Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การตรวจร่างกาย, นศพต.กรพิน หิมรัตน์ เลขที่1 นศพต.กรรณิกา โชติพงศ์ เลขที่…

- - - - ให้ผู้รับบริการหลับตาและต้องแน่ใจว่ารูจมูก2ข้างไม่ตัน ให้ใช้สิ่งมีกลิ่นไปกระตุ้นปลายประสาท
        ปลายประสาทสมองด้วยพวกแอมโมเนีย น้ำมันก้านพลู สบู่กาแฟให้ดมทีละข้าง
    - - ถ้าการได้กลิ่นเสียไปข้างใดข้างหนึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติที่Frontal lobe
  - - - ตรวจโดยใช้เข็มหมุดปลายแหลม แตะตั้งแต่หน้าผาก คาง แก้ม รวมทั้งศีรษะและมุมคาง
    - - ตรวจโดยใช้สำลีเเตะบริเวณหน้าตามตำแหน่งเดียวกันกับpainและเปรียบเทียบกัน
    - - ตรวจโดยให้ผู้ป่วยขบกรามเข้า-ออก และผู้ตรวจใช้นิ้วคลำกระพุ้งแก้มทั้ง2ข้าง
  - - - บริเวณการรับรสของลิ้น
    - - ให้ผู้ป่วยยิงฟันเต็มที่ และผู้ตรวจดูการยกของมุมปาก
    - - ให้ผู้ป่วยเป่าแก้มทั้งสองข้าง ทำปากจู๋ และผิวปาก
    - - ให้ผู้ป่วยหลับตา
        คนปกติ:หลับตาได้สนิท
        ผิดปกติ:จะมองเห็นตาขาว
  - - - ให้ผู้ป่วยหันหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และให้พยายามดันคางกลับทางเดิม (คนปกติจะต้านแรงผู้ตรวจได้)
    - - ให้ผู้ป่วยนั่งหรือยืนตัวตรง
        
        สังเกต
        
        ระดับไหล่ว่าเท่ากันหรือไม่
        
        กล้ามเนื้อลีบกว่ากันหรือไม่
        
        กดไหล่ผู้ป่วย เพื่อดูกำลังของกล้ามเนื้อ
  - - - สังเกต
        
        ขนาดและลักษณะของลิ้น ถ้าลิ้นเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่ามีความผิดปกติ
- - - - ภาวะปกติ
        
        สามารถเคลื่อนไหวได้ตามที่ให้ทำ และเห็นพื้นที่หรือขอบเขตของคอ
      - ภาวะผิดปกติ
        
        คอเอียง
        
        คอเเข็ง
        
        ไม่สามารถก้มเอียงคอหมุนคอ
        
        แหงนหน้าไม่ได้
        
        ต่อม thyroid โต
        
        เส้นเลือดดำที่คอโป่งพอง ระยะสูงจาก stern also angle มากกว่า 3 ชั่วโมง
    - - ภาวะปกติ
        
        สามารถต้านแรงกับผู้ตรวจได้
      - ภาวะผิดปกติ
        
        หลอดลมจะเฉเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
        
        คลำต่อม thyroid พบก้อนโต ผิวไม่เรียบ
        
        คลำต่อมน้ำเหลือง ที่หน้าหู หลังหู ใต้คาง
        ใต้ขากรรไก กระดูกไหปลาร้า โต บวม กดเจ็บ
        
        คลำต่อน้ำลาย ( parotid gland , submaxillary gland ,
        sublingual gland ) โต บวม กด เจ็บ
- - - - หัวหน่าวและขนบริเวณหัวหน่าว
        
        การลอก แผลถลอก ผื่นแดง การกระจายขน
      - แคมใหญ่
        
        ดูสีผิว ผื่นแดง แผลถลอก การลอก อักเสบ บวม การมีก้อน และกดเจ็บ
        
        เมื่อบวม และอักเสบอาจมีการติดเชื้อของต่อมสร้างเมือก
      - แคมเล็ก
        
        ใช้มือแยกจากกันเพื่อกูแคมในและเม็ดละมุด
        
        ดูสีผิว ผื่นแดง แผลถลอก การลอก การอักเสบ บวม ก้อน และการกดเจ็บ
      - รูเปิดของท่อปัสสาวะ
        
        การดู
        
        ดูการบวม อักเสบ มีสารคัดหลั่งหรือไม่ และดูรูเปิดปัสสาวะ
        
        การคลำ
        
        สอดนิ้วรีดท่อปัสสาวะเบาๆ และสังเกตสารคัดหลั่งจากรูเปิดของท่อปัสสาวะและรูเปิดของ่อม Skene’s gland
      - ช่องคลอด
        
        การดู
        
        การดูเยื่อพรมจารีย์ การมีแผล อักเสบ บวม สารคัดหลั่ง
        
        การคลำ
        
        ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแยกแคมนอก เพื่อดูความแข็งแรงช่องคลอด แล้วเบ่งลงล่างเหมือนถ่ายปัสสาวะ สังเกตการหย่อนหรือโป่งของช่องคลอดหรือมดลูกหรือไม่
      - ฝีเย็บ
        
        อยู่ระช่องคลอดและทวารหนัก
        
        ดูสีผิว รอยโรค แผล การอักเสบ บวม และการกดเจ็บ
    - - การเคลื่อนไหวของลำไส้ และอาจจะได้ยินการเคลื่อนไหวลำไส้ลดลงบางรายอาจมีการท้องผูกร่วม
        
        สาเหตุ
        
        มะเร็งปากที่มดลูก ปีกมดลูก หรือรังไข่
        
        การอักเสบอุ้งเชิงกราน
    - - เหนือหัวหน่าวบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายและขวา
        
