Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Congenital megacolon, Hirschsprung ’s Disease),…
ลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด (Congenital megacolon, Hirschsprung ’s Disease)
การรักษา
การผ่าตัดผ่านกล้อง โดยแพทย์จะผ่าตัดลำไส้ส่วนปลายที่ไม่มีเซลล์ประสาทออกทั้งหมดและนำลำไส้ส่วนปกติไปต่อกับบริเวณเหนือทวารหนักเล็กน้อย
การผ่าตัดเปิดบริเวณหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดนำลำไส้ออกทางหน้าท้องและเชื่อมต่อกับถุงทวารเทียม เพื่อให้ผู้ป่วยขับถ่ายอุจจาระทางหน้าท้อง ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีนี้ในการรักษาชั่วคราวจนกว่าร่างกายของผู้ป่วยสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดเชื่อมลำไส้ได้
หลังการรักษามักทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องผูก จึงจำเป็นต้องได้รับอาหาร น้ำ และการดูแลที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจบรรเทาอาการผู้ป่วยด้วยการใช้ยาระบาย การรับประทานอาหารเหลวหรือดื่มน้ำในปริมาณเหมาะสม ในกรณีที่อาการเดิมยังคงอยู่หรือมีอาการใหม่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด อย่างถ่ายเป็นเลือด มีไข้ อาเจียน และอาการบวมบริเวณท้อง ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นอาการของโรคลำไส้อักเสบได้
อาการและอาการแสดง
ในทารกแรกคลอดอาจไม่ขับถ่ายขี้เทาภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรก มีอาการท้องเสีย อาเจียนเป็นสีเขียวหรือน้ำตาล ท้องอืดและบวม
ในเด็กเล็กหรือเด็กโตอาจมีอาการปวดท้อง ท้องบวม ท้องผูกเรื้อรังและรักษาไม่หายด้วยวิธีทั่วไป ท้องอืด มีภาวะไม่เจริญเติบโต และอ่อนเพลีย โดยอาการที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงน้อยกว่าอาการของทารกแรกคลอดหรืออาจเป็นอาการเรื้อรัง นอกจากนี้ ผู้ป่วยเด็กโตอาจมีพัฒนาการช้ากว่าคนทั่วไป เนื่องจากอาการที่เกิดขึ้นส่งผลต่อระบบการดูดซึมสารอาหารในร่างกาย
การพยาบาล
-
การพยาบาลหลังผ่าตัด
ปเองกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองบริเวณทวารหนักด้วยการ ทาวาสลีนปกป้องไว้ หรือถ้าเริ่มมีผิวหนังถลอกแดงหรือเป็นแผล มีผลิตภัณฑ์ทึ่ใช้ทา เช่น คาร์วิลอนครีม หรือคอมฟิวเพลส
ระวังไม่ไห้สายยางเหลืองหลุด เพราะลำไส้อาจผลุบเข้าไปในช่องท้องได้ สายยางเหลืองจะใส่ไว้นาน 10-14 วัน เพื่อให้ลำไส้แข็งเเรงอยู่บนหน้าท้องได้ จึงนำออก
-
กรณีผ่าตัดอย่างเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ให้การดูเเลแผลโดยฉีดล้างบริเวนทวารหนักด้วยสารละลายของเบต้าดีน 1 มล. ผสมน้ำเกลือ 100 มล. หลังจากขับถ่ายอุจจาระ
ความหมาย
โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด เป็นความผิดปกติที่เกิดจากร่างกายขาดเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่งผลให้อุจจาระผ่านปลายลำไส้ใหญ่ไปได้ยาก ทำให้เกิดการอุดตันและการโป่งพองบริเวณลำไส้
เป็นความพิการแต่กำเนิด โดยแพทย์อาจสังเกตเห็นความผิดปกติได้ทันทีหลังการคลอด แต่บางรายที่โรคไม่รุนแรงอาจเริ่มแสดงอาการเมื่อโตขึ้นหรือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้แน่ชัด แต่ผู้ที่สมาชิกในครอบครัวมีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
สาเหตุ
โดยทั่วไปแล้ว เซลล์ประสาทในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายจะทำหน้าที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อและช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านลำไส้ แต่เมื่อเซลล์ประสาทในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายไม่สมบูรณ์หรือเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้ลำไส้ใหญ่ไม่สามารถหดตัวได้และเกิดการตกค้างของอุจจาระอยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม แพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของ Hirschsprung's Disease ได้แน่ชัด แต่คาดว่าอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์ของยีนในร่างกายของทารก อีกทั้งความเสี่ยงของโรคจะเพิ่มมากขึ้นหากทารกเป็นเพศชาย มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ มีประวัติป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมหรือมีความผิดปกติแต่กำเนิดอื่น ๆ อย่างดาวน์ซินโดรมและโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
การวินิจฉัย
-
ตรวจร่างกายด้วยวิธีการตรวจทางทวารหนัก โดยแพทย์หรือพยาบาลจะสอดนิ้วเข้าไปยังทวารหนักของผู้ป่วยเพื่อตรวจคลำขนาดรูปร่างและความยืดหยุ่น
การเอกซเรย์ช่องท้อง โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีอย่างแบเรียมหรือสารอื่น ๆ ผ่านท่อชนิดพิเศษไปยังบริเวณสำไส้ใหญ่ จึงช่วยให้เห็นภาพเค้าโครงของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก รวมถึงตำแหน่งที่แคบตีบเนื่องจากไม่มีเซลล์ประสาทและอาการบวมในลำไส้ใหญ่
การตัดชิ้นเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่ เป็นวิธีที่ช่วยให้วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ โดยแพทย์จะตัดเนื้อเยื่อตัวอย่างภายในลำไส้ใหญ่นำมาวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อระบุเซลล์ประสาทที่ที่ขาดหายไป
การตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่และหูรูดทวารหนัก โดยใช้บอลลูนขนาดเล็กใส่เข้าไปและทำให้พองขึ้นภายในทวารหนัก เพื่อทอดสอบการคลายของกล้ามเนื้อโดยรอบ ซึ่งกล้ามเนื้อลำไส้ของผู้ป่วย Hirschsprung's disease จะไม่สามารถคลายตัวออกได้ แพทย์จะใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยที่เป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่
ภาวะแทรกซ้อน
อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ พัฒนาการด้านการขับถ่ายเกิดขึ้นล้าช้า มีภาวะลำไส้ทะลุหรือฉีกขาด ขาดสารอาหารและขาดน้ำเนื่องจากลำไส้สั้น เป็นต้น
ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อโรคลำไส้อักเสบก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือหลังการรักษาในช่วงเวลา 1-2 ปี ส่งผลให้มีอาการบวมบริเวณท้อง มีไข้ อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย ท้องเสียและมีกลิ่นรุนแรง ง่วงซึม และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรเข้ารับการรักษาทันทีเพราะโรคลำไส้อักเสบเป็นโรคที่มีความรุนแรง
การป้องกัน
Hirschsprung’s Disease ไม่สามารถป้องกันได้ แต่หากผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้และวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเสี่ยงของทารก เพราะโรคนี้อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ในกรณีที่ทารกมีอาการเข้าข่าย Hirschsprung's Disease ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและการรักษาโดยเร็วที่สุด
-