Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Carbohydrate Metabolism - Coggle Diagram
Carbohydrate Metabolism
5.โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน คือ โรคที่เซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานโดยขบวนการนี้ เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นกว่าระดับปกติ โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย 3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มีได้หลายสาเหตุ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น
โดยการวินิจฉัยเบาหวาน ทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 4 วิธี ดังต่อไปนี้ 1. มีอาการโรคเบาหวานชัดเจน ได้แก่ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ร่วมกับตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ถ้ามีค่า ≥200 มก./ดล. 2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย 8 ชั่วโมง) ≥ 126 มก./ดล 3. การตรวจความทนต่อกลูโคส โดยให้รับประทานกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่ 2 ชั่วโมง ถ้ามีค่า ≥ 200 มก./ดล.
- การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% โดยวิธีการตรวจและห้องปฏิบัติการต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งยังมีน้อยในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้
4.Glucose in the blod
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างผิดปกติและเป็นอันตราย มักทำให้เกิดอาการสั่นและอ่อนเพลีย ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวนั้นมีอยู่สูงในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
อาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการทางร่างกายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่รู้สึกหิว รู้สึกร้อน เหงื่อออก มือสั่น กระสับกระส่าย รู้สึกกังวล ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตซิสโตลิคสูง ชารอบปากหรือส่วนอื่นๆ
น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งระดับน้ำตาลที่ปกติคือประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่หากค่าที่ได้สูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไปจะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน
โดยทั่วไป การตรวจจะใช้เกณฑ์วัดระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารในตอนเช้า ผู้ที่เข้ารับการตรวจต้องอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงในคืนก่อนตรวจ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและไม่ได้รับการรักษานั้นอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้เส้นประสาท หลอดเลือด หรืออวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาได้
อาการในช่วงเริ่มต้นสังเกตได้จากปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน มองเห็นไม่ชัด กระหายน้ำมาก ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย
ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงขึ้นและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากการสะสมของสารคีโตน (Ketones) ซึ่งเป็นของเสียในเลือดและปัสสาวะ ทำให้มีอาการอื่นตามมา เช่น ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ หายใจสั้น ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย น้ำหนักลด สับสน แผลหายช้ากว่าปกติ ติดเชื้อบริเวรช่องคลอดหรือผิวหนัง ในรายที่รุนแรงอาจเป็นลม หมดสติ เส้นประสาทเสียหาย ส่งผลให้มีอาการเท้าเย็นจนปวดหรือไม่มีความรู้สึก ขนขาล่วง หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา หลอดเลือด หรือไต
3.Metabolism Pathway
- Pentose phosphate pathway