        ได้ยินเสียงทึบ
        
        บ่งชี้ถึงการโตของมดลูก อาจเกิดเนื้องอกในมดลูก
        
        เมื่อมีอาการเจ็บร่วม อาจเกิดจากการอักเสบของอุ้งเชิงกราน
        
        มีการเคลื่อนไหวของน้ำ
        (shifting dullness)
        
        อาจเกิดภาวะในช่องท้อง(Ascites)จากการเป็นมะเร็งรังไข่
  - - - หัวหน่าวและขนบริเวณหัวหน่าว
        
        ดูผิวหนัง การลอก แผลถลอก ผื่นแดง การกระจายขนบริเวณหัวหน่าว
      - องคชาต
        
        ดูรูปร่าง ลักษณะขององคชาต มีรูปร่างผิดปกติหรือไม่
        
        เช่น บวม ลีบ เล็กมาก ลักษณะกระเทย
        
        ดูผิวหนังบริเวณองคชาตทั้งหน้าและหลัง
        
        สีผิว ผื่นแดงบนผิวหนัง การบาดเจ็บ แผลพุพอง บวม อักเสบ มีสารคัดหลั่งหรือไม่ คลำดูก้อน และการกดเจ็บ
        
        ถ้ามีก้อนหรือผื่นแดงอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือมะเร็ง
      - ถุงอัณฑะ
        
        การดู
        
        รูปร่าง ตำแหน่ง สีผิวของถุงอัณฑะ รอยโรค ผื่นแดง การบวม โป่งพอง
        
        การคลำ
        
        ความยืดหยุ่น ก้อน การกดเจ็บ
        
        เมื่อตรวจพบผิดปกติ ให้ตรวจโดยวิธีTransillumination
        
        ใช้ไฟฉายส่องจากด้านหลังก้อนถ้าโปร่งแสงก้อนนั้นเป็นถุงน้ำ(Hydrocele) ถ้าทึบแสงก้อนนั้นเป็นเนื้องอกหรือลำไส้
      - หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
        
        ดูผิวหนังส่วนปลายว่าเป็นอย่างไร
        
        ปกติ
        
        ผิวหนังบริเวณนี้จะดึงปลิ้นขึ้นมาได้
        
        ผิดปกติ
        
        ดึงหนังหุ้มหลายไม่ได้ มีรูเปิดเล็กหรือตีบมาก(Phimosis) ทำให้ปัสสาวะไม่สะดวก
      - รูเปิดท่อปัสสาวะ
        
        ดูการอักเสบ บวมแดง หรือมีสารคัดหลั่งหรือไม่ สังเกตลักษณะ สี กลิ่นของสารคัดหลั่ง
      - ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ
        (Inguinal lymph node)
        
        คลำดูอาการโตหรือกดเจ็บ ถ้ามีการอักเสบของpenis, scrotum น้ำเหลืองจะไหลเข้าสู่ Inguinal lymph node
      - ไส้เลื่อน(Hernia)
        
        ดูบริเวณช่องขาหนีบหรือโคนขาหนีบด้านนอก มีการโป่งนูนหรือไม่
        และลองให้ผู้รับบริการไอ หรือเบ่งพร้อมสังเกตและคลำการโป่งนูน
- - - - ข้อศอกงอเข้า
      - นิ้วทั้ง5กางออก
    - - ข้อศอกเหยียดออกมา
    - - มีการงอเข้าของแขนและแขนบิดออกเล็กน้อย
    - - ขาท่อนล่างเหยียดมีการเตะออกไปข้างหน้า
    - - เกิดการเหยียดออกและกระดกกลับของปลายเท้า
      - ปลายเท้ากระดกเข้าช้าจะพบในโรค hypothyroidism superficial reflex
  - - - เกิดการงอหรืองุ้มลงของนิ้วหัวแม่เท้าและนิ้วเท้าทั้งหมด
      - มีการเหยียดออกของนิ้วหัวแม่เท้าและนิ้วอื่นกางออกหรืองอเล็กน้อย คืออาการผิดปกติ (Babinski response)
- - - - ขนตา(eyelashes)
        
        สังเกตว่ามีการม้วนเข้าข้างในหรือไม่
      - ถุงน้ำตา(lacrimal sac)
        
        ดูว่ามีน้ำตาไหลตลอดเวลา มีสิ่งคัดหลั่ง ไหลทางท่อน้ำตาหรือไม่ สังเกตการบวมของถุงน้ำตา บริเวณหางตา
      - หนังตา(eyelid)
        
        ดูว่าหนังตา บวม ช้ำ เป็นก้อน หรือตุ่มหนองหรือไม่ สังเกตการดึงรั้งของหนังตา เปลือกตาตก หรือไม่
      - ตาขาวและเยื่อบุตา
        (sclera and conjunctiva)
        
        การตรวจตาขาวและเยื่อบุตาให้สังเกตว่ามีสีซีดเหลือง มีวัตถุแปลกปลอม บวม มีตุ่มหนอง และสังเกตว่าหลอดเลือดฝอยผิดปกติหรือไม่ ในภาวะปกติตาขาวจะมีเส้นเลือดฝอยเล็กน้อย palpebral conjunctiva มีสีแดง หากตาขาวมีสีเหลืองบ่งบอกถึงภาวะดีซ่าน (jaundice)
      - ลูกตา(eyeball)
        
        ตำแหน่งของลูกตา และเปลือกตาดูความชุ่มชื้น
        ดูความนูนของลูกตาสังเกตดูว่าลูกตาโปนมากกว่าปกติหรือไม่
      - กระจกตา(cornea)
        
        สังเกตความใส และรอยขีดข่วนบนกระจกตา
      - คิ้ว(eyebrow)
        
