
เกิดจากการขาดสมดลุระห่วางปัจจยัท่ีทำลาย mucosa เช่น gastric acid, pepsin, bile acidsและกลไกการป้องกัน mucosaเช่น epithelium, mucus และ bicarbonate secretionทำใหเ้กิดการอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหาร
ลักษณะแผลลึกกลมผิวสะอาดเรียบ แต่เยื่อบุ โดยรอบ มักจะบวมถ้าแผลลึกมีการฉีกขาดของเส้นเลือดจะมีเลือดออกแผลสกปรกมีเนื้อตายอาจเป็นมะเร็ง
3.แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น(Duodenalulcer)
พยาธิสภาพจากGrossเป็นแผลลึกขอบคม
เรียบและก้นแผลสะอาด
80%ของแผลในทางเดินอาหารมักจะเกิด บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น
พบบ่อยในเพศชายอายปุระมาณ30-50ปีคน ท่ีมีหมู่เลือดกลุ่มOและผู้ที่มีความเครียดสูง
อาการของแผลในกระเพาะอาหาร
ปวดท้องท่ีลิ้ปี่เรื้อรังหรือแสบท่ีกระเพาะอาหารมักมี อาการตอนท้องว่างหรือ2-3ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
การตรวจวินิจฉัยแผลในทางเดินอาหาร
1.ส่องกล้อง(endoscopy)และตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
Upper GI series barium swallowing
3.เจาะเลือดหาระดับgastrin
Gastric acid secretion test
ภาวะแทรกซ้อนของแผลในทางเดินอาหาร
เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper GI bleeding)
การเกิดแผลทะลุ (Perforation)
3.การเกิดแผลลกุลามไปยังอวยัวะข้างเคียง(Penetration)
4.การอดุตัน(Obstruction)
หลักการรักษาแผลในทางเดินอาหาร
ลดการหลั่ง hydrochloric acid หรือทำให้ภาวะกรดเป็นกลาง
เพิ่มความต้านทานหรือความแข็งแรงของ mucosal layer
3.ส่งเสริมการหายของแผล
เป้าหมายการรักษาแผลในทางเดินอาหาร
1.รักษาแผลให้หายบรรเทาความเจ็บปวด
2.ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ดี
3.เผชิญความเครียดและเรียนรู้ในการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
4.สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
การรักษา
1.หลีกเลี่ยงอาหารท่ีก่อใหเ้กิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือเพิ่มการหลั่งกรด
2.การรกัษาทางยา
Hyposecretoryagentsช่วยในการยับยั้งการหลั่งน้ำย่อย
Antacidsทำให้กรดในกระเพาะเป็นกลางควรรับประทานหลังอาหาร1-3ชั่วโมงและก่อนนอน
Mucosalbarrierfortifiersเป็นยาซึ่งเพิ่มกลไกการป้องกันของเยื่อบุ
sucralfate (carafate) เคลือบบริเวณแผล
ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อ H.pylori เช่น amoxicillin, tetracycline, clarithromycin และ methronidazole
ถ้ามีเลือดออกในทางเดินอาหารอาจให้ฉีดvasopressin(pitressin)ทางหลอดเลือดดำ
3.การผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วน,ตัดVagusnerve,การขยายทางเปิดของกระเพาะอาหาร (pyloroplasty
inflammatory bowel disease
Crohn's disease
การอักเสบของลำไส้มีขอบเขตชัดเจน และอักเสบตลอด ความหนาของลำไส้(transmuralinvolvement)
มี non caseating granulomous
รอยโรคเป็นแผลลึก Fissuringและทะลุเช่ือมไปยัง
อวยัวะอื่นๆ
ลำไส้ที่อักเสบจะมีส่วนลำไส้ปกติ ขั้นSkip lesion
พยาธิสภาพท่ีเกิดขึ้นอาจเกิดท่ีลำไส้เล็กหรือทั้งลำไส้เล็ก และลำไส้ใ้หญ่หรอืลำไส้ใหญ่อย่างเดียว
อาการ
1.ท้องเสียเป็นพักๆปวดบิด(Colickypain)พบบอ่ยบริเวณท้องดา้นขวาล่าง
น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลียอย่างรุนแรง
3.มีความไม่สมดลุของสารน้ำและอิเลคโตรลัยท์
4.มีไข้ต่ำๆ
5.ผู้ป่วยท่ีท้องเสียรุนแรงพบแผลบริเวณรอบทวารบ่อย