▪ วิถีเพนโทสฟอสเฟต >> สร้างนehาตาลเพนโทส (Ribose) เพื่อน้าไปสร้างนิวคลิโอไทด์(Nucleotide) และกรดนิวคลิอิก (Nucleic acid) ในเซลล์▪ เป็นวิถีออกซิไดซ์กลูโคส▪ แตกต่างกับ Glycolysis คือ เป็นวิถีสร้าง NADPH** NADPH >> เป็นโคเอนไซม์สำคัญในการสร้างกรดไขมัน สเตอรอยด์และกรดอะมิโน▪ เนื้อเยื่อที่ต้องการ NADPH มาก จะมีวิถีนี้เกิดขึ้นมาก เช่น- ตับ (liver)- เนื่อเยื่อไขมัน (adipose tissue)- ต่อมน้ำนมระยะที่มีการสร้างน้ำานม (lactating mammary gland)- ต่อมหมวกไตชั้นคอร์เทกซ์(adrenal cortex)▪ เอนไซม์ Transketolase ต้องการ TPP (Coenzyme มาจาก thiamine) >>ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 จะทำให้การทำงานของเอนไซม์ Transketolase ลดลง >>ตรวจวัดจากเม็ดเลือดแดง>> เกิดมากที่ ตับ ไต ล้าไส้เล็ก>> ร่างกายใช้ในการกำจัดสารที่ได้จากเมแทบอลิซึม▪ กำจัดแลกเทตที่ได้จากกล้ามเนื้อและเม็ดเลือดแดง▪ กำจัดกลีเซอรอล (Glycerol) จากเนื้อเยื่อไขมัน▪ กำจัดกลีเซอรอล (Glycerol) จากเนื้อเยื่อไขมัน
ความส้าคัญของ Pentose phosphate pathway ในเม็ดเลือดแดง▪ เซลล์เม็ดเลือดแดงตัวแก่ (mature red blood cell) >> อาศัยการสลายกลูโคสส่วนหนึ่งผ่าน Pentose phosphate pathway เพื่อสร้าง NADPH ส้าหรับใช้ในการเปลี่ยน Glutathione ที่เยื่อหุ้มเซลล์ให้มีความแกร่ง (integrity)- ▪ ผู้ที่มีความบกพร่องของเอนไซม์ G6PD >> ความแกร่งของเม็ดเลือดแดงจะเสียไปเม็ดเลือดแดงเปราะและแตกง่าย (Hemolysis)- เกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia)
ความส้าคัญของ Pentose phosphate pathway ในเม็ดเลือดแดง▪ ประชากรโลก ประมาณ 100 ล้านคน >> มีความบกพร่องทางพันธุกรรม ที่ท้าให้มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD >> เกิดโรคโลหิตจาง เนื่องจากเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย▪ คนไทยโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 13 มีภาวะพร่องเอนไซม์นี▪ ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD >> หากรับประทานยาหรือสารที่มีสมบัติเป็นตัวออกซิไดส์(oxidizing agent) เช่น Aspirin, Primaquine, Sulfanilamide>> ระดับ Glutathione ลดต่้าลงอย่างรวดเร็ว >> เนื่องจากขาด NADPH เม็ดเลือดแดงแตกเป็นจ้านวนมาก >> เกิดภาวะโลหิตจางชนิด Hemolytic anemia
▪ วิถีกลูโคนีโอเจนีซิส >> สำคัญในการผลิต กลูโคส ให้เนื้อเยื่อ ต่าง ๆ▪ เป็นกระบวนการสร้างกลูโคสขึ้นมาใหม่ จากสารประกอบที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตได้แก่ แลกเทต กลีเซอรอล และกรดอะมิโนบางชนิด▪ เกิดขึ้นในภาวะที่ร่างกายต้องการกลูโคสและได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ เนื่องจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น สมอง ระบบประสาท ไต และเซลล์เม็ดเลือดแดง ต้องการกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานส้าคัญ>> สมองต้องการกลูโคส มากกว่า 120 กรัมต่อวัน>> เกิดมากที่ ตับ ไต ลำไส้เล็ก>> ร่างกายใช้ในการกำจัดสารที่ได้จากเมแทบอลิซึม
ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ออกไปจากเลือด▪ กำจัดแลกเทตที่ได้จากกล้ามเนื้อและเม็ดเลือดแดง▪ กำจัดกลีเซอรอล (Glycerol) จากเนื้อเยื่อไขมัน▪ กำจัดกรดอะมิโนที่เหลือใช้
การสังเคราะห์กลูโคสจากแลกเทต▪ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อและเม็ดเลือดแดง >> นำไปใช้ที่ตับและหัวใจ▪ เรียกว่า Cori cycle หรือ Lactic acid cycle
การสังเคราะห์กลูโคสจากกลีเซอรอล▪ ในภาวะที่ร่างกายขาดพลังงานจะมีการสลาย Triacylglycerol (Adipose tissue)>> Glycerol + Fatty acid
วิถีไกลโคไลซิส ▪ เป็นชุดปฏิกิริยาหรือกระบวนการสลายกลูโคส ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน ▪ เริ่มจากกลูโคส เป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 6 อะตอม (C6) >> pyruvate
(C3, 2 atom) ▪ เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องมี 10 ชนิด (ใน Cytosol และเซลล์ของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย)▪ เป็น Central Pathway >> ของการสลายกลูโคสและ monosaccharide อื่น ๆเอนไซม์ส้าคัญ 3 ชนิด ได้แก่ Hexokinase, Phosphofructokinase (PFK1), Pyruvate kinase
▪ วัฏจักรเครบส์ / วัฏจักรกรดซิตริก / วัฏจักรกรดไทรคาร์บอกซิลิก(tricarboxylic acid cycle หรือ TCA cycle)▪ เป็นกระบวนเมแทบอลิซึมของอะเซทิลโคเอ (acetyl CoA metabolism)▪ เป็นวิถีร่วมสุดท้ายของการสลายสารอาหารต่าง ๆ ที่ให้พลังงาน▪ เกิดขึ้นใน Mitochondria▪ ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน อาศัยการเร่งของเอนไซม์ทั้งหมด 8 ชนิด
▪ ไกลโคเจน เป็นคาร์โบไฮเดรตสะสมที่สำคัญของสัตว์▪ ส่วนใหญ่สะสมในตับและกล้ามเนื้อ▪ ในตับของคนที่ได้รับอาหารเพียงพอจะมีไกลโคเจนสะสมได้มากถึง ร้อยละ 6-10ของน้ำหนักตับ▪ ในกล้ามเนื้อมีไกลโคเจน ประมาณร้อยละ 1 ของน้ำหนักกล้ามเนื้อ
Glycogenesisการสังเคราะห์ไกลโคเจน>> ไกลโคเจนในตั▪ เป็นแหล่งพลังงานในตับ▪ เป็นต้นกำเนิดของกลูโคสที่ป้อนให้กระแสเลือดเพื่อน้ำไปใช้ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในระหว่างมื้ออาหารแต่ละมื้อและในภาวะอดอาหาร (12-15 ชั่วโมง)>> ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ▪ เป็นแหล่งพลังงานในการท้างานของกล้ามเนื้อ ทัั้งในสภาพปกติและเวลาที่ต้องใช้พลังงานมาก ๆ อย่างปัจจุบันทันด่วน เช่น เมื่อเกิดอาการตกใจ
โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับการสะสมไกลโคเจน>> Glycogen storage disease (โรคที่มีการสะสมไกลโคเจนผิดปกติ)▪ สะสมมากที่ตับและไต >> ไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้
▪ ระดับน ้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ▪ มีตับโตมาก▪ สาเหตุ >> ขาดเอนไซม์ glucose-6-phosphate ในตับ
2.การดูดซึมคาร์โบไฮเดรต
การดูดซึม สารอาหารต่างๆที่ผ่านการย่อยจนมีโมเลกุลที่เล็กที่สุดจะดูดซึมผ่านผนังทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลืองเพื่อนำไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย การดูดซึมสารอาหารแต่ละชนิดมีกลไกการดูดซึมแตกต่างกันไป แบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ
ก. แบบไม่ใช้พลังงาน (passive transport) สารจะเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงกว่าไปยังที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า การเคลื่อนที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันตามความต่างระดับของความเข้มข้นและไม่ต้องใช้พลังงาน เมื่อถึงจุดหนึ่งการขนส่งสารจะอยู่ในภาวะสมดุล ความเข้มข้นของสารทั้ง 2 ด้านของเยื่อหุ้มเซลล์เท่ากันจะไม่มีการเคลื่อนย้ายอีก
การขนส่งแบบไม่ใช้พลังงาน แบ่งย่อยได้เป็น 2 ชนิดคือ
1) การแพร่แบบธรรมดา (simple difussion ) เป็นกระบวนการเคลื่อนที่ของสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน สารอาหารจะเคลื่อนที่จากภายในโพรงของลำไส้เล็กซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่าเข้าไปยังผนังลำไส้เล็กที่มีความเข้มข้นต่ำกว่าตามปริมาณเข้มข้นของสาร
2) การแพร่แบบอาศัยตัวพา (carrier - facilitated difussion ) การแพร่แบบนี้จะต้องมีตัวพาช่วยในการเคลื่อนย้ายผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
ข. แบบใช้พลังงาน ( active transport ) เป็นการขนส่งที่มีลักษณะคล้ายการขนส่งแบบใช้ตัวพา แต่เป็นการขนส่งจากด้านที่มีความเข้มข้นต่ำกว่าไปยังด้านที่มีความเข้มข้นสูงกว่า จึงต้องใช้พลังงาน ซึ่งได้จากกการสลาย ATP เซลล์มีการใช้พลังงานเพื่อการนี้ถึงร้อยละ 30 – 40 ของพลังงานทั้งหมดที่เซลล์ผลิตได้
การดูดซึมสารอาหารเกือบทุกชนิดจะเริ่มตั้งแต่ส่วนล่างของลำไส้เล็กตอนต้น (duodenum) จนถึงส่วนกลางของลำไส้เล็กตอนกลาง (jejunum) ซึ่งมีความยาวประมาณ 100 ซม. ยกเว้นไวตามินบี 12 