        ดูว่าหนังตา บวม ช้ำ เป็นก้อน หรือมีตุ่มหนองหรือไม่ สังเกตการดึงรั้งของหนังตา เปลือกตาตก หรือไม่
      - รูม่านตา (pupil) และแก้วตา (lens)
        
        ผู้ตรวจใช้ไฟฉายส่องตรงกลาง สังเกตดูว่ารูม่านตาเป็นวงกลมหรือไม่
        
        การตรวจแก้วตา(lens) ให้มองผ่านรูม่านตา ปกติจะเห็นเป็นสีดำใส
        ถ้าพบว่ารูม่านตามลักษณะขุ่น แสดงว่าเป็นต้อกระจก
    - - ลูกตาeyeball
        
        การคลำลูกตาเพื่อประเมินความนุ่ม โดยให้ผู้ใช้บริการหลับตา ผู้ตรวจใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางคลำเหนือเปลือกตาทั้งสองข้าง สังเกตความนุ่ม แข็ง ปกติจะนุ่ม
      - หนังตาeyelid
        
        คลำดูหนังตาว่ามีก้อนไหม
- - - - การฟัง3 อย่าง คือ การฟังเสียงหายใจ (breath sound)
        การฟังเสียงพูด(voice sound) และการฟังเสียงผิดปกติ (aaventtious sound)
        
        การฟังเสียงหายใจ หรือเสียงปอด (breath sound)
        
        ภาวะปกติ
        
        Bronchial หรือ tracheal หรือ tubular breath sound
        เสียงจะดังมากเสียงหายใจเข้าสั้นออกยาว มีช่วงเงียบอยู่กลางระหว่างหายใจเข้าและหายใจออก
        
        Broncho-vesicular breath sound
        เสียงดังปานกลาง เสียงหายใจเข้าและออกยาวพอๆกัน ไม่มีช่วงเงียบ
        
        Vesicular breath sound
        ลักษณะเสียงเบาเสียงหายใจเข้ายาว ออกสั้นสัดส่วนเป็น 3:1
        
        ภาวะผิดปกติ
        
        เสียงหายใจเบากว่าปกติ (diminished breath sound)
        แสดงว่ามีลมเข้าปอดบริเวณนั้นน้อย เช่น ปอดแฟบ หรือมีการกั้นการนำเสียงจากเนื้อปอดมาสู่ผนังทรวงอก
        
        การฟังเสียงพูด (voice sound) เปล่งออกมาจากลำคอเสียงพูดที่ได้ยิน
        โดยใช้หูฟังเรียก vocal resonanceทำเมื่อคาดว่ามี pleural effusion, lung mass, pneumothorax
        
        ความผิดปกติ
        
        Bronchophony เป็น vocai resonance ดังและชัดกว่าปกติ
        
        Egophony เป็น vocal resonance ที่มีลักษณะคล้ายเสียงขึ้นจมูก
        
        Wnisper เป็น vocal resonance กระซิบโดยไม่เปล่งเสียง
        ในปอดที่ปกติจะไม่ได้ยินเสียงกระซิบดังกล่าว ในภาวะ consolidation ของปอดจะไต้ยินเสียกระซิบนั้น
        
        เสียงผิดปกติ (advenitious sound)
        
        Adventitious sound เกิดจากอากาศผ่านช่องทางที่แคบ
        
        Crepitation หรือ Crackles เป็นเสียงอากาศผ่านของเหลว เสียงไม่ต่อเนื่อง ได้ยินตอนหายใจเข้าระดับของเสียงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม Fine crepitation เสียงเบามาก คล้ายขยี้เส้นผมใกล้ใบหู มักได้ยินช่วงสุดท้ายของการหายใจเข้า , Medium crepitation จะหยาบกว่า Fine crepitation เสียงจะต่ำ อาจได้ยินตลอดช่วง หรือช่วงกลาง หายใจเข้า ,Coarse crepitation ได้ยินชัดมาก หยาบมาก ได้ยินทั้งหายใจเข้าและออก ถ้าหายใจลึกๆ จะได้ยินไม่ชัด ไม่มีของเหลว(สารคัดหลั่ง:Dry Sounds)
        
        rhonch ได้ยินทั้งวงหายใจเข้าและออกได้ยินชัด ขณะหายใจออกลักษณะเสียงจะต่อเนื่อง (continuous)
        เสียงช่วงยาวและเป็นเสียงต่ำ เสียง rhonchi เกิดจากอากาศผ่านหลอดลมขนาดใหญ่ที่ตีบแคบ
        
        Wheezing ช่วงหายใจเข้าและออกเสียงจะต่อเนื่อง(continuous) เป็นเสียงสูง และมีเสียงสูงต่ำ เป็น musical sound คล้ายเสียงนกหวีด
        
        Pleural friction ub ได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก คล้ายเสียงการถูไถเสียงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเวลาไอ
    - - การคลำส่วนต่งๆ ของทรงอกคลำกล้ามเนื้อ กระตุก
        ตำแหน่งกดเจ็บหรือยุบลงหรือตำแหน่งที่มีความผิดปกติ
        
        ภาวะปกติ ib cage จะยืดหยุ่น กระดูก sm ไม่ค่อยเคลื่อนที่ กระดูกสันหลังอยู่กับที่
        
        ภาวะผิดปกติ มีก้อน แผล คำแหน่งกดจ็บ คลำได้ cepitus
      - คลำการขยายตัวของทรวงอก (ปอด) (oxpansion of thorax or lung) ด้านหลังสังเกตการเคลื่อนไหวของนิ้วหัวแม่มือ
        ที่เลื่อนออกจากกระดูกสันหลัง ด้านหน้านิ้วหัวแม่มือทั้งสองวางทอดไปตาม coscl margnปลายนิ้วหัวแม่มีออยู่ที่ phod proces
        
