Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การซักประวัติผู้ป่วย, เหงือก 7E16FBC2-57C0-4ED8-B16F-8BFCEE9175D8,…

- - - - ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
  - - - ตรวจหาปฏิกริยาreflex
- - - - เพื่อตรวจดูลักษณะของหลอดอาหารรวมไปถึง
        ช่องท้องส่วนบน
    - - ตรวจดูระบบย่อยอาหารส่วนบน และตำแหน่งของกระเพาะอาหาร
    - - เพื่อดูการทำงาน และความผิดปกติของหลอดอาหาร
- - - - 4.บันทึกผล
      - 5.ทิ้งไว้ 3 นาที
      - 3.รอประมาณ 0.5-4 วินาที ให้ผู้ถูกตรวจชี้ไปบนเอกสารที่ระบุรสชาติที่ได้รับหรือบอกรสชาติที่ได้รับ
      - 6.ทดสอบสารรับรสอีกรสหนึ่ง ตามวิธีข้อ 1
      - 2.นำไม้พันสำลีนั้น แตะลงไปบริเวณปลายลิ้นผู้ถูกตรวจ
      - 1.จุ่มไม้พันสำลีในสารที่ทดสอบการรับรสหวานหรือรสเค็ม รสใดรสหนึ่ง
  - - - ผู้ป่วยบอกรสชาติได้ตรงกับชนิดสารที่ทดสอบการรับรส
    - - ผู้ป่วยบอกรสชาติที่ผิดไปจากสารที่ทดสอบการรับรส
      - หากผลการทดสอบการรับรสในเบื้องต้นผิดปกติ ให้ทำการทดสอบต่อด้วยการทดสอบรับรสเชิงปริมาณ ดังนี้
        
        7.ปรับไมโครปิเปตไปที่ปริมาตร 100 ไมโครลิตร
        
        8.ใส่ pipette tip
        
        9.ทำการดูดสารที่ทดสอบการรับรสหวานปริมาตร 100 ไมโครลิตร ลงบนสองส่วนสามลิ้นทางด้านหน้า
        
        10.รอประมาณ 0.5-4 วินาที
        
        11.ให้ผู้ป่วยชี้ไปบนเอกสารที่ระบุรสชาติที่ได้รับหรือบอกรสชาติที่ได้รับ และบอกระดับรสชาติ (ดูการบันทึกผล)
        
        12.หยดซ้ำถ้าผู้ถูกทดสอบบอกผลเหมือนเดิม ให้บันทึกผล หากผลไม่เหมือนเดิมให้ทำซ้ำอีก 1 ครั้ง และบันทึกผลที่ได้ซ้ำเหมือนกัน
        
        12.ทำการทดสอบรสต่อไปจนครบทั้ง 4 รส (โดยเลือกรสต่อไปเป็น รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสขม
        ตามลำดับ โดยที่ผู้ถูกตรวจจะต้องไม่ทราบก่อนว่าสารที่ใช้ทดสอบการรับรสเป็นรสอะไร)
        
        รสชาติที่ได้รับ/ระดับรสชาติ
        
        หวาน 0-1-2-3-4-5-6-7-8-9-10
        
        เค็ม 0-1-2-3-4-5-6-7-8-9-10
        
        เปรี้ยว 0-1-2-3-4-5-6-7-8-9-10
        
        ขม 0-1-2-3-4-5-6-7-8-9-10
        
        ระดับคะแนนที่ได้/ผลลัพธ์
        
        0 – ไม่มีรสชาติ 1 – 3 มีรสชาติจางมากจนถึงจาง
        
        4 -6 ง่ายต่อการได้รับรสชาติอย่างชัดเจน จนถึงรับรสชาติอย่างชัดเจนเรียงตามล าดับ
        
        7-9 รสชาติแรง จนถึงแรงมาก
        
        10- รสชาติแรงมากจนรับไม่ได้
        
        การแปลผล ผู้ถูกตรวจบอกรสชาติที่ได้รับตรงกับสารที่ทดสอบการรับรส และบอกระดับของแต่ละรสชาติอยู่ในเกณฑ์ปกติดังนี้
        
        ค่าปกติ
        
        รสหวาน ระดับ 2-4
        
        รสเค็ม ระดับ 6-8
        
        รสเปรี้ยว ระดับ 8-10
        
        รสขม ระดับ 8-10
        
        ความผิดปกติ
        
        ความผิดปกติอาจแบ่งออกเป็น Hypogeusia รสชาติที่ได้รับ ไวลดลง, Hypergeusia รสชาติที่ได้รับ ไวเพิ่มขึ้น, Ageusia รับรสชาติไม่ได้เลย, Parageusia รับรสชาติได้ต่างไปจากเดิม, Cacogeusia รสชาติที่ได้รับ ไม่เป็นที่พึงประสงค์ เช่น รสชาติเหมือนฟองสบู่ ซึ่งอาจเกิดจากต่อมรับพิการในผู้ป่วยรับรังสีรักษาเกิดจากประสาทสมองคู่ที่7 ผิดปกติในกรณีทดสอบบริเวณ 2/3 ลิ้นด้านหน้า
- - - - ส่งตรวจการได้ยิน(audiogram) ซึ่งเป็นกราฟที่บอกความสามารถในการได้ยินเสียงที่ระดับความถี่ต่างๆ และตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง
      - ทำการตรวจหู เพื่อวินิจฉัยแยกโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการทางหูที่คล้ายกันได้
    - - โรคหินปูนเกาะกระดูกหู
- - - - สามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้
        
        หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media)
        
        เกิดฝีในบริเวณใกล้ ๆ กับทอนซิล
        
        การติดเชื้อในหู
        
        หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน
        
        กลุ่มอาการท็อกสิกช็อกจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโทค็อกคัส
  - - - คอหอยอักเสบ
        
        อาการที่แสดง
        
        เป็นไข้
        
        เจ็บคอ
- - - - การดู
        
        1) ดูรูปร่างลักษณะหน้าท้อง (Contour) ดูระดับ
        ของหน้าท้องตั้งแต่หน้าอก ถึง หัวหน่าว
        
        2) ดูความสมมาตร (Symmetry)
        
        3) ดูสีผิวหนังบริเวณหน้าท้อง (Color)
        
        4) ดูรอยโรคหรือลายหน้าท้อง (Lesion or Striae)
        
        5) ดูหลอดเลือดบริเวณหน้าท้อง สังเกตการโป่งนูน
        ของหลอดเลือดบริเวณหน้าท้อง
      - การฟัง
        
        1) การฟังเสียงการบีบตัวของลําไส้ (Bowel sound)
        
        2) การฟังเสียงหลอดเลือด (Vascular sound)
      - การเคาะ
        
        การเคาะทั่วท้อง ทําทั้ง 4 ส่วน
        
        การเคาะเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา
        
        การเคาะขึ้นลง
        
        การเคาะหาขอบเขตของตับ
        
        ปกติ(tympany)จะได้ยินเสียงโปร่งทัวท้องและได้ยินเสียงทึบบริเวณตําแหน่งของตับม้าม กระเพาะปัสสาวะ
        
        เสียงโปร่งมาก (Hyperresonance)อาจเกิดจากท้องอืดมีลมหรือแก๊สในกระเพาะอาหาร (Gaseousdistention)
        
        การเคาะหานํ้าในช่องท้อง
        
        การเคาะการกระเพื่อมของนํ้า (Fluid thrill)
        
        เคาะหาเสียงทึบที่เปลี่ยนได้(Shifting dullness)
      - การคลํา
        
        การคลําทั่วท้อง
        
        ปกตินุ่ม คลําไม่พบก้อน
        
        Involuntary rigidityจะมีท้องแบบเฉียบพลันเกิดขึ้นเมื่อมีการอักเสบช่องลักษณะหน้าท้องแข็งเป็นกระดาน (Board like rigidity)
        
        Voluntary guardingเป็นภาวะปกติที่อาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยรู้สึกหนาวจะเกิดขึ้นบริเวณหน้าท้องทั้งสองข้าง
        
        การคลําตับ
        
        ปกติจะคลําได้รู้สึกนุ่ม ขอบเรียบคือขอบของตับที่ปกติและบางครั้งอาจคลําไม่พบ
        
        ตับโต จะคลําได้ขอบของตับ
        บริเวณตําแหน่ง RLQ
        
        การคลําม้าม
        
        ปกติไม่รู้สึกว่าคลําได้อะไร
        
        ผิดปกติเมื่อมีม้ามโตจะรู้สึกว่าม้ามมาชนปลายนิ้ว
- - - - สีผิว (Skin color)
        
        ผิวซีด พบในโรคโลหิต
        จางและช็อค
        
        ผิวสีเหลือง พบในโรคตับและถุงน้ำดี
        
        ผิวสีเขียวคลํ้า(cyanosis)แสดงการขาดออกซิเจนพบในผู้มีปัญหาหายใจไม่สะดวก
        
        ผิวสีแดง พบในภาวะมีไข้ อาย ดื่มสุราอักเสบเฉพาะที่
      - ลักษณะผิวหนัง (Skin texture)
        
        ปกติ: เรียบ เกลี้ยง ไม่หยาบ ไม่ขรุขระ เป็นไปตามอายุขัย
        
        ผิดปกติ: หยาบ ขรุขระเป็นเกล็ดแห้ง แตกเป็นขุยเหี่ยวย่น
      - รอยโรคผิวหนัง (Skin lesion)
        
        ความตึงตัว (Skin turgor)
        
        อุณหภูมิผิวหนัง (Temperature)
        
        ความชุ่มชื้น (Moisture)
        
        การบวม (Edema)
        
        บวมกดบุ๋ม(pitting
        edema)
        
        พบในโรคหัวใจ ไตโปรตีนในเลือดตํ่า หลอดเลือดดําแขนขาอุดตัน
        
        บวมกดไม่บุ๋ม(nonpitting edema) เกิดจากความผิดปกติระบบน้ำเหลืองหรือโรคhypothyroid (การบวมนํ้าที่ค่อนข้างแข็งของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณหน้าแข้ง)
- - - - การคลำ
        
        คลำบริเวณหัวไหล่เพื่อสังเกตอาการปวดบวม
      - การเคลื่อนไหว
        
        เคลื่อนไหวหัวไหล่โดยการยก กาง หรือ หมุนหัวไหล่ พร้อมกับฟังเสียงในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว (Movement)
      - การดู
        
        สังเกตตำแหน่งและความสมมาตรของหัวไหล่ทั้ง2ข้าง (Symmetry)
    - - ด้วยอาการปวดอ่อนแรงในขณะยกหรือหมุนหัวไหล่ เกิดเสียงเสียดสีในขณะขยับบางท่าของไหล่
        
        ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก (Rotator Cuff Tear)
        
        รักษาได้โดย การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็กเพื่อทำการซ่อมเอ็นที่มีการฉีกขาด (Minimally Invasive Surgery : MIS)
      - เป็นภาวะที่มีการขยับข้อไหล่ได้น้อย โดยมักจะเริ่มจากไม่สามารถยก กาง หรือหมุนหัวไหล่ได้ ข้อไหล่จะค่อย ๆ ลดการเคลื่อนไหวจนกระทั่งเคลื่อนไหวได้น้อยลง
        
        ข้อไหล่ติด (Frozen Shoulder)
        
        รักษาได้โดย เพิ่มการขยับให้มากขึ้น โดยอาจใช้ร่วมกับการประคบร้อน เย็น หรือทำอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) การทานยา หากอาการปวดรุนแรงเรื้อรัง อาจจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าข้อ หรือการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อขยายถุงหุ้มไหล่ให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
      - ปวดบริเวณข้อ โดยเฉพาะเวลาอากาศเย็น
        
        ข้ออักเสบ (Arthritis)
        
        โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (The Rumatoid Arthritis)
        
        เกิดขึ้นได้กับทุกวัยและเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเพศชาย
        
        รักษาด้วยการใช้ยาร่วมกับการลดกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบกับข้อ ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น (Flexibility) ให้กับข้อ เช่น การออกกำลังกายที่ระดับความหนักน้อย (Low – Intensity) เช่น การวิ่งจ็อกกิง ไปจนถึงระดับความหนักปานกลาง (Moderate – Intensity) เช่น การขี่จักรยาน เป็นต้น
        
        โรคข้อเสื่อมหรือข้ออักเสบเรื้อรัง (Osteoarthritis)
- - - - การคลำ
        
        คลำบริเวณรอบดวงตาเช่น การบวม หรือมีก้อน เป็นต้น หรือมีการกดเจ็บร่วมด้วยหรือไม่
      - การเคลื่อนไหว
        
        โดยการกลอกลูกตาไปมา
      - การดู
        
        ทดสอบลานสายตา(ความกว้างในการมองเห็น) (visual field)
        
        ถือปากกาในมือขวาค้างไว้ตรงหน้าโดยเหยียดแขนออก ใช้มืออีกข้างปิดตาซ้าย มองตรงไปข้างหน้าค้างไว้ แล้วใช้แขนข้างที่เหยียดออกค่อยๆ เลื่อนปากกาไปทางขวา โดยให้แขนเหยียดตรงตลอด หยุดตรงจุดที่คุณมองไม่เห็นปากกา หากคุณมีลานสายตาเป็นปกติ แขนของคุณควรทำมุม 90 องศาจากจุดเริ่มต้น
        
        ทดสอบรูม่านตาโดยอาศัยการตอบสนอง( subjective tests)
        
        ใช้ไฟฉายส่องดูรูปร่างและวัดขนาดของรูม่าน
        ตาในแต่ละข้าง หลังจากนั้นทำการตรวจดูการตอบสนองต่อแสงของรูม่านตา
        
        สังเกตตำแหน่งและความสมมาตร(Symmetry)
        
        สังเกตลักษณะของ ลูกตาเลนส์ตา กระจกตา เยื่อบุตา และรูม่านตา
        
        การวัดค่าสายตา (refraction)
        
        สามารถวัดได้โดยใช้แผ่นทดสอบที่มีตัวเลข (chart) หรือตัวอักษรที่มีขนาดต่างกันบน chart
        
        ทดสอบตาบอดสีด้วยแผ่นทดสอบอิชิอารา (Ishihara plates)
        
        ตรวจดูรูเปิดของท่อทางออกของน้า ตาว่ามีการอุดตันหรือปิดไปหรือไม่ มีขี้ตาหรือหนองออกมา
        ทางรูเปิดหรือไม่
    - - เป็นแผ่นเนื้อสีขาวเหลืองหรือสีชมพู รูปทรงคล้ายสามเหลี่ยม เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตายื่นเข้าไปในตาดำ
        
        ต้อเนื้อ (Pterygium)
      - เป็นตุ่มนูนหรือแผ่นบางๆ สีหลือง โดยส่วนมากมีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม มักพบอยู่บริเวณตาขาวที่ใกล้กระจกตาตรงส่วนหัวตามากกว่าหางตา กรณีที่เกิดการลุกลามเข้าไปในกระจกตาจะถูกเรียกว่า “โรคต้อเนื้อ”
        
        ต้อลม (Pinguecula)
      - เลนส์แก้วตามีความขุ่นมัวจนกระทบต่อการมองเห็นจึงมองเห็นภาพต่างๆ อย่างพร่ามัว
        
        ต้อกระจก (Cataracts)
      - อาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ
        
        จอประสาทตาเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration: AMD)
      - ตาแดง แสบตา คันตา หรือระคายเคือง เยื่อบุตาเป็นเยื่อเมือกใสที่คลุมตาขาวและ บุด้านในของเปลือกตา
        
        เยื่อบุตาอักเสบ (Conjuctivitis)
      - มีเลือดออกและเห็นได้ชัดว่าบริเวณตาขาวกลายเป็นสีแดง
        
        Subconjunctival Hemorrhage หรือภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา
      - รู้สึกไม่สบายตา มีอาการระคายเคืองหรือแสบตา เกิดเมือกเหนียวๆ บริเวณรอบดวงตา ตาแดง ตาแฉะ
        มองเห็นภาพเบลอหรือตาล้า
        
        ตาแห้ง
      - ตาบอดสี (Color Blindness/Color Vision Deficiency)
- - - - ถ้าเคลื่อนไหวได้มากกว่าปกติมักเกิดจากเยื้อหุ้มข้อหย่อนหรือไหล่หลุดเป็นประจำบ่อยๆ
      - ถ้าพบว่าบวมเดดง ร้อน เเสดงว่าข้อนั้นๆ อักเสบ
      - ผิดรูปร่างหรือไม่
    - - ข้อต่อรูปเดือย (pivot joint) บิดหมุนได้ครึ่งรอบ เช่น ข้อต่อของกระดูกคอชิ้นที่ 1 และชิ้นที่ 2 (atlantoaxial joint) ข้อต่อ ข้อมือ บริเวณ รอยต่อของปลายแขน (radio-ulnar joint)
      - ข้อต่อรูปบานพับ (hinge joint) เช่น ข้อต่อที่ข้อศอก (elbow joint) หรือข้อต่อของขากรรไกรล่าง (temporomandibular joint)
      - ข้อต่อรูปอานม้า (saddle joint) พบในข้อต่อระหว่างกระดูกโคนนิ้วหัวแม่มือกับข้อมือ
      - ข้อต่อแบบปุ่ม (condyloid joint) มีลักษณะคล้ายข้อต่อแบบลูกกลมในเบ้าแต่เคลื่อนไหวได้น้อยกว่า เช่น ข้อต่อระหว่างกระดูกฝ่ามือกับกระดูกนิ้วมือ
      - ข้อต่อเพลน (plane joint) หรือ ข้อต่อไกลดิง (gliding joint) เป็นข้อต่อระหว่างกระดูกที่มีหน้าตัดเรียบ พบในข้อต่อที่กระดูกข้อมือและข้อต่อกระดูกข้อเท้า
      - ข้อต่อรูปบอลในเบ้า (ball and socket joint) มีการเคลื่อนไหวได้มากที่สุดเกือบทุกทิศทาง กระดูกที่มีข้อต่อชนิดนี้ คือ ข้อต่อกระดูกสะโพก ข้อต่อกระดูกหัวไหล่
- - - - สามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้
        
        หูชั้นกลางอักเสบ
        
        โรคหืด
        
        เยื่อบุตาอักเสบชนิดแพ้
        
        ภาวะต่อมอะดีนอยด์โต
        
        ไซนัสอักเสบ
- - - - X-ray, สังเกตว่ามีการบวมหรือไม่
  - - - การตรวจ
        
        การตรวจMcMurray test
        
        มีความรู้สึกclickหรือsnapร่วมกับมีอาการปวด ให้สงสัยว่ามีการฉีกขาดของหมอนรองกระดูกหัวเข้า
    - - การตรวจ
        
        การตรวจreflex
    - - การตรวจ
        
        ขูดฝ่าเท้าเป็นรูปตัวjถ้าปกตินิ้วเท้าจะงอ
        ถ้าผิดปกตินิ้วหัวแม่เท้าจะยกขึ้นนิ้วอื่นๆจะกางออกถือเป็น possitive
    - - การตรวจ
        
        ทดสอบSLR จากการยกขาทีละข้าง
    - - การตรวจ
        
        มีlaterl joint opening มากกว่าอีกข้างให้สงสัยว่ามีการฉีกขาดของ calcaneofibular ligament
- - - - -ขยับแขนได้ปกติ ตอบสนองปกติ
      - -ไม่มีอาการปวด
      - -ไม่มีรอยช้ำ
    - - -มีอาการคันและมีผื่นแดงขึ้น
      - -มีอาการแขนชาเป็นครั้งคราว
      - -พบก้อนเนื้อ ก้อนเล็กๆ1 ก้อน
  - - - -เพื่อดูผื่นแดง
    - - -เพื่อตรวจreflex
    - - -เพื่อหาก้อนเนื้อ
- - - - -ขยับมือและนิ้วได้ปกติ
      - -เล็บเป็นสีชมพูอ่อน เป็นสีธรรมชาติ
      - -ไม่มีอาการปวดต่างๆ
    - - -เล็บสีซีดขาว
      - -เล็บเป็นดอกขาว
      - -เล็บสีเขียวคล้ำ
      - -มีอาการนิ้วล็อค
      - -มีกระดูกงอกออกมาบริเวณข้อนิ้ว
      - -มีอาการมือชา
      - -เล็บเหลือง
  - - - ตรวจดูสีเล็บ
    - - ตรวจดูกระดูกที่นิ้วและข้อนิ้ว
- - - - การคลำจะใช้อุ้งนิ้วมือทั้ง4นิ้วคลำก่อน การคลำต้องถามผู้รับบริการว่าปวดหรือเจ็บบริเวณไหน และให้คลำบริเวณนั้นเป็นตำแหน่งสุดท้าย ขณะคลำต้องสังเกตสีหน้าของผู้รับบริการด้วย
    - - ใช้วิธีการเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งรายละเอียดของการผ่าตัดคือ จะมีแผลผ่าตัดที่ยาวประมาณ 2-4 นิ้วที่บริเวณหน้าท้องด้านขวาล่าง และตัดเอาไส้ติ่งนั้นออกไป ซึ่งอาจจะมีการให้นอนพักที่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน
      - ในกรณีที่เป็นไส้ติ่งแตก ก็ต้องมีการผ่าตัดเช่นกัน แต่แผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะต้องผ่าตัดเพื่อเอาไส้ติ่งออกและล้างเอาหนองในช่องท้องออกให้หมด หลังจากนั้นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล เพื่อให้ยาฆ่าเชื้อทางหลอดเลือดดำต่อประมาณ 5-10 วัน
      - ถ้าไส้ติ่งเป็นหนอง ก็ต้องรับการผ่าตัดเพื่อใส่สายระบายหนองอย่างฉุกเฉิน พร้อมกับให้ยาฆ่าเชื้อทางหลอดเลือดดำ จนอาการปวดท้องและไข้ดีขึ้นและให้พักฟื้นที่บ้าน หลังจากนั้นค่อยมาตามที่หมดนัดผ่าตัดอีกครั้งประมาณ 8 สัปดาห์ถัดมา
- - - - เนื้อเยื่อ หนา ๆ หรือมีก้อนตะปุ่มตะป่ำเล็ก ๆ (Vague thickening or nodularity)
      - ผิวหนังเต้านมบางหรือหนาผิดปกติ
    - - รูปร่าง ลักษณะ ขนาด
        เปรียบเทียบทั้งสองข้าง
        
        ตรวจทั้งท่านั่งและท่านอนหงาย
        
        รอยบุ๋ม รอยนูน
      - สีผิวบริเวณหน้าอก
        
        ผิวหนังของเต้านมเหนือก้อนมีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม (pour orange) แสดงว่าอาจมีการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองไม่ปกติ
  - - - มะเร็งเต้านม
        
        อาการ
        
        มีของเหลวหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากเต้านม
        
        เกิดผื่นคันที่เต้านมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
        
        ช่วงไม่มีประจำเดือนมีอาการเจ็บบริเวณเต้านม
        
        ลักษณะรูปร่างเต้านมที่เปลี่ยนไปจากเดิม
        กดที่เต้านมแล้วผิวหนังบุ๋ม
        
        คลำพบก้อนเนื้อที่เต้านม หรือใต้รักแร้
        
        ระยะของมะเร็งเต้านม
        
        ระยะที่ 2 : เชื้ออาจเริ่มแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ก้อนเนื้อจะมีขนาด 2-5 เซนติเมตร
        
        ระยะที่ 3 : เชื้อจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองอย่างมากทำให้เนื้อบริเวณรักแร้ติดกับอวัยวะใกล้เคียง ในระยะนี้ก้อนเนื้อจะมีขนาดมากกว่า 5 เซนติเมตร
        
        ระยะที่ 1 : เชื้อจะยังไม่กระจายโดยก้อนมะเร็งจะมีขนาดเล็กว่า 2 เซนติเมตร
        
        ระยะที่ 4 : เชื้อจะแพร่สู่อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น สมอง กระดูก หรือปอด เป็นต้น ระยะนี้ก้อนเนื้อจะมีขนาดได้หลายขนาด
    - - สีผิวบริเวณหน้าอกปกติ
      - ไม่มีรอยบุ๋ม นูน ผื่นคันหรือมีก้อนเนื้อตะปุ่มตะป่ำเล็ก ๆ
      - ไม่มีของเหลวหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากเต้านม
- - - - ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
      - จุดกดเจ็บตำแหน่งของกระดูกสันหลัง
    - - ด้านข้าง ด้านหน้า และด้านหลัง โดยก้มตัวแตะนิ้วเท้า เพื่อมองดูแนวกระดูกสันหลัง ความนูน ความคดงอ และสมมาตรของร่างกาย
      - แนวกระดูก (alignment) และการผิดรูป (deformity)
      - รูปร่างการยืนและการเดิน
      - สีของผิวหนัง
    - - ท่าก้มศีรษะ ( flexion )ท่าเงยศีรษะ ( extension )
      - การก้มตัวและแอ่นหลัง
      - การบิดหมุนตัว
  - - - ความผิดปกติเนื่องจากโรคร้าย
        
        โรคกระดูกสันหลังคด
        
        ไหล่ หรือสะโพก 2 ข้าง สูงไม่เท่ากัน
        
        ปวดบริเวณต่างๆ เช่น ปวดคอ ปวดสะบัก ปวดหลัง ปวดเอว ปวดสะโพก ปวดขา ชาแขน หรือชาขา เป็นต้น
        
        แนวกระดูกสันหลังคด ไม่ตรง
        
        กระดูกสะบัก โก่งนูนมากขึ้น
        
        ด้านหลังอาจมีกระดูกนูน เห็นชัดในท่าก้มตัวไปข้างหน้า
        
        โรคกระดูกก้านคอเสื่อม
        
        อาการชาหรืออ่อนแรงของมือและแขน
        
        นอนหลับไม่สนิท
        
        ปวดหลังคอบริเวณ 2 ข้างของกระดูกสันหลัง อาจปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอย หรือ ลงมาบริเวณสะบัก
        
        นอนตะแคงแล้วจะเกิดอาการปวดเมื่อย
        
        โรคกระดูกทับเส้น
        
        อาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อสะโพกกล้ามเนื้อในการกระดูกข้อเท้าและ ปลายนิ้วหัวแม่เท้า
        
        อาการชาบริเวณปลายเท้า โดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วเท้าที่ 2
        
        ปวดหลัง สะโพกและปวดร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างรุนแรง อาการปวดมากขึ้นเวลาไอ หรือจาม
        
        อาการผิดปกติของระบบขับถ่ายไม่สามารถควบคุมได้
        
        โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม
        
        ปวดหน่วงๆรอบเอว
        
        ปวดร้าวมาแขนหรือขา
        
        ปวดรอบๆต้นคอร้าวมาไหล2ข้าง
      - ความผิดปกติเนื่องจากอุบัติเหตุ
        
        อาการกระดูกสันหลังแตกหัก ( Vertebral fractures )
        
        ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจะส่งผลให้เป็นอัมพาตทั้งแขนและขา ( quadriplegia ) และยังสามารถส่งผลกระทบระบบหายใจได้อีกด้วย
      - ความผิดปกติที่มีตั้งแต่กำเนิด
        
        สไปนา ไบฟิดา ( Spina bifida ) ที่เกิดขึ้นตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา เกิดเนื่องจากแนวโค้งของ vertebral arches ทั้งสองด้านไม่สามารถเชื่อมต่อกันในขณะที่ทารกกำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ ส่งผลให้กระดูกสันหลังมีช่องว่างที่อยู่ภายในกระดูกสันหลังมีการเปิดออกมา
      - ความผิดปกติเนื่องจากพฤติกรรม
        
        การนั่ง ยืน เดินหรือนอน การยก การก้ม การเงย
        
        ช่วงแรกจะมีอาการปวดเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นและหายไปได้เองในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แต่ทว่าถ้ายังคงทำพฤติกรรมดังกล่าวต่อไปเรื่อย จะส่งผลให้กระดูกสันหลังมีรูปร่างที่ผิดปกติตลอดชีวิต ทำให้ลักษณะการเดิน ยืนหรือนั่งมีทวงท่าที่ผิดปกติตามไปด้วย
    - - แนวกระดูกไม่มีความคดงอ มีความสมมาตร
      - กดแล้วไม่เจ็บในแนวกระดูกสันหลัง
      - การยืน การเดินมีการทรงตัวที่ดี
- - - - การดู
        
        ภายนอกด้วยตาเปล่าว่ามีสภาพเป็นปกติหรือไม่ มีรอยแดง แผล บวม หรืออาการผิดปกติหรือไม่
      - การตรวจสอบทางการแพทย์
        
        การตรวจภายใน หรือ PV
        
        บางรายอาจมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปพร้อมกัน
    - - กลิ่นผิดปกติไปจากเดิม
      - ความผิดปกติของตกขาว
        
        ตกขาวมีสีน้ำตาลหรือปนเลือด
        
        ตกขาวมีสีเหลืองขุ่น
        
        ตกขาวมีสีเหลืองออกเขียวร่วม
        กับกลิ่นผิดปกติ
        
        ตกขาวมีสีออกชมพู
        
        ตกขาวมีลักษณะเหนียวผิดปกติ
      - เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์
      - ภายในช่องคลอดแห้งผิดปกติ
      - ช่องคลอดมีเลือดออกผิดปกติ
        
        มีเนื้องอกในมดลูก
        
        ฮอร์โมนผิดปกติ
        
        มะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งช่องคลอด
      - มีแผลหรือลักษณะความผิดปกติอื่นๆ บริเวณผิวหนังใกล้ช่องคลอด
  - - - การดู
        
        มีอาการปวด แสบ คัน แผล มีหนอง มีเลือดออก หรืออาการอื่นข้างเคียง
      - ทางการแพทย์
        
        พบคุณหมอทั่วไปได้ เพราะอาการเบื้องต้นในบริเวณส่วนนั้น
    - - ปวดบริเวณหัวของอวัยวะสืบพันธุ์
      - ปวดไข่ (อัณฑะ) หน่วงๆ ลงขาหนีบ หรือปวดบริเวณก้อนอัณฑะ
        
        ต่อมลูกหมากอักเสบ
        
        ซีสต์ในถุงอัณฑะ
      - น้องชายแข็งค้างแล้วปวด
      - ปวดลำกล้อง
        
        โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
        
        โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
        
        โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
      - อาการปัสสาวะแสบขัด
        
        โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
        
        โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- - - - กระดูกเชิงกรานหัก
        
        ส่วนใหญ่จะเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน และตกจากที่สูง
    - - การดู
        
        ปวดสะโพก
        
        สะโพกผิดรูป
      - ทางการแพทย์
        
        X-ray
  - - - การดู
        
        สะโพกเบี้ยว
        
        ภาวะตกขาวผิดปกติ มีกลิ่น หรือ สีเปลี่ยนไป
        
        ปวดมากขณะมีเพศสัมพันธ์
      - ทางการแพทย์
        
        X-rays
    - - ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
        
        เกิดจากการการติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง บริเวณมดลูก ปีกมดลูก และท่อนำไข่
      - กระดูกเชิงกรานหัก
        
        ส่วนใหญ่จะเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน และตกจากที่สูง
      - ไส้เลื่อนในช่องเชิงกราน
        
        เกิดจากลำไส้มีการเคลื่อนตัวเข้ารูในกระดูกเชิงกราน พบมากในเพศหญิง
      - โรคอุ้งเชิงกรานหย่อน
        
        มีอาการหน่วงช่องคลอด หูรูดท่อปัสสาวะหย่อน ไม่สามารถปิดเพื่อกักเก็บปัสสาวะ
- - - - หายใจลำบาก
      - เมื่อมีการเคลื่อนไหว จะมีอาการไอหรือหายใจแรง
      - พบรอยช้ำที่ผิวหนังแถวๆทรวงอก
      - เจ็บปวดบริเวณทรวงอก
      - แน่นหน้าอก
      - การเคลือนของกระดูกซี่โครง
      - การหักของกระดูกซี่โครง
    - - กระดูกซี่โครงธรรมดา (Typical ribs) ได้แก่กระดูกซี่โครงคู่ที่ 3 ถึง 9 ซึ่งมีโครงสร้างที่คล้ายกันมาก
      - กระดูกซี่โครงชนิดพิเศษ (Atypical ribs) เป็นกระดูกซี่โครงที่มีลักษณะต่างออกไปจากกระดูกซี่โครงธรรมดา
        
        กระดูกซี่โครงคู่ที่ 1 จะมีส่วนท่อนกระดูกที่วางตัวในแนวนอน (กระดูกซี่โครงคู่อื่นจะวางตัวในแนวตั้ง)
        
        กระดูกซี่โครงคู่ที่ 2 จะบางและยาวกว่ากระดูกซี่โครงคู่ที่ 1
        
        กระดูกซี่โครงคู่ที่ 10 จะมีจุดเกาะกับกระดูกสันหลังบนหัวกระดูกเพียงจุดเดียว ส่วนกระดูกซี่โครงคู่ที่ 11 และ 12 จะสั้นกว่าคู่อื่นๆ
- - - - การนูนขึ้นของไหปลาร้า
      - การผิกปกติบริเวณสะบัก
    - - การผิดรูปของไหลปลาร้า
      - การบวมของไหลปลาร้า หลังได้รับบาดเจ็บ
  - - - ปวดไหล่ หรือ ปวดแขนมาก รับประทานยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น
      - การหักของกระดูกไหปลาร้า
      - การเคลื่อนของกระดูกไหปลาร้า
      - พบการนูนขึ้นของ มุมด้านล่างของกระดูกสะบัก (Inferior angle of the scapula)
      - พบรอยถลอก รอยบวมบริเวณหัวไหล่
      - พบรอยจ้ำเลือดใต้ผิวหนัง บริเวณหัวไหล่
      - พบการผิดรูปของกระดูกรอบหัวไหล่
      - การเคลื่อนไหวของหัวไหล่ผิดปกติ
      - การนูนขึ้นของไหปลาร้าส่วนปลาย
      - มีปัญหาเรื่องการยกแขน
    - - ขณะกางแขนออก กระดูกไหปลาร้าจะมีการหมุนรอบแกน ในแนวนอนคล้ายกับการไขกุญแจ
      - ทำให้แขนสามารถเคลื่อนไหว ได้อย่างเป็นอิสระอยู่บนลำตัว
- - - - ไม่เป็นกระดูกต้นขาหัก
      - ไม่มีโรคข้อลูกสะบ้าอักเสบ
      - ไม่มีโรคข้อเข่าเสื่อม
      - ไม่มีอาการปวด
      - ไม่มีอาการบาดเจ็บ
      - ไม่มีการสึกหรอของกระดูก
      - ไม่มีความผิดปกติของกลไก
      - ไม่ปวดกล้ามเนื้อตะกละ
      - ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน
  - - - ปัญหาต้นขาข้องผู้หญิงไม่ค่อยต่างจากผู้ชาย ต่างตรงที่การใช้งานเพราะผู้ชายอาจจะใช้งานมากกว่า เช่น เล่นกีฬา
    - - การคลำ
      - การถ่ายภาพหรือการเอกซ์เรย์
      - การบริหาร
- - - - ภาวะหัวใจเต้นเร็ว
        ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติเกิน100ครั้ง/m อาจทำให้มีอาการใจสั่น หายใจหอบเหนื่อย อ่อนล้า เวียนศีรษะ รู้สึกหวิว หรือเป็นลมหมดสติได้ หากมีอาการร้ายแรงอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน หัวใจวาย หรือหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้
      - ภาวะหัวใจเต้นช้า
        ชีพจรเต้นช้ากว่าปกติ โดยมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ โดยเฉพาะหากหัวใจเต้นช้าจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดและนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ตามร่างกายได้อย่างเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย เหนื่อยเร็วเมื่อออกกำลังกาย วิงเวียนศีรษะ สับสนมึนงง ไม่มีสมาธิ หายใจไม่สุด ใจสั่น เป็นลม วูบ หากมีอาการร้ายแรงอาจทำให้ความดันโลหิตผิดปกติ เป็นลมบ่อย หัวใจวาย หรือหัวใจหยุดเต้นได้
      - ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
        มีชีพจรเต้นในลักษณะผิดปกติ โดยอาจเกิดขึ้นร่วมกับอัตราการเต้นของชีพจรที่สูงกว่าปกติ ต่ำกว่าปกติ หรือแม้แต่อัตราปกติก็ได้ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพ เช่น ขาดสมดุลของแร่ธาตุในเลือด กล้ามเนื้อหัวใจเกิดการเปลี่ยนแปลง โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเป็นการบาดเจ็บจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น โดยอาการที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของหัวใจที่เกิดความเสียหาย ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน เช่น ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว (Ventricular Fibrillation) เป็นต้น
      - ภาวะปกติ
        ผู้ใหญ่จะมีชีพจรเต้น 60-100 ครั้ง/นาที แต่ผู้ที่สุขภาพแข็งแรงหรือนักกีฬามักมีชีพจรต่ำ โดยอาจมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักอยู่ที่เพียง 40-60 ครั้ง/นาที
    - - เสียงฟู่ของหัวใจ(heart murmur)
        
        เกิดจากการที่เลือดที่ไหลผ่านหัวใจมีการไหลปั่นป่วนมากพอที่จะเกิดเป็นเสียงให้ได้ยิน ส่วนใหญ่จะได้ยินได้ด้วยการฟังผ่านหูฟังเท่านั้น
        
        ชนิดปกติ (functional murmur, physiologic murmur)
        เสียงฟู่ของหัวใจที่เกิดจากภาวะอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นผลจากความผิดปกติของโครงสร้างของหัวใจโดยตรง เสียงฟู่ของหัวใจชนิดปกตินี้ไม่บ่งบอกถึงอันตรายแต่อย่างใด (innocent murmur)
        
        เสียงฟู่ของหัวใจชนิดมีพยาธิสภาพ (pathologic murmur)
        ภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว หรือมีการไหลของเลือดผ่านช่องทางที่ปกติแล้วไม่ควรมี (เช่น ผนังกั้นหัวใจมีช่องว่าง)
      - โรคลิ้นหัวใจรั่ว
        
        ภาวะที่ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท มีรูรั่วหรือขาด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดในหัวใจลดลงและหัวใจทำงานหนักขึ้น
      - โรคลิ้นหัวใจตีบ
        
        ภาวะที่ลิ้นหัวใจเปิดและปิดได้ไม่สุด จึงทำให้เลือดออกจากห้องหัวใจยากขึ้น ทำให้เกิดความดันและปริมาณเลือดสะสมย้อนกลับไปสู่ห้องหัวใจและหลอดเลือด
      - โรคหัวใจแต่กำเนิดชนิดผนังกั้นหัวใจห้องบนรั่ว (Atrial Septal Defect หรือ ASD)
        
        เกิดการพัฒนาของผนังกั้นหัวใจที่ไม่สมบูรณ์ มีรูรั่ว ทำให้เลือดแดงไหลจากหัวใจห้องบนซ้ายไปห้องบนขวาและผ่านไปปอดเพิ่มขึ้นส่งผลให้หัวใจโตผิดปกติ
- - - - การมีรอยประสานของกะโหลกศีรษะและใบหน้าหลายตำแหน่งเชื่อมติดกันผิดปกติ
- - - - เสียงทึบสนิท(Flatness) แสดงว่ามีของเหลว เช่น น้ำ หนอง เลือด อยู่ในช่องปอดเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
      - เสียงทึบ(Dullnuse) เยื่อหุ้มปอดหนาขึ้น ปอดแฟบ ปอดบวม
      - เสียงกังวาน(Resonance) เกิดจากการเคาะบริเวณเนื้อปอดปกติ
      - เสียงโปร่ง(Hyper resonance) เกิดจากการเคาะบริเวณที่มีลมอยู่มาก พบในโรคถุงลมโป่งพอง(Emphysema) และลมในช่องเยื้อหุ้มปอด(Pneumothorax )
      - เสียงโปร่งมาก(Tympany) เคาะบริเวณที่มีฟองอากาศ เช่น กระเพาะอาหาร ท้อง ถ้าเคาะปอดแล้วไดยินเสียงนี้แสดงว่ามีลมในช่องปอดจำนวนมาก
- - - - ช่องปากสะอาดไม่พบ รอยแผลหรืออาการร้อนใน
    - - โรคมะเร็งในข่องปาก
        
        จะมีอาการดังต่อไปนี้
        
        ภายในช่องปากปรากฏรอยสีขาวคล้ายกำมะหยี่แดง หรือรอยด่างสีแดงขาว
        ที่บริเวณริมฝีปาก เหงือก หรือส่วนอื่นๆ ในช่องปากเกิดอาการบวม มีตุ่ม ก้อนเนื้อ หรือมีแผลเกิดขึ้น
        
        พบว่ามีเลือดไหลในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ
        
        รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างติดอยู่ภายในลำคอ
        
        พบว่าที่บริเวณใบหน้า ปาก หรือลำคอ มีอาการด้านชาไร้ความรู้สึก หรือมีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีเลือดออกง่ายในช่องปาก อาการเหล่านี้ไม่หายภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์
        
        เกิดการเปลี่ยนแปลงของตัวฟัน การสบฟัน หรือการเคี้ยว
        
        อาการเจ็บคอเรื้อรัง รวมทั้งเสียงเปลี่ยนและเสียงแหบ
        
        เจ็บที่หู
        
        มีปัญหาในการเคี้ยวหรือกลืนอาหาร รวมไปถึงการพูดคุยและการเคลื่อนไหวของกรามหรือลิ้น
        
        น้ำหนักลดอย่างมาก
      - โรคแผลในปาก
        
        ลักษณะของอาการ
        
        แผลขนาดเล็ก
        
        แผลในปากขนาดเล็กเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยแผลจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีขนาดเล็ก สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
        
        แผลขนาดใหญ่
        
        แผลในปากขนาดใหญ่มักพบได้น้อย มีลักษณะเป็นวงกลมและวงรีขนาดใหญ่และลึกกว่าแผลขนาดเล็ก ขอบแผลชัดแต่เมื่อแผลมีขนาดใหญ่มากขอบของแผลอาจมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บมากโดยอาจใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ในการรักษาและอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้
        
        แผลเฮอร์ปิติฟอร์ม (Herpetiform)
        
        เป็นแผลที่พบได้ยาก ขนาดเล็กแต่มีจำนวนมากซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 10-100 จุด และอาจขยายรวมกันจนกลายเป็นแผลใหญ่แผลเดียว มีลักษณะขอบแผลที่ไม่แน่นอนสามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น โดยแผลในปากชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเริม
      - โรคเชื้อราในปาก
        (oral thrush)
        
        อาการในเด็กและผู้ใหญ่
        
        มีคราบสีขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือเพดานปาก ที่เหงือก และต่อมทอนซิล
        
        ลักษณะคราบขาวจะมีลักษณะคล้ายกับฝ้าในปาก
        
        ภายในช่องปากแดง หรือเป็นแผล จนส่งผล
        กระทบต่อการกลืนอาหารหรือการเคี้ยวอาหาร
        
        อาจมีเลือดออกซิบ ๆ มาจากบริเวณนั้นหากไปถู หรือขูด
        
        ผู้ที่ใส่ฟันปลอมอาจมีอาการปากแตกหรือเป็นรอยแดงที่มุมปาก
        
        ลิ้นไม่ค่อยรับรู้รสชาติ
        
        รู้สึกปากแห้ง
        
        อาการในทารกและหญิงให้นมบุตร
        
        เกิดอาการคัน เจ็บ ที่บริเวณหัวนม
        
        หัวนมมีลักษณะแดง หรือแห้งแตกผิดปกติ
        
        ลานหัวนมมีลักษณะเงา เป็นขุย
        
        มีอาการเจ็บที่หัวนมขณะที่ให้นมบุตร
        
        อาจมีอาการเจ็บร้าวลึกเข้าไปในหน้าอก
- - - - การเตรียมขูดหินปูน
      - การอุดฟัน
      - การถอนฟัน
      - การเคลือบฟัน
      - โรคเหงือกต่างๆ
    - - การจัดฟัน
      - การผ่าฟันคุด
      - รักษารากฟันเทียม
      - ถอนฟันในกรณีที่รากฟันลึกมาก