Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การให้คำแนะนำในหญิงตั้งครรภ์, นางสาวพิมพ์ลภัส ภูมิดอนเนาว์ เลขที่ 55…
การให้คำแนะนำในหญิงตั้งครรภ์
ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 1 - 3 เดือน)
การเปลี่ยนแปลง
น้ำหนักตัวคงที่หรือเพิ่มขึ้น 1-3 กิโลกรัม ในรายที่ไม่มีอาการแพ้ท้อง
เหนื่อย อ่อนเพลีย อยากนอนพักมากๆ
ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด
เต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดตึงเต้านม
มีอาการแพ้ท้อง จากฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
คำแนะนำ
อาหาร รับประทานอาหารตามปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์เท่าที่รับประทานได้ ในรายที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนควรรับประทานเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย หรือเครื่องดื่มเช่น น้ำหวาน
การฝากครรภ์มีความสำคัญ เพื่อให้คุณแม่และบุตรได้รับการดูแลตลอดระยะเวลา 9 เดือน แพทย์จะให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวต่างๆ ขณะตั้งครรภ์ ช่วยวินิจฉัยโรคในขณะตั้งครรภ์
การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ ในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนบาดทะยักมาก่อน จะฉีดวัคซีนบาดทะยัก 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1เดือน ในไตรมาสที่ 1 - 2
เพศสัมพันธุ์ขณะตั้งครรภ์ ไม่มีข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธุ์แต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาแล้วหลายครั้ง
อาการที่ควรมาพบแพทย์
แพ้ท้องมาก จนทานอาหารไม่ได้เลย
มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ไม่ว่าจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ สาเหตุที่พบบ่อยของการมีเลือดออกในระบะนี้ คือ ภาวะแท้งคุกคาม ครรภ์ไข่ลม
ปวดมาบริเวณท้องน้อย ในระยะตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจเกิดจากภาวะแท้งคุกคาม หรือจากาการฟังตัวอ่อนผิดที่ (ตั้งครรภ์นอกมดลูก)
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ โดยมีอาการปัสสาวะขัดเจ็บ ปัสสาวะบ่อยเหมือนไม่สุด ปัสสาวะเป็นเลือด
ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4 - 6 เดือน)
การเปลี่ยนแปลง
น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มประมาณเดือนละ 1 - 2 กิโลกรัม (รวมประมาณ 4-5 กก.)
มดลูกโตขึ้น และจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นในสัปดาห์ที่ 16-22
ผิวคล้ำตามใบหน้า คอ ลำตัว รักแร้ มีเส้นดำขึ้นเป็นทางยามกลางท้องตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวหน่าวเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีหน้าท้องลายอันเกิดจากมดลูกที่โตขึ้น
ตกขาวหรือมูกในช่องคลอดมากขึ้นกว่าเดิม
ระบบย่อยอาหารเปลี่ยนแปลง อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
เป็นตะคริว
คำแนะนำ
อาหาร ในระยะนี้อาการแพ้ท้องเริ่มหาย เริ่มรับประทานอาหารได้ปกติ ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
เน้นผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
ธาตุเหล็ก มีในไข่อดง ตับ ผักใบเขียว ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
การออกกำลังกาย เป็นประโยชน์ต่อแม่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ท้องไม่ผูก นอนหลับสบาย แต่ก็ควรออกกำลังกายที่ไม่หักโหม
ท่านอน จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้ ท่านอนควรนอนตะแคงซ้าย ขวา หรือ หงาย สลับกัน เพื่อลดจุดกดทับของร่างกาย โดยอาจมีหมอนรองรับขาให้สูงขึ้น เพื่อลดอาการบวมของขาที่เกิดจากกิจกรรมในระหว่างวัน
การตรวจเต้านม เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้นมมารดาในระยะหลังคลอด
อาการสำคัญที่ควรไปพบแพทย์
เลือดออกทางช่องคลอด สาเหตุการมีเลือดออกในระยะนี้อาจเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ
ปวดท้องเป็นพักๆ อาจเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จากอาการปัสสาวะบ่อยหรือแสบขัด
อาการตกขาวผิดปกติ เช่น สีเปลี่ยนไป คัน หรือมีกลิ่น
ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7 - 9 เดือน)
การเปลี่ยนแปลง
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มเดือนละ 2 กก. รวม 6 กก.
ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอด
เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สบาย อึดอัด
ปวดหลัง
ตะคริว
คำแนะนำ
อาหาร ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน
การฝากครรภ์ การนัดตรวจจะบ่อยขึ้นในไตรมาสนี้ จะมีการตรวจปัสสาวะเพื่อดูระดับน้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะ เช็คความดันโลหิต ติดตามอาการบวมเพื่อตรวจหาว่ามีอาการครรภ์เป็นพิษหรือไม่
การดูแลเต้านม ในระยะ 2-3 เดือนก่อนคลอดร่างกายจะขับสารจำพวกไขมันมาคลุมบริเวณเต้านม และลานนม ดังนั้นในการอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากนัก เพราะจะชะล้างไขมันบริเวณนั้นออกไปหมด ทำให้หัวนมแห้งและแตกง่าย
ภาวะฉุกเฉินและอาการสำคัญ
อาการท้องแข็ง หรือเจ็บครรภ์ทุก 15 - 10 นาที
มีมูกเลือดหรือเลือดสดๆ ออกทางช่องคลอด
มีน้ำเดิน (น้ำใสๆ คล้ายปัสสาวะ)
ลูกดิ้นน้อยลง
ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ บวม
นางสาวพิมพ์ลภัส ภูมิดอนเนาว์ เลขที่ 55 รหัสนักศึกษา 62113301055 นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 รุ่นที่ 37