Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย - Coggle Diagram
สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย
การควบคุมความสมดุลของกรด - ด่าง
ในร่างกายจะมีการรักษาดุลยภาพกรด-เบส (ค่า pH) ในเลือด และในของเหลวต่างๆ ให้อยู่ในสภาพสมดุล ไม่ให้สูงหรือต่ำจนเกินไป ในสภาวะเป็นกลางจะมีค่า pH=7 โดยมีสารที่ให้หรือรับ H+ และ OH- ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่ากรด-เบสในร่างกาย โดยหากในร่างกายมี H+ มากขึ้น หรือ OH- น้อยลง ของเหลวในร่างกายจะเพิ่มความเป็นกรด ในทางตรงกันข้าม หากในร่างกายมี H+ น้อยลง หรือ OH- มากขึ้น ของเหลวในร่างกายจะเพิ่มความเป็นเบส ทั้งนี้ ระบบขับถ่าย ระบบหายใจ ระบบบัฟเฟอร์ จะใช้สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) และพอนส์ (pons) ในการทำกิจกรรมดังกล่าว
ในขณะที่เราออกกำลังกาย หรือร่างกายทำงานหนัก เลือดจะเป็นกรดมากขึ้น เนื่องจากมีการผลิต CO2 ออกมาจากปฏิกิริยาการหายใจระดับเซลล์ เมื่อ CO2 รวมตัวกับน้ำ จะทำให้เกิดกรดคาร์บอกนิก ซึ่งสามารถแตกตัวให้ H+ ได้ เมื่อเลือดเป็นกรด สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา และพอนส์ จะส่งสัญญาณไปกระตุ้นกล้ามเนื้อกระบังลม และกล้ามเนื้อยึดซี่โครง ให้ทำงานมากขึ้น ทำให้หายใจเร็วและแรงขึ้น เพื่อขับ CO2 ออกจากร่างกาย
ความผิดปกติของการสมดุลน้ำ
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
ร่างกายสูญเสียน้ำมากแต่ได้รับน้ำน้อย อาจเกิดจากการอาเจียน ท้องเดิน การนเสียเลือด โรคเบาหวาน โรคเบาจืด การได้รับยาขับปัสสาวะส่งผลให้ความเข้มข้นของน้ำภายนอกเซลล์เพิ่มขึ้น น้ำภายในเซลล์ถูกดึงออ ทำให้เซลล์เหี่ยวและขาดน้ำ
ภาวะน้ำเกิน (Water excess)
ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มขึ้นหรือรับปกติแต่มีการสูญเสียน้อย เกิดจากการดื่มน้ำมาก ความผิดปกติทางจิตใจ การได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำมากเกินการขับปัสสาวะลดลง สาเหตุมาจากโรคหัวใจล้มเหลว ไตวายเรื้อรังส่งผลให้ความเข้มข้นของน้ำภายนอกเซลล์ลดลง โซเดียมในพลาสมาต่ำ น้ำเคลื่อนเข้าสู่ภายในเซลล์ เซลล์บวม
การกระจายของน้ำในร่างกาย
น้ำภายนอกเซลล์ (extracellular fluid, ECF) : 20% ของน้ำหนักตัว
น้ำภายในหลอดเลือด (intravascular fluid และ plasma) : 5% ของน้ำหนักตัว
น้ำระหว่างเซลล์ ( interstitial fluid ) : เป็นน้ำส่วนที่อยู่นอกหลอดเลือด และอยู่ตามช่องว่างระหว่างเซลล์ รวมทั้งน้ำที่อยู่ภายในอวัยวะต่างๆ เช่น น้ำในลูกตา น้ำย่อยอาหาร และน้ำไขสันหลัง CSF : 15% ของน้ำหนักตัว
น้ำภายในเซลล์ (intracellular fluid, ICF) : 40% ของน้ำหนักตัว
ความผิดปกติ
Hypononatremia : ภาวะโซเดียมต่ำ
ระดับซีรัมโซเดียมน้อยกว่า 135 มิลลิโมล/ลิตร เป็นความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ ความผิดปกติของโซเดียมในเลือดสัมพันธ์กับผลการรักษาที่ไม่ดี ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้นและยังเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในภาวะอื่นๆ เช่น ปอด อักเสบ
สาเหตุ : 1 เกิดจากความสามารถในการขับสารน้ำของไตนั้นผิดปกติไปหรือทำได้ไม่พอเพียง
2 เกิดจากการสูญเสียโซเดียม
อาการทาง : สมองบวมน้ำ เช่น ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน ซึมลง หมดสติ อาการทางกล้ามเนื้อ : ตะคริว ตรวจร่างกายพบความไวของ deep tendon reflexes
Hypernatremia : ภาวะโซเดียมสูง
ระดับซีรัมโซเดียมสูงกว่า 150 มิลลิโมล/ลิตร ผู้ป่วยวิกฤติมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะโซเดียมสูงในเลือด
เป็นผลมาจากค่าออสโมลาลิตีในเลือดที่สูงขึ้น
ความผิดปกติของโปแทสเซียม
Hypokalemia : ภาวะโพแทสเซียมต่ำ
ค่าซีรัมโพแทสเซียมน้อยกว่า 3.5 มิลลิโมล/ลิตร
สาเหตุ : การได้รับโพแทสเซียมไม่เพียงพอ การสูญเสียไปทางปัสสาวะหรืทางระบบทางเดินอาหารและการที่โพแทสเซียมย้ายเข้าสู่เซลล์
อาการ : กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูกและอาจเกิดภาวะ rhabdomyolysis ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะผู้ป่ายที่มีความดันเลือดสูง หัวใจล้มเหลว
Hyperkalemia : ภาวะโพแทสเซียมสูง
การบาดเจ็บต่อไต โดยเฉพาะกรณีที่ GFR น้อยกว่า 15 ซีซี/นาที/1.73 ตารางเมตรของพื้นที่ผิวกาย การทำงานของต่อมหมวกไตบกพร่อง การพร่องฮอร์โมนอินซูลิน rhabdomyoysis,burns และการบาดเจ็บด้วยอุบัติเหตุอย่างรุนแรงมักเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยวิกฤติ
การรักษา ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นกับความรุนแรงและผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ภาวะที่โพแทสเซียมในเลือดมากกว่า 5 มิลลิโมล/ลิตร