6.มีความบกพร่องทางโภชนาการเนื่องจากพื้นท่ีในการดูดซึมของลำไส้เล็กถูกทำลาย ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ลำไส้อุดตันฝีในท้องและรูรั่ว
Ulcerative colitis
เป็นการอักเสบของลำไส้ใหญ่เรื้อรังและเป็นๆ หายๆ เกิดท่ี rectum และอักเสบตลอดลำไส้ใหญ่
ไม่มี skip lesions
เยื่อบุลำไส้ใหญ่อักเสบและบางส่วนแบนราบเป็น แผลบางส่วนนูคล้ายpolypเรยีกว่า pseudopolyp
มีเลือดออกง่าย
อาการ ulcerative colitis
1.ถ่ายเป็นเลือดและท้องเสีย
2.มีไข้ปวดท้อง
เสี่ยงต่อการเกิด toxic megacolon และ perforation
ภาวะแทรกซ้อน
1.crohn'sdiseaseการเกิดรูทะลุ(fistulas)ระห่วางทางเดินอาหารและอวัยวะท่ีอยู่ ใกล้กันเช่น กระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด ผิวหนัง
2.crohn'sdiseaseและulcerativeColitisอาจพบข้ออักเสบ(arthritis)ตา อักเสบ ผิวหนังอักเสบ ช่องปากอักเสบ anemia เลือดแข็งตัวง่าย ทางเดินน้ำดีอักเสบ
ulcerative colitis ภาวะแทรกซ้อน คือ มะเร็งของลำไส้ใหญ่ (cancer of colon)
การวินิจฉัย
1.ประเมินจากการซักประวัติตรวจร่างกาย
2.การส่องกล้องSigmoidoscopyและตัดชิ้นเนื้อตรวจ
3.ตรวจอจุจาระหาสาเหตุขอองการติดเชื้อและเพาะเชื้อ
CT scans เพื่อตรวจหาก้อนและฝี
การรักษา
ระยะการอักเสบเฉียบพลันต้องได้รับยาพวก Corticosteroids ในรูปการสวนหรือเหน็บทางทวารหนักและยาปฏิชีวนะพวก Sulfa salazine (azulidine) ยากดภูมิต้านทาน
ผู้ป่วย ulcerative Colitis อาจต้องผ่าตัด rectum และ Colon ileostomy, ileoanal anastomosis
ผู้ป่วย Crohn's disease
-ควรได้รับอาหารที่มีแคลอรีสูงวิตามินและโปรตีนให้อาหารที่มีแร่ธาตุ แต่กากใยน้อย
-งดอาหารประเภทไขมัน
-ให้สารอาหารครบสูตรกลูโคสเข้มข้นสูงไขมันและ amino acid (total parenteral nutrition) ทางเส้นเลือดดำในผู้ป่วยมีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร
ถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)
เป็นการอักเสบของกระเปาะเยื่อบุลำไส้ใหญ่
มีถงุยื่นผ่านผนังลำไส้หลายอันขนาด0.5-1 ซม.มกัพบท่ีdistalcolon
เกิดจาก focal weakness ของ bowel wallและมีการเพิ่มของความดันในลำไส้มาก
อาการถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)
1.ปวดเกรง็ท่ีทอ้งสว่นล่าง
2.ทอ้งผกูหรอืทอ้งเสีย
3.แน่นทอ้งหรือท้องอืด
มีไข้สูงกว่า38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น
คลื่นไส้หรืออาเจียน เบื่อออาหาร
6.อุจจาระปนเลือดหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก
การตรวจวินิจฉัย การทำ sigmoidoscope
การรักษา
1.แนะนำให้รับประทานอาหารท่ีมีกากใย
2.diverticulitisต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
3.ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนจำเป็นตอ้งผ่าตัด
ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว
Gastroesophageal Reflux Disease: GERD
กรดไหลย้อน เป็นภาวะท่ีกรดหรือน้ำ ย่อยในกระเพาะไหล ย้อนกลับ ผ่าน lower esophageal sphincter (LES)จนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร
สาเหตุ เกิดจาก
ประสิทธิภาพของ esophageal antireflux
mechanism ลดลง
มี sliding hernia
gastric emptying และ gastric volume เพิ่มขึ้น
ความสามารถในการซ่อมแซมEsophagealลดลง
อาการ GERD
-จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปีปวดแสบปวดร้อนบริเวณอก
-อาหารไม่ย่อยเรอบ่อยคลื่นไส้มีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
