Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเล่นเพื่อพัฒนา - Coggle Diagram
การเล่นเพื่อพัฒนา
ลักษณะการเล่นของเด็ก
การสำรวจ(Exploration)
มีความสนใจ สงสัย และกระตือรือร้นใคร่รู้ในสิ่งที่อยู่รอบตัว
เด็กใช้ประสาทสัมผัสต่างๆมากกว่าการสัมผัสจับต้อง
นำไปสู่การค้นพบและการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่เด็กไม่เคยเรียนรู้
การทดสอบ (Testing)
ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียน รู้ คิดอย่างมีเหตุผลจากการสรุปความ
อาศัยความรู้ใหม่และความรู้จากประสบการณ์ที่คุ้นเคยเป็นพื้นฐาน
การเล่นเลียนแบบ (Imitation)
สะท้อนให้ผู้อื่นเห็นและทราบถึงการรับรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆของเด็ก
ชอบเล่นเลียนแบบคนที่ตนคุ้นเคยและสำคัญ
ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว โดยรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส
สถานการณ์ที่เด็กนำมาเล่นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเด็กแต่ละคน
การสร้าง (Construction)
เด็กสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะต่างๆ
ทำให้เห็นความสามารถเด็กในการรวบรวมอารมณ์ ความคิด และเหตุผล
ความสนใจในการเล่น
เด็ก 3 ขวบนาน 8.9 นาที
เด็ก 4 ขวบ นาน 12.3 นาที
เด็ก 2 ขวบ นาน 7 นาที
เด็ก 5 ขวบ นาน 13.6 นาที
การเล่นแบบสร้างจินตนาการจะมีมากที่สุดในเด็กอายุระหว่าง 5-8 ขวบ
ความหมายของการเล่น
การกระทำเพื่อความสนุกหรือผ่อนอารมณ์
เป็นการเล่นคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
การเล่นที่มีกฏเกณฑ์บังคับโดยผู้เล่นต้องเล่นตามกฎเกณฑ์นั้น
ความสำคัญของการเล่น
แพตตี้ สมิธ ฮิลล์ (Patty Smith Hill)
การเล่นช่วยให้เด็กได้ทดลอง ค้นคว้าหาวิธีการในการที่จะค้นพบสิ่งที่มีความหมายด้วยวิธีของตนเอง
มอนเตสซอรี่ (Montessori)
การเล่นทำให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกความเป็นตัวตน
และก่อเกิดเป็นบุคลิกภาพโดยรวม
โฟรเบล (Froebel)
การเล่นเป็นพื้นฐานของ
การเรียนรู้ในระยะต่อไปของชีวิต
ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการเล่น
ทฤษฎีการเล่นคลาสสิก
ทฤษฎีการผ่อนคลาย
การเล่นจะสนองความต้องการที่จะผ่อนคลายความเครียดทางอารมณ์
ทฤษฎีการทำซ้ำ
การเล่นของมนุษย์เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
ทฤษฎีพลังงานเหลือใช้
ใช้พลังงานในการทำงานก่อนแล้วจึงนำพลังงานที่เหลือมาใช้ในการเล่น
ทฤษฎีการเล่นโดยสัญชาตญาณ
เล่นเพื่อเตรียมตัวสำหรับชีวิตในอนาคตเพื่อที่จะฝึกให้เกิดความสมบูรณ์
เด็กได้เล่นมากจะทำให้มีโอกาสฝึกทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตเมื่อโตขึ้น
ทฤษฎีการเล่นร่วมสมัย
ทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา
ทฤษฎีการเล่นทางสติปัญญาของพีอาเจต์
ขั้นเริ่มมีความคิดความเข้าใจ อายุ 2-7 ปี
ขั้นกำหนดความคิดไว้ล่วงหน้า อายุ 2-4 ปี
มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆได้แต่ยังไม่สมบูรณ์และไม่มีเหตุผล
ขั้นคิดเอาเอง อายุ 4-7 ปี
สามารถคิดอย่างมีเหตุผลแต่ยังเป็นลักษณะการรับรู้มากกว่าความเข้าใจ
มีพัฒนาการรับรู้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เป็นหมวดหมู่
เชื่อตัวเองโดยไม่ยอมเปลี่ยนความคิด
ขั้นใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชิงรูปธรรมอายุ 7-11ปี
พัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาอย่างรวดเร็วสามารถคิดอย่างมีเหตุผลแบ่งแยกสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ลำดับขั้น
สามารถนำความรู้หรือประสบการณ์ในอดีตมาแก้ปัญหาเหตุการณ์ใหม่ๆได้
ขั้นใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ อายุ 0- 2 ปี
ขั้นพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาก่อนที่เด็กจะพูดเป็นภาษา
แสดงพฤติกรรมต่างๆเป็นลักษณะของปฏิกิริยาสะท้อน
ขั้นใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชิงนามธรรม อายุ 11-15 ปี
สามารถคิดแก้ปัญหาที่เป็นนามธรรมด้วยวิธีการหลากหลาย
ใช้สติปัญญาอย่างสลับซับซ้อนได้
พัฒนาการการเล่น
เล่นเกี่ยวกับการสร้าง ( Constructive Play)
เด็กเริ่มรู้จักนำเอาสิ่งของมาสร้างให้เป็นสิ่งต่างๆ
การเล่นที่มีวัตถุประสงค์โดยไม่มีขอบเขตจำกัดและเล่นด้วยความพึงพอใจ
การเล่นโดยใช้สัญลักษณ์ ( Symbolic Play )
เด็กจะใช้สัญลักษณ์โดยใช้ภาษาและท่าทางในการแสดงออก
การแสดงละครสมมุติ
องค์ประกอบที่เป็นจริง
เด็กจะแสดงออกหรือทำให้เหมือนคนอื่นๆให้ดูเหมือนกับโลกของผู้ใหญ่
องค์ประกอบที่ไม่เป็นจริง
เด็กจะสร้างจินตนาการแล้วทำให้ดูเหมือนสมจริง
เกิดขึ้นในช่วงที่เด็กมีอายุ 2 ขวบ
การเล่นโดยใช้ประสาทสัมผัส ( Sensorimotor Play )
การสำรวจ จับต้องวัตถุนับว่าเป็นการฝึกเล่น
ยุติลงเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ
ขั้นพัฒนาการทางสติปัญญากับขั้นพัฒนาการทางการเล่น
การเล่นกับตนเอง
การเล่นของเด็กที่อยู่ในขั้นประสาทสัมผัส
การเล่นทางสัญลักษณ์
การเล่นที่อยู่ในพัฒนาการขั้นเริ่มมีความคิดความเข้าใจ
ทฤษฎีสังคมและวัฒนธรรม
ทฤษฎีการเล่นของไวก๊อตสกี้
การเรียนรู้ของเด็กที่ผ่านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้ใหญ่
ทำให้ได้รับประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและสังคม
เด็กมีพัฒนาทางภาษาและสติปัญญา
ทฤษฎีการเล่นของพาร์เตน
การเล่นตามลำพัง
แสดงพฤติกรรมโดยการเล่นเงียบ ๆ ตามลำพัง
การเล่นคู่ขนาน
การเล่นที่เด็กนั่งเล่นอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่เล่นคนเดียวไม่เล่นด้วยกัน
การเล่นแบบเป็นผู้ดู
) เด็กแสดงพฤติกรรมโดยการมองดูผู้อื่นเล่น
การเล่นแบบสัมพันธ์กัน
เป็นการเล่นที่เด็กเข้ากลุ่มกับเด็กอื่นประมาณ 4 – 6 คน
การไม่แสดงการเล่น
เด็กไม่แสดงพฤติกรรมการเล่น
การเล่นแบบร่วมมือ
เป็นการเล่นที่เด็กทำงานเป็นกลุ่มอย่างมีแผนงาน
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ซิกมัน ฟรอยด์
การเล่นเกิดจากความพึงพอใจเด็กจะบรรลุได้จะต้องสนองด้วยการเล่น
การเล่นช่วยให้เด็กลดความไม่พึงพอใจได้โดยค่อยๆลดความวิตกกังวลลง
อีริคสัน
เด็กจะเล่นกับของเล่นและวัตถุต่างๆรอบตัว
เป็นการช่วยปรับปรุงตนเอง
กฎเกณฑ์ที่เด็กจะต้องเรียนรู้
การเล่นกับผู้อื่น
เริ่มเมื่อเด็กมีอายุในช่วงที่จะเข้าสู่สถานศึกษาปฐมวัย
รู้จักการแบ่งปันของเล่นกับผู้อื่นและรู้การเล่นในสังคม
การเล่นเกี่ยวกับตนเอง
เริ่มตั่งแต่แรกเกิดโดยทีศูนย์กลางของการเล่นนั้นอยู่ที่ตัวของเด็กเอง
เป็นการเริ่มต้นที่จะเรียนรู้ลักษณะต่าง ๆ
วอลเดอร์
แนวคิดการถูกบังคับให้ทำซ้ำๆซากๆ
เมื่อเด็กมีประสบการณ์ที่ไม่พึงพอใจเด็กจะสร้างประสบการณ์นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยการเล่นเพื่อที่จะลดความเข้มข้นของประสบการณ์ที่ไม่พึงพอใจนั้นลง
ประโยชน์ของการเล่น
ส่งเสริมพัฒนาการ
ด้านอารมณ์
แสดงถึงลักษณะนิสัยของเด็ก
ทำให้เด็กมีสุขภาพจิตดี
ด้านสังคม
มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ในตัวผู้อื่นและในสิ่งแวดล้อม
เป็นการฝึกให้เด็กกล้าที่จะแสดงออก
การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ฝึกความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น
ฝึกการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
ด้านร่างกาย
เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก
การใช้ประสาทสัมผัส
เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่
การทรงตัว การเคลื่อนไหว
ด้านสติปัญญา
เรียนรู้การแก้ปัญหา
มีความคิดสร้างสรรค์
การช่วยเหลือตนเอง การตัดสินใจต่างๆ
ส่งเสริมการสื่อสาร
กระตุ้นการเรียนรู้เกิดพัฒนาการทางสมอง