        สังเกตการดันขยายของฝ่ามือทั้งระยะทางและความเท่ากันการเคลื่อนที่ออกจากจุดถึงกลางของนิ้วหัวแม่มือให้ผู้ใช้บริการหายใจเข้าลึก
      - การคลำ tactile (vocal)fremitus การสั่นสะเทือนที่เกิดจกลมหายใจ (tactle) tactle fremius รวมการคลำการลั่นสะเทือนจากลมและการพูด
      - การคลำ tactle femiusให้ผู้ใช้บริการนับ 1 2 3 ด้วยความดังเท่ากันตลอด สังเกตความรู้สึกสั่นสะเหืนของฝ่ามือที่วาง
      - การคลำ tacile fremius ด้านหน้า สังเกตเช่นเดียวกับการตรวจด้านหลัง คลำตั้งแต่เหนือไหปลาร้า
    - - การเคาะปอด เปรียบเทียบเสียงที่เกิดจากการเคาะ(percussion note)
        เพื่อประเมินสภาพปอดที่อยู่ภายใน
        
        การเคาะทรวงอกด้านหลังโดยเคาะจากบนลงล่างจนหมดชายโครงระยะเคาะหางกันบนล่างประมาณ 45 เซนติเมตร
        
        การเคาะยอดปอดทางด้านหลัง ข้ามขอบของกล้ามเนื้อ trapeziusขอบเขตห่างจากกลางลำตัวประมาณ 5 เซนติมตร
        
        การเคาะปอดด้านหลังเคาะสองข้างของกระดูกสันหลังจากแนวกลางลำตัวประมาณ 5 เชนติเมตร
        เคาะแนวไต้กระดูกสะบักหรือscapular line จนถึงช่องซี่โครงที่ 11 และ posterior axillary lineจากของชีโครงที่ 4 ถึง 10
        
        ภาวะปกติเคาะขนิด resonanc ด้านหน้ามีเสียงdullnessที่บริเวณหัวใจช่องชีโครงที่ 3 ถึง 5
        และมีเสียงdullnessที่ตับนแนว mid clavcuar line อาจพบเสียง tympany ภาวะผิดปกติ พบเสียงhyperresonance
        
        การเคาะทรวงอกด้านหน้า ระยะห่างประมาณ 4-5 เซนติเมตร คาะตั้งแต่ช่องซี่โครงที่ 2 ถึง 6
    - - รูปร่างของทรวงอก ความโค้งของกระดูกซี่โครง กระดูกไหมลาร้า
        กระดูก sternum ดูความหนา ดูความกว้าง หรือเส้นผ่าศูนย์กลาง
        
        วิธีการวัด antero-posterior diameter และ latergl digmeter
        
        ผิดปกติ
        
        kyphosis หรือหลังโก่ง
        
        Scoliosis หรือหลังคด กระดูกสันหลังคดเอียงไปด้านข้าง
        
        Pigeon chest หรืออกนูน มีกระดูก sternum ยืนออกมาเหนือระดับอกคล้ายอกนก
        
        Funnel chest หรืออกบุ๋ม
        
        Barrel shape หรืออกถังเบียร์
        
        ภาวะปกติ
        
        รูปร่างกลม antero-posteriordiameter แคบกว่า Iateral diameterเป็นสัดส่วน 5:7 หรือ 1:2
      - ขนาดของทรวงอกขนาดเท่ากันทั้ง 2 ข้างช่องโครงไม่แคบหรือกว้างเกิน
      - การเคลื่อนไหวของทรวงอก ขยายตัวออกเมื่อหายใจ
        จะแฟบลงเมื่อหายใจออก สังเกตอัตราการหายใจ ความลึก จังหวะ
        
        ภาวะปกติ การเคลื่อนไหวทรวงอกสัมพันธ์กับการหายใจ และเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
      - ผิวหนังบริเวณทรวงอก
        