กลืนอาหารได้ลำบาก
-ไอเรื้อรังระคายเคืองคอตลอดเวลา
-เสียงแหบแห้งหรือฟันผุ
การรักษา GERD
แนะนำรับประทานอาหารที่ละน้อย แต่บ่อยครั้งรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
นอนศีรษะสูงจากพื้นประมาณ 6 นิ้ว
อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อเพิ่มน้ำลาย
ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ
ยาที่ใช้ ได้แก่
-H2-receptor antagonists เช่น cimetidine, ranitidine
prokinetic agents เช่น cisapride
-proton pump inhibitors เช่น omeprazole
Achalasia
-ความผิดปกติของการบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหารและ lesion associated with motor function ทำให้
-หลอดอาหารไม่มี peristalsis
-มีการไหลย้อนของอาหาร regurgitation
-กลืนอาหารลำบาก dysphagia เนื่องจาก lower esophageal spincter (LES) ไม่คลายตัวเต็มที่ทำให้ lumen แคบ
-มีการเพิ่มขึ้นของ the resting tone of lower esophageal spincter (LES)
พยาธิสภาพที่พบคือมี motor neuron ที่ผนังหลอดอาหารลดลงมีการขยายของหลอดอาหาร
อาการ Achalasia
กลืนลำบาก
ขย้อนอาหารที่ค้างอยู่ในตอนกลางคืน
ภาวะแทรกซ้อนคือหลอดอาหารอักเสบหรือเกิดแผลในหลอดอาหาร
เกิดการสำลักเอาเศษอาหารหรือน้ำย่อยที่ขย้อนเข้าไปในปอดทำให้ติดเชื้อได้ (aspirated pneumonia)
การวินิจฉัย
barium Swallowing จะพบหลอดอาหารขยายโตขึ้น
2.ตรวจดกูารเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร (esophageal manometric)
3.สอ่งกล้องดหูลอดอาหาร (esophagoscopy)และตัดชิ้นเนื้อตรวจ
การรักษา achalasia
รักษาแบบประคับประคอง
-แนะนำให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง
-หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เกิดการระคายเคืองและแผลในทางเดินอาหารเช่น salicylates, phenylbutazone
-หลีกเลี่ยง anticholinergic drugs เพราะลดการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง
-งดอาหารที่ร้อนเย็นรสจัดเหล้า
-เคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อให้น้ำลายช่วยหล่อลื่น bolus ผ่านหลอดอาหารสู่กระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น
การรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนอาจรักษาโดย
-การขยายหลอดอาหาร (esophageal dilatation) โดยใส่ hydrostatic balloon
-ผ่าตัด esophagomyotomy และ pyloroplasty
ท้องงผูก (constipation)
ท้องผูกหมายถึงการถ่ายอุจจาระลำบากอุจจาระแข็งถ่ายอุจจาระน้อยครั้งกว่าที่เคยเป็นปกติหรือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้งจะเรียกว่ามีอาการท้องผูก
สาเหตุเกิดจาก
ความผิดปกติทางระบบประสาทของลำไส้ใหญ่
ความผิดปกติของการทำหน้าที่เช่นภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง
การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย
แบบแผนการดำเนินชีวิตเช่นขาดการออกกำลังกาย
ยาบางชนิดเช่น antacids ยา opiates
อาการท้องผูก
ถ่ายอุจจาระปริมาณน้อยจำนวนครั้งน้อยลง
ถ่ายลำบากรู้สึกแน่นและไม่สุขสบายในท้อง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ตรวจร่างกายโดยเฉพาะการดูและคลำท้องการตรวจทางทวาร
การส่องกล้องเช่น proctoScope
4.การสวนแป้ง barium ( barium enema )
การรักษาท้องผูก ตามสาเหตุ
ควรมีการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิตให้เหมาะสมเช่นการรับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ที่มีกากใยมากขึ้น
ดื่มน้ำมาก ๆ
การออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา
บางรายให้ยาถ่าย แต่ไม่ควรให้รับประทานติดต่อกันเป็นประจำ
กรณีมีความผิดปกติจากพยาธิสภาพต้องผ่าตัด
ท้องเสีย(Diarrhea)
การเพิ่มจำนวนครั้งและเพิ่มปริมาตรของสารน้ำของอุจจาระ
ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนและปริมาตรของอุจจาระ ได้แก่* ปริมาณน้ำในลำไส้ปริมาณของกากอุจจาระหรือสารที่ไม่สามารถดูดซึมได้สารคัดหลั่งภายในลำไส้
-ท้องเสียถ่ายอุจจาระมีปริมาตรมากมักเกิดจากการมีปริมาณน้ำและสารคัดหลังเป็นจำนวนมากในลำไส้
ท้องเสียถ่ายอุจจาระมีปริมาตรน้อยเคลื่อนไหวของลำไส้มากผิดปกติ
ท้องเสียแบ่งตามกลไกการเกิด
Osmotic diarrhea เกิดจากมีสารซึ่งไม่สามารถดูดซึมได้และสารตกค้างอยู่ในลำไส้เป็นจำนวนมากสาเหตุของท้องเสียคือการขาด lactase (lactase deficiency
Secretory diarrhea มักเกิดจาก bacterial enterotoxins ได้แก่ cholera และ E.coli จากเนื้องอกเช่น gastrinoma มะเร็งของต่อมไทรอยด์
Motility diarrhea มีสาเหตุจากการผ่าตัดลำไส้การเกิดรูรั่วของลำไส้
อาการแสดงของท้องเสียมีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังขึ้นอยู่กับสาเหตุ
ขาดน้ำขาดสมดุลของสารน้ำและอิเลคโทรลัยท์
metabolic acidosis
น้ำหนักลด
กรณีติดเชื้อเฉียบพลันจากแบคทีเรียหรือไวรัสอาจมีไข้ร่วมกับการปวดท้องเหมือนถูกบีบ (Cramping pain)
กรณีลำไส้อักเสบอาจถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
กรณีมีความผิดปกติในการดูดซึมไขมันถ่ายอุจจาระมีไขมันปน (Steatorrhea)
การรักษาท้องเสีย
การรักษาสมดุลของสารน้ำและอิเลคโทรลัยท์
ลดความไม่สุขสบายต่างๆและรักษาตามสาเหตุ
ถ้ามีอาการขาดน้ำและขาดสมดุลของอิเลคโทรลัยท์อย่างรุนแรงต้องได้สารน้ำทางเส้นเลือดดำ
ผู้ที่ท้องเสียเรื้อรังหรือมีปัญหาเรื่องการดูดซึมต้องได้สารอาหารทดแทนอย่างเพียงพอ
ให้ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ยาลดอาการปวดท้องและยาลดปริมาณและจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ
Intestinal obstruction
อาการอุดตันที่ลำไส้เล็ก
อาการอุดตันที่ลำไส้ใหญ่
การวินิจฉัย
ประเมินจากอาการแสดงและตรวจทางรังสีultrasound
การรักษา
1ให้สารน้ำและอิเลคโตรลัยท์ทดแทนเพื่อลดภาวะขาดน้ำ
ดูดgastric Content ออกจากกระเพาะอาหารและ ลำไส้เพื่อลดอาการแน่นทอ้ง
3.รายท่ีลำไส้ขาดเลือดไปเลี้ยง(strangulation)และมี การอดุตันอย่างสมบรูณ์ต้องผ่าตัด
3.ความผิดปกติในการดูดซึม(Malabsorption)
ความผิดปกติในการดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็กแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือมีความผิดปกติในการย่อย (maldigestion) และความผิดปกติในการดูดซึม malabsorption) ดังนี้
3.1 การขาด pancreatic enzymes (pancreatic Insufficiency))
3.2 การขาด lactase (lactase deficiency)
3.3 การขาด bile salt (bile salt deficiency)
การขาด pancreatic enzymes (pancreatic Insufficiency)
การขาด lactase (lactase deficiency)
การขาด bile salt (bile salt deficiency)
3.4 ความผิดปกติของตับ
Jaundice(icterus)หรอืดีซ่านมีbilirubinสงูกว่าปกติ2เท่าหรือมากกว่า2.0ถึง2.5 mg/dlเลือด(ค่าปกติ1.2mg/dl)สังเกตจากscleraเป็นสีเหลือง
สาเหตุ
1.มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
2.มีความบกพรอ่งของเซลล์ตับในการจับbilirubin
ลดการ conjugation ของ bilirubin
4.มีการอดุตันของทางเดินน้ำดีทงั้ภายในและภายนอกตับ