        ภาวะปกติ
        
        สีผิวส่วนนี้จะอ่อนกว่าส่วนแขนขาหรือส่วนนอกร่มผ้า ไม่มีรอยโรค
        
        ภาวะผิดปกติ
        
        มีรอยโรคของผิวหนัง เช่น เชื้อรา หรือ spider neni
  - - - หัวนม (nipple)
      - Angle of Louis
      - Suprasternal notch ลักษณะบุ่มลงไป
      - Costal angleชายโครงทั้ง 2 ข้างมาต่อกับ sternum
      - กระดูกไหปลาร้า (clavicle)
      - Inferior angle of scapular มแหลมล่างของกระดูกสะบัก
    - - ยอดปอดแต่ละข้างจะอยู่เหนือ 1/3ด้านในของกระดูกไหปลาร้า2-4 เซนติเมตร
        ฐานปอดด้านหน้าซี่โครงที่ 6 ตัดกับเส้น mid clavicular lineซี่โครงที่ 8 ตัดกับ mid axillary line
      - ปอดกลีบบน (upper lobe) ลากจาก spinous process ที่ 3
        ไปทางด้านหน้า ผ่าน mid axillary line กระดูกซี่โครงที่5 ผ่าน rmid clavicular line
      - ปอดกลีบกลาง (middie lobe)เฉพาะด้านขวา horizontal fissure ซึ่งตรงกับเส้นแนวนอนที่ลากมาจากขอบขวาของกระดูก sternumชีโครงอันที่ 4 ไปจรดกับoblique fissure ที่ mid axillary line
- - - - ภาวะปกติ สีผิวทรวงอกเหมือนสีผิวกาย ไม่มีรอยโรคหลอดเลือดดำไม่โป่งพอง พบ apical mpluse
        หรือ เห็นการของหัวใจแต่อาจไม่เห็นตำแหน่งที่มีการเต้นนี้ได้ ในกรณีที่ทรวงอกหนาหรือเต้านมใหญ่มาก
      - ภาวะปกติ ผิวหนังเขียวคล้ำอาจพบ spider nervi มีการนูนหรือยุบบริเวณ precordum พบ spical mpluse
    - - คลําจะใช้ส่วนต่างๆ ของมือ เช่น ฝ่ามือบริเวณฐานของนิ้วมือ
        (metal metocarpa) ปลายนิ้ว หรือฝ่ามือส่วนส้นมือ(heel of pam)
      - ภาวะปกติapex bea คลําได้กวา้งประมาณ 1-2 เซนติเมตรซี่โครงที่5
        ข้างซ้ายไม่เกินแนว mid clavicular line บริเวณอื่น ๆ ของ precordium จะไม่พบการเต้นชัดเจน
      - ภาวะผิดปกติ apex beat เลื่อนจากตำแหน่งปกติ และกว้างกว่าปกติ
        แสดงถึงหัวใจห้องล่างอาจมีหัวใจโตหรือ hypertophy การคลำพบ haeve
    - - ภาวะปกติ ริมซ้ายของหัวใจจะอยู่ไม่เกินแนว mind clavicular line
        และริมขวาจะเกินขอบขวาของ Sterum เล็กน้อยเท่านั้น
    - - ภาวะปกติ จะได้ยินเสียงหัวใจอย่างน้อย 2 เสียง คือ s1 หรือเสียงหัวใจเสียงที่1(ตรงกับชีพจรที่คลำที่หลอดเลือดแครอดิต)
        และ s2หรือเสียงหัวใจเสียงที่2 otic กับลิ้น pumonic ปิดไม่พร้อมกัน จึงอาจได้ยินเป็นเสียง s2เมื่อให้หายใจเข้าเสียง splt s2 จะหายไป
      - ภาวะผิดปกติในผู้ใหญ่ เสียง click เสียงฟูหรือ mumur และเสียงเสียดสี หรือ friction rub
        ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ การได้ยิน s3 ถือว่าผิดปกติ เรียก s3 galop สำหรับ s4 หรือpresystolic gallop,
        Cick เป็นเสียงสูงและสั้นคล้ายมีการประทุ,Mumur หรือเสียงฟู เป็นเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือน
- - - - อุจจาระ
        
        ท้องร่วง ท้องเสีย หูรูดทวารหนักอ่อนแรง
      - เลือด
        
        ริดสีดวง บิด ลำไส้อักเสบ
      - หนอง
        
        ริดสีดวงติดเชื้อ ฝีคัณฑสูตร
      - ก้อน ตุ่ม ติ่ง
        
        ริดสีดวงทวาร ผนังในทวารหนักโผล่
      - พยาธิ
        
        มีพยาธิอยู่ในลำไส้
      - รอยเกา รอยถลอก
        
        พยาธิเส้นด้าย อักเสบจากเชื้อรา
    - - มีส่วนโป่งและเจ็บ
        
        มักเป็นฝีคัณฑสูตร
      - กดตะปุ่มตะป่ำ
        
        เคลื่อนที่ไปมาไม่ได้ เกิดจากมะเร็งทวารหนัก
      - หูรูดทวารหนักหดรัดน้อย
        
        หลังคลอด ริดสีดวง
      - มีจุดกดเจ็บ
        
        มีการอักเสบในทวาร (ริดสีดวงติด/ฝีคัณฑสูตร)
      - หูรูดทวารหนักรัดมาก
        
        กลัวการตรวจ ท้องเสีย ท้องเดิน
- - - - ผม
        
        ดูการกระจายของเส้นผม ดูลักษณะว่าแตกแห้ง
        กรอบ ขาด ร่วง หรือเป็นมัน มีเหา หรือไม่
        
        หากพบเส้นผมแห้งกรอบ หรือขาดง่าย อาจบ่งชี้ว่าเป็น ภาวะทุพโภชนาการ
      - หนังศรีษะ
        
        ดูการอักเสบ เป็นแผล รังแค ก้อน หรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ
        
        หากพบการหลุดร่วงเป็นหย่อมๆของเส้นผม หนังศีรษะมีขุย หรือรังแค อาจบ่งชี้ว่าเป็นการติดเชื้อราบนหนังศรีษะ
      - ศีรษะ
        
        ดูรูปร่าง ขนาดและลักษณะความสมมาตรของศีรษะ
        
        ภาวะปกติ ศีรษะจะต้องสมมาตร ส่วนขนาดจะผันแปรตามวัย
        
        ภาวะผิดปกติ ศีรษะแบนมาก บิดเบี้ยว ขนาดไม่สมดุลกับร่างกาย
    - - ผู้ตรวจยืนด้านหน้าของผู้ใช้บริการ ใช้ปลายนิ้ชี้
        นิ้วกลาง และนิ้วนาง คลําวนเบาๆให้ทั่วศีรษะโดยเริ่มจากด้านหน้า ไล่ไปจนทั่วถึงท้ายทอย อาจคลําต่อมน้ําเหลืองบริเวณท้ายทอย (Occipital lymph node) ด้วย ในเด็กควรคลําดูรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะ (sagital suture) ว่าแยกห่างจากกันหรือเกยซ้อนกัน หรือกระหม่อมยุบลงไปหรือไม่ ปกติจะคลําไม่พบก้อน ไม่พบต่อมน้ําเหลือง
        
        กะโหลกศีรษะเชื่อมติดผิดปกติ(Craniosynostosis
        หรือ Premature Fusion of Cranial Suture)
        
        กลุ่มที่มีการเชื่อมติดของรอยประสานกะโหลกศีรษะหลายตำแหน่ง ร่วมกับความผิดปกติอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย (syndromic craniosynostosis)
        
        คือ กะโหลกศีรษะและใบหน้าผิดรูปอย่างรุนแรง เป็นความพิการแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นขณะทารกอยู่ในครรภ์มารดาและเกิดต่อเนื่องหลังคลอด
        
        กลุ่มอาการเอเพิร์ต (Apert Syndrome)
        
        กลุ่มอาการไฟเฟอร์ (Pfeiffer Syndrome)
        
        กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon Syndrome)
        
        กลุ่มอาการคาร์เพนเตอร์ (Carpenter Syndrome)
        
        กลุ่มอาการเซเทอร์-โชเซน (Saethre-Chotzen Syndrome)
        
        กลุ่มที่มีการเชื่อมติดของรอยประสานกะโหลกศีรษะตำแหน่งเดียว (non-syndromic craniosynostosis)
        
        คือ กะโหลกศีรษะรอบๆ รอยประสานนั้นขยายตัวไม่ได้ ศีรษะมีรูปร่าง
        บิดเบี้ยว เช่น หน้าผากด้านใดด้านหนึ่งยุบ แบนราบหรือบิดเบี้ยว
        
        ศีรษะยาวผิดปกติในแนวหน้าหลังคล้ายเรือ หรือ กะโหลกเป็นสันหว่างขม่อม (scaphocephaly จาก sagittal craniosynostosis)
        
        ศีรษะรูปสามเหลี่ยม เป็นสันที่หน้าผาก
        (trigonocephaly จาก metopic craniosynostosis)
        
        ศีรษะเบี้ยว หรือ สภาพหัวเบี้ยว
        (plagiocephaly จาก unilateral coronal synostosis)
- - - - ตรวจหาสารน้ำในช่องท้อง
        
        การตรวจการเปลี่ยนที่ของเสียงเคาะทึบ (Shifting dullness) : สารน้ำจะเปลี่ยนไปอยู่ที่ต่ำสุดเสมอตามแรงโน้มถ่วง
        
        การตรวจการสั่นสะเทือนของสารน้ำ (Fluid thrill): สารน้ำในช่องท้องจะเป็นตัวนำให้เกิดการเกิดสั่นสะเทือน
        
        การตรวจอาการแสดงหลุมบ่อ (Puddle sign)
      - การเคาะตับ
        
        เคาะแนวเส้นกลาง MCL.โดยเริ่มจากหน้าท้องด้านล่างต่ำกว่าสะดือจะมีเสียงโปร่ง
        ค่อยๆเคาขึ้นบนจนได้ขอบล่างของตับซึ่งมีเสียงทึบ เคาะจากบริเวณหน้าอกจะมีเสียงโปร่ง ค่อยๆเคาะต่ำลงจบพบขอบบนของตับ
        
        เคาะได้เสียงทึบตามแนวMCL.ขวาระหว่างซี่โครงที่6
      - การเคาะม้าม
        
        ผู้ถูกตรวจนอนตะแคงขวายกมือหนุนใต้ศีรษะ เคาะทรวงอกด้านซ้ายจากบนลงล่าง จากช่องซี่โครงที่7-11แต่ละช่องซี่โครงเคาะไล่จาก
        anterior axillary line หรือไปposterior axillary line ปกติพบเสียงทึบของม้ามได้ที่ซี่โครง9 หรือ10 amid axillary line ซ้ายส่วนช่องซี่โครงที่ 11 จะโปร่ง
    - - การฟังต้องใช้Stethoscope ด้านbell
      - ฟังแต่ละครั้งควรฟังให้ทั่วทั้ง4 Quadrant อย่างน้อย3นาที
      - เสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ ปกติได้ยิน6-12ครั้ง/นาที
      - เสียงผิดปกติเช่นเสียงฟู่ เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดง
      - เสียงท้องที่ผิดปกติ
        
        เสียงท้องที่ดังตลอดเวลา
        
        กระเพาะลำไส้ทำงานมาก เช่นกระเพาะลำไส้อักเสบ ท้องร่วง
        
        เสียงท้องที่เงียบหายหรือนานๆจะได้ยินเสียงสักครั้ง
        
        กระเพาะลำไส้ทำงานน้อย ภาวะติดเชื้อรุนแรง เชื้อโรคเข้ากระแสเลือด
        
        เสียงท้องที่แหลมชัด
        
        มักเกิดกับเสียงท้องที่ดังเกือบตลอดเวลา ร่วมกับอาการปวดท้องรุนแรงจนบิดตัวไปมา
    - - การคลำม้าม
        
        ใช้มือซ้ายดันจากด้านหลังของผู้ป่วยในระดับชายโครงซ้าย มือขวาวางบนหน้าท้อง
        ใช้นิ้วตั้งฉากกับชายโครงด้านซ้ายเริ่มคลำจากด้านล่างแล้วค่อยๆเลื่อนขึ้นข้างบน
        จนปลายนิ้วพบขอบม้ามซึ่งยื่นออกมาใต้ชายโครง
        
        ปกติคลำไม่พบขอบม้ามเกินออกจากชายโครง
      - การคลำตับ
        
        ปกติจะคลำพบประมาณ1-2ซม. จากชายใต้โครงขวา
        ขอบตับที่คลำได้จะผิวเรียบ ไม่ขรุขระและกดไม่เจ็บ
      - การคลำไต
        
        ปกติคลำได้ขอบล่างของไตขวาระหว่างมือทั้งสอง
        ระหว่างหายใจเข้า ขอบเรียบแข็งและไม่เจ็บ ไตซ้ายคลำไม่ได้
      - การคลำหน้าท้อง
        
        ทำได้โดย
        
        การคลำมือเดียว
        
        การใช้มือเดียว
        
        ผู้ตรวจต้องนั่งข้างๆคนไข้ ข้อศอกผู้ตรวจควรอยู่ต่ำกว่าระดับหน้าท้องของคนไข้
        ถ้าข้อศอกอยู่เหนือหน้าท้องของคนไข้มากจะวางฝ่ามือบนหน้าท้องไม่ได้
        การคลำหน้าท้องจะเป็นการคลำด้วยปลายนิ้วมือที่ทิ่มแทงลงบนหน้าท้อง
        ซึ่งอาจทำให้จั๊กกะจี้หรือเกิดการเกร็งตัวของหน้าท้องได้ง่าย ทำให้คลำหน้าท้องไม่ได้ดีเท่าที่ควร
        
        การใช้มือหนึ่งกดลงบนอีกมือหนึ่งที่ใช้คลำ
        
        วิธีนี้จะทำให้มือที่ใช้คลำไม่ต้องออกกำลังกด ทำให้รับความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น
        ใช้มือที่ถนัดคลำ โดยใช้มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนมือที่ถนัดคนที่หน้าท้องหนาๆ (คนอ้วน) หรือคนที่หน้าท้องแข็งมาก
        เช่นคนที่แข็งแรงและกล้ามเนื้อท้องแข็งเป็นมัดจะต้องใช้การคลำวิธีนี้จึงจะคลำท้องได้ดีและถี่ถ้วนมากขึ้น
        
        การใช้มือหนึ่งคลำในขณะที่อีกมือหนึ่งเคาะ
        
        วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่ต้องการดูว่าช่องท้องมีน้ำอยู่หรือไม่ โดยใช้มือที่ถนัดคลำหน้าท้องด้านหนึ่ง
        ในขณะที่ใช้มืออีกข้างเคาะที่ผนังหน้าท้องอีกด้านหนึ่ง มือข้างที่คลำอยู่จะได้รับความรู้สึกของคลื่นกระแสน้ำที่มากระทบ
        
        การคลำโดยวิธีกดปล่อยๆ (ballotment)
        
        วิธีนี้มักจะใช้ในกรณีที่ช่องท้องมีน้ำอยู่มากๆ (ท้องมาน, ascites) เพื่อที่จะดูว่า มีก้อนอยู่ในช่องท้องหรือไม่
        ซึ่งทำได้โดยใช้ผ่านปลายนิ้วมือกดลงบนหน้าท้องเร็วๆ เพื่อกดก้อนในท้อง
        (ถ้ามี) ให้จมลงไปแล้วลอยขึ้นมากระทบฝ่านิ้วมือที่วางรออยู่ การกดปล่อยๆ เช่นนี้จะทำให้คลำก้อนในท้องที่ลอยอยู่ในน้ำในท้องนั้นได้
        
        การคลำสองมือ (bimanual palpation)
        
        มือทั้งสองอยู่ที่หน้าท้อง
        
        การใช้มือทั้งสองคลำก้อนโตๆ ในท้อง ที่พบบ่อยคือ การคลำท้องของหญิงที่ตั้งครรภ์ แต่การคลำก้อนโตๆ ในท้องอื่นๆ ก็ควรใช้วิธีคลำสองมือทั้งนั้น เพราะจะทำให้ได้รายละเอียดมากขึ้น
        
        มือหนึ่งอยู่ที่หน้าท้อง มือหนึ่งอยู่ที่หลังท้อง
        
        ส่วนมากจะให้มือข้างที่ถนัดอยู่ที่หน้าท้อง มือข้างที่ไม่ถนัดอยู่ที่ด้านหลัง
        แล้วใช้มือทั้งสองกดเข้าหากันเพื่อคลำก้อนที่อยู่ในผนังด้านหลังท้องได้ชัดเจนขึ้น
        บางครั้งก็ใช้คลำก้อนอื่นๆ ในช่องท้องที่คลำมือเดียวได้ยาก เช่น ตับ ม้าม มดลูก หรืออื่นๆ ที่โตขึ้น
        
        มือหนึ่งอยู่ที่หน้าท้อง อีกมือหนึ่งใช้นิ้วตรวจอยู่ในช่องทวารหนักหรือช่องคลอด
        
        มักจะใช้ตรวจความผิดปกติของอวัยวะในช่องเชิงกราน
    - - สิ่งที่ควรสังเกต
        
        รูปร่างลักษณะของท้องโตกว่าปกติหรือไม่
        
        บริเวณที่นูนหรือโป่งพองเฉพาะที่
        
        แผลเป็น รอยแผลผ่าตัด ลายที่ผนังหน้าท้อง
        
        หลอดเลือดดำที่โป่งพอง
        
        สะดือดึงรั้งหรือไม่ในผู้ที่มีการอักเสบไส้เลื่อน
        
        การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร ลำไส้
        
        การเคลื่อนไหวของผนังหน้าท้องขณะหายใจ
- - - - ดูขนาดระดับใบหูทั้ง 2 ข้างและลักษณะใบหู
        
        ภาวะปกติ
        
        ใบหูทั้ง 2 ข้างจะอยู่ในระดับเดียวกับตาและเอียง 10 องศาในแนวตั้ง
        
        ในรูหูพบขี้หู
        
        เยื่อบุปกติไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือความผิดปกติ
        
        เห็นเยื่อแก้วหู ซึ่งจะเห็นเป็นแผ่นสีเทา
        
        มีแสงสะท้อนเป็นรูปกรวย
        
        ภาวะผิดปกติ
        
        ใบหูสูงหรือต่ำกว่าระดับมุมตาซึ่งพบในผู้ที่มีปัญหาทางสมอง
        
        ใบหูเล็กเกินอาจมีผลต่อการได้ยิน
        
        เยื่อบุในรูหูบวมแดง
        
        มีสิ่งแปลกปลอมหรือขี้หูมาก
        
        เยื่อแก้วหูมีสีชมพูอมแดง เหลืองขุ่น หรือสีขาวและไม่สะท้อนแสง
    - - ใช้ปลายนิ้วคลำใบหู
        
        ภาวะปกติ
        
        ในตำแหน่งปกติจะไม่เจ็บทั้งนอกและในรูหูแต่อาจเจ็บเมื่อดึง
        
        ภาวะผิดปกติ
        
        มีอาการกดเจ็บ
        
        มีก้อน
        
        มีตุ่มหรือรอย
- - - - ลักษณะของสีผิว (Color)
      - ลักษณะรอยโรคของผิวหนัง (Lesion)
        
        2.1 Primary lesion เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยา
        
        กลุ่มที่ 1 รอยโรคแบนราบ (Flat lesion)
        
        Macule เช่น ผื่นของหัด (Measles) ไข้ตาแดง (Scarlet fever)
        
        Patch เช่น ด่างขาว (Vitiligo)
        
        กลุ่มที่ 2 รอยโรคนูน (Raised lesion)
        
        Plaque เช่น สะเก็ดเงิน (Psoriasis)
        
        Nodule เช่น ก้อนไขมัน (Lipoma) ต่อมไขมันอุดตัน (Sebaceous cyst)
        
        Tumor เช่น มะเร็ง (Benign tumor)
        
        Wheal เช่น ผื่นลมพิษ (Urticaria) ผื่นแพ้ต่างๆ (Allergic reaction)
        
        กลุ่มที่ 3 รอยโรคตุ่มน้ำเหลือง (Fluid-filled lesion)
        
        Vesicle เช่น ตุ่มน้ำ Davägnala (Chicken pox) duraugain (Herpes zoster)
        
        Bulla or bleb ตุ่มน้ำใส
        
        Pustule เช่น สิว (Acne) แผลผลุพอง (Impetigo)
        
        2.2 Secondary lesion เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจาก Primary lesion
        
        กลุ่มที่1 รอยโรคพื้นผิวขรุขระ (Surface changed lesion)
        
        Scale เช่น รังแค (Dandruff) โรคด่างขาว (Vitiligo)
        
        Crust สะเก็ดแห้งอาจเกิดจากน้ำเหลือง หนอง เลือดแห้ง
        
        Lichenification เป็นการหนาตัวของหนังกำพร้า
        
        กลุ่มที่ 2 รอยโรคยุบตัว (Depressed lesion)
        
        Erosion คือ บริเวณที่มีการแตกของตุ่มอีสุกอีใส
        
        Ulcer เป็นแผลที่ลึกกว่า Erosion
        
        Fissure เป็นร่องหรือรอยแตกของผิวหนังถึงชั้นหนังแท้
        
        กลุ่มที่ 3 รอยโรคนูน (Raised lesion)
        
        Scar รอยแผลที่เกิดจากการแทนที่ของเนื้อเยื่อที่ตาย
        
        Keloid แผลเป็นที่มีขนาดใหญ่นูนสูง
      - รูปร่างและการเรียงตัวของรอยโรค (Shape and arrangement of lesions)
        
        รอยโรคเดี่ยวๆ (Isolated หรือ discrete)
        
        รอยโรคที่รวมเป็นกุล่มๆ (Cluster หรือ group)
        
        รอยโรคที่เรียงตัวเป็นแนวยาว (Linear)
        
        รอยโรคเรียงตัวเป็นรูปโค้ง (Annular or arciform)
        
        รอยโรคเรียงตัวตามการกระจายตัวของเส้นประสาท (Zosterifrom)
        
        รอยโรคเรียงตัวแบบร่างแห (Reticular or net like or lacy)
        
        รอยโรคเรียงตัวแบบไม่เป็นระเบียบ (Irregular)
      - การกระจายหรือตำแหน่ง (Distribution)
        
        Localized (Isolated) เป็นพื้นที่อยู่เฉพาะที่ๆเดี่ยวหรือ 2-3 ที่
        
        Pattern เป็นการกระจายพื้นที่
        
        Generalized แพร่กระจายทั่วๆตัว
    - - คลำตรวจสอบความหยาบ ความละเอียดของผิวหนัง (Texture)
      - คลำตรวจสอบความตึงตัวของผิวหนัง
      - คลำตรวจสอบอุณหภูมิ (Tempurature)
      - 4.คลำตรวจสอบความชุ่มชื้น (Moisture)
      - คลำตรวจสอบดูลักษณะของรอยโรค
      - ตรวจสอบอาการบวม (Edema)
- - - - ผิดปกติ
        
        จมูก ปีกจมูก บริเวณข้างเคียงและโพรงอากาศ กดแล้วเจ็บ
      - ภาวะปกติ
        
        จมูก ปีกจมูก บริเวณข้างเคียงและโพรงอากาศ กดแล้วไม่เจ็บ
    - - ภาวะปกติ
        
        ปีกจมูกและและจมูกมีขนาดเหมาะสม
        ไม่หุบและบานมากจนเกินไปขณะหายใจ
        
        ไม่มีการอักเสบ
        
        เยื่อบุจมูกสีชมพู ไม่บวม
        
        มีสิ่งคัดหลั่ง(ขี้มูก) สีใสและมีปริมาณไม่มาก
        
        ผนังกั้นจมูกตรง
        
        ในการตรวจแบบดูจะไม่เห็น turbinate ชัดเจน
      - ผิดปกติ
        
        ปีกจมูก 2 ข้างไม่เท่ากัน
        
        หุบบานมากเกินขณะหายใจ
        
        เยื่อบุจมูกบวมแดง
        
        มีแผล
        
        มีเลือดออก มองเห็นกระดูกด้านข้างโพรงจมูก(Turbinate) ชัดเจนและแดง
        
        ผนังกั้นจมูกเอียงหรือคด
        
        มีสิ่งคัดหลั่งสีเขียวหรือผิดปกติ
        
        ผนังกั้นจมูกเอียงหรือคด