jaundice แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.prehepaticjaundiceหรือมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
2.intrahepaticหรือhepatocellularjaundiceเกิดจากความผิดปกติของตับใน การขจัด bilirubinออกจากเลือดหรือ Conjugated
3.posthepaticหรือ distructivejaundiceหรอื cholestaticjaundice เกิดจากการอดุตันของทางเดินน้ำดีระหว่างตับและลำไส้เล็ก
อาการของดีซ่าน
ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลืองอุจจาระมีสีซีดลงและปัสสาวะมีสีเข้ม
อ่อนเพลียเบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียน
ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ท้องบวมขาบวมน้ำหนักลด
มีไข้หนาวสั่นคันตามตัว
การวินิจฉัยดีซ่าน
ตรวจการทำงานของตับ
-ตรวจปัสสาวะตรวจปัสสาวะเพื่อวัดระดับสารยูโรบิลิโนเจน ((Urobilinogen
-การฉายภาพรังสี ได้แก่ การตรวจอัลตร้าซาวด์การถ่ายภาพรังสีด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI Scan)
ตรวจชิ้นเนื่อตับ
-การส่องกล้องผ่านทางปากเพื่อตรวจบริเวณท่อน้ำดี (ERCP) เป็นการตรวจท่อน้ำดีของตับ
Ascitesหรือภาวะท้องมาน
ภาวะท้องมานเป็นการสะสมของของเหลวในช่องท้อง
(peritoneal Cavity)
สาเหตุเกิดจาก
โรคตับเรื้อรังโดยตับแข็ง (cirrhosis) พบบ่อยมาก
มะเร็งหัวใจด้านขวาล้มเหลว
ตับอ่อนอักเสบ
การอักเสบในช่องท้องจากเชื้อวัณโรค
nephrotic syndromes
อาการท้องมาน
น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
เบื่ออาหารคลื่นไส้อาเจียน
ปวดท้องท้องอืดท้องบวมขึ้นอาหารไม่ย่อย
แสบร้อนกลางอกหายใจลำบากเมื่อนอนลง
มีการติดเชื้อเช่นไข้สูงหรือมีอาการคล้ายหวัด
การวินิจฉัยและการรักษา
เจาะท้องเพื่อดูดของเหลว (paracentesis) ครั้งละ 1- 2 ลิตรช่วยบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกและส่งตรวจเพาะเชื่อ
การจัดท่านอนในท่า semi-fowler จะช่วยให้หายใจสะดวก
ควรรับประทานอาหาร จำกัด เกลือ
ให้ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการสูญเสีย potassium
ตรวจ electrolytes เพื่อประเมินภาวะ hyponatremia และ hypokalemia
Portal hypertension
การเกิดportalhypertensionอาจเกิดปัญหาดังนี้
Varices เส้นเลือดดำโป่งพองที่หลอดอาหารส่วนล่างกระเพาะอาหารและ rectum
spleenomegaly จากการเพิ่มแรงดันใน splenic vein
Ascites เกิดจากความดัน mesenteric สูง hydrostatic pressure ดันน้ำออกจากเส้นเลือดสู peritoneal cavity
Hepatic encephalopathy เป็นผลจากสารพิษแอมโมเนียไม่ถูกทำลายที่ตับผ่านไปสู่สมองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบประสาท
อาการและอาการแสดง
อาเจียนเป็นเลือด
ภาวะซีด (anemia)
ถ่ายดำ(melena)
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติพบว่ามีดีซ่านตับอักเสบ
2.ตรวจร่างกายพบท้องโตตึงและมองเห็นเส้นเลือดดำกระจายอยู่ทั่วท้อง
(collateral vein) เรียกว่าcatut medusae (Medusa's head)
3.สอ่งกลอ้ง(endoscopy)
การรักษา
ใส่สายเข้าไปควบคุมเลือดออกจากเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหารใส่ลมผ่าน balloon กดบริเวณหลอดอาหารที่มีเลือดออก
ฉีดยา sclerosing agent เข้าไปบริเวณเส้นเลือดดำที่โป่งพองเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด
ผ่าตัด portacaval shunt โดยการตัดต่อ portal vein กับ inferior vencava
Hepatitis
reaction จากยาและสารเคมีถ้า cell ตับมีการทำลายมากจะทำให้การ
metabolism และ detoxification สูญเสียไป
การอักเสบของตับมีทั้งเกิดเฉียบพลัน
และเรื้อรังโดยมีสาเหตุจาก
ไวรัส
ยา
แอลกอฮอล์
Hepatitis เป็นการอักเสบของตับเกิดจากการติดเชื้อจาก virus หรือ
Viral Hepatitis
1.1HepatitisAหรือ infectioushepatitis
-ติดต่อทาง fecal-oral route
-ติดต่อโดยสัตว์น้ำพวกที่มีเปลือก (shell fish) เช่นหอยกุ้งปู
อาการจะเป็นอยู่ 1-3 เดือนและ recovery ได้
-ไม่เกิด chronic hepatitis หรือ Cirrhosis
การวินิจฉัยดูจากค่า transaminase (SGOT, SGPT) สูงขึ้นและมี anti HAV ผล positive
1.2 Hepatitis B
1.3 Hepatitis C
Drug-Induced Hepatitis
เกิดจาก toxic reaction ต่อ liver cells และ metabolites ของยาเช่น
-Halogenated anesthetic agent เช่น Halotane
-Antihypertensive medication เช่น methyldopa
Antituberculous medication เช่น isoniazid
Phenyloins เช่น phenytoin (Dilantin)
Acetaminophen (paracetamol)เเละaspirin
Alcoholic hepatitis
-การดื่มเหล้าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตับเกิด hepatitis และอาจมี fatty infiltration ของตับ
-ถ้าหยุดเหล้าการเปลี่ยนแปลงอาจลดลงจนกลับสู่สภาพปกติได้
-ผู้ป่วยที่มีค่า serum transaminase และค่า prothrombin time สูงขึ้นมีค่า albumin ต่ำแสดงการสูญเสียหน้าที่ของตับ-ถ้ามี alcohol toxic effect อยู่นานจะเกิด cirrhosis และนำไปสู liver failure
ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute hepatitis)
อาการและอาการแสดง
Prodromal illness มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่คัดจมูกเจ็บคอคลื่นไส้เบื่ออาหารมึนซึมปวดท้องบริเวณ right hypochondrium ปวดตามข้อและข้ออักเสบ
The icteric phase อาการในระยะ prodromal มักจะหายไป แต่มีดีซ่าน jaundice) ตัวตาเหลือง
The convalescent phase เกิดขึ้นหลังมีดีซ่าน 2 สัปดาห์ตัวตาเหลืองลดลง
การรักษาตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน
1.แนะนำให้ผู้ป่วยนอนพัก
2.ระมัดระวังเรื่องการรับประทานยาท่ีมีผลตอ่ตับ
3.รับประทานอาหารประเภทไขมันลดลงควรจัดอาหารประเภทท่ีมีแคลอรี่สูง
4.รักษาความสะอาดของร่างกายการล้างมือระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นๆ
ตับอักเสบแบบเรื้อรัง (chronic hepatitis)
อาการและอาการแสดง Chronic active hepatitis
อ่อนเพลียเบื่ออาหาร
ปวดข้อข้ออักเสบ
ดีซ่านตัวตาเหลืองอุจจาระซีดปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
บางรายมีผื่นคันตามตัว
มี Cushigoid appearance คลำพบตับม้ามโตพบใน autoimmune disease
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะก้าวหน้าเป็น cirrhosis, portal hypertension ascites และ hepatic encephalopathy
ตับแข็ง(Cirrhosis)
เป็นความผิดปกติของตับที่เกิดจากการอักเสบมี fibrosis และมี nodular regeneration
ทำให้มีความผิดปกติทั้งโครงสร้างและหน้าที่ของตับ
ทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินน้ำดีเกิด jaundice เกิด portal hypertension
-มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ภายในตับเซลล์ตับส่วนที่เลือดผ่านไปเลี้ยงไม่ได้เกิดการขาดออกซิเจนเน่าและฝ่อส่งผลให้ตับวาย
สาเหตุและพยาธิสรีรวทิยาของตับแข็ง
ตับแข็งจากอัลกอฮอล์ (alcoholic cirrhosis) เกิด acetylaldehyde ทำลาย hepatocytes มีไขมันในเซลล์ตับเพิ่มขึ้นเซลล์ตับอักเสบและรูปร่างตับผิดปกติ
ตับแข็งจากทางเดินน้ำดีอุดตัน (biliary cirrhosis) เกิดจากการอุดตันจากเนื้องอก (neoplasms) ก้อนนิ่วในถุงน้ำดีหรือการตีบท่อทางเดินน้ำดี
ตับแข็งที่เกิดจากเซลล์ตับตาย (post necrotic cirrhosis) มีการแทนที่เซลล์ตับที่ตายเช่นเกิดการอักเสบจากเชื้อไวรัส A C ยาหรือสารพิษการสร้างภูมิต่อต้านตนเอง (autoimmune disease)
ตับแข็งจากกระบวนการ metabolism ภายในเซลล์ตับ (metabolic cirrhosis) เซลล์ตับเกิดจากการอักเสบและแผลเป็นฝี
Hepatic failure
ภาวะตับวาย (hepatic failure) เกิดจากโรคตับชนิดต่างๆ
cirrhosis และ chronic active hepatitis
สาเหตุ เกิดจาก
สารเคมีเช่น Carbon tetrachloride และ halothane ทำให้มี massive liver necrosis
alcoholism vinlutna Reyes Syndrome, fatty liver
ยาบางชนิดเช่น tetracycline ทำให้มีความบกพร่องในการทำหน้าที่ของตับ
อาการแสดงตับวาย
พบความบกพร่องเกี่ยวกับปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (deficiency in clotting factors) factors II (prothrombin), VII, IXbox X
เกิดความบกพร่องในการดูดซึมไขมันทำให้ขาดวิตามิน K
มี hyperspleenism จากเลือดคั่งเนื่องจากมี portal hypertension
มี platelet ต่ำและเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายเนื่องจาก esophageal varices
การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาได้แก่
Jaundice
Neurologic status change
Hypogonadism and gynecomastia ถุงอัณฑะฝ่อและเต้านมโตในเพศชาย
Palmar erythema ฝ่ามือและฝ่าเท้าแดง
Spider naevi และความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
Fetor hepaticus หรือหายใจมีกลิ่น
Ascites haz edema ann portal hypertension baš hypoalbuminemia
Hepatorenal syndrome คือกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางไตที่เกิดจากการที่มีโรคตับอย่างรุนแรงและไตวายโดยมีการสูญเสียหน้าที่
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะออกน้อย (oliguria)
มีอาการของภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับรุนแรง ได้แก่ ดีซ่าน (jaundice) ascites และเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
มีความดันโลหิต Systolic pressure ต่ำกว่า 100 mmHg
เบื่ออาหารอ่อนเพลียไม่มีแรง
Hepatic encephalopathy
-กลุ่มอาการที่แสดงถึงความผิดปกติทางระบบประสาทมีมือสั่น (flapping tremor) คลื่นสมองผิดปกติ
-ผู้ป่วยที่เสี่ยงจะเกิด hepatic encephalopathy ได้แก่ ผู้ที่มีโรคตับรุนแรงมีเลือดออกในทางเดินอาหารรับประทานอาหารโปรตีนมากขาดสมดุลของอิเลคโทรลัยท์และมี hypoxia
การรักษา
แก้ปัญหาการขาดสมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยท์
การระมัดระวังในการให้ยาที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการทำลายตับการลดระดับแอมโมเนียในเลือด
จำกัด อาหารประเภทโปรตีน
ให้ยา neomycin เพื่อขจัดแบคทีเรียในลำไส้
ให้ lactulose เพื่อช่วยลดการดูดซึมแอมโมเนียในลำไส้
สาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบแบบเฉียบพลัน
รับประทานกรดด่างฤทธิ์กัดกร่อน
รับประทานอาหารเผ็ดจัดร้อนจัด
สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้ามาก
ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDSaspirin,reserpine,cytotoxic agents เป็นต้น
การติดเชื้อ เช่น Staphylococci, Salmonella
ผู้ป่วยท่ีมีภาวะการเจ็บป่วยรุนแรง เช่น มีบาดแผล ได้รับบาดเจ็บ บริเวณกระเพาะอาหารผู้ป่วยหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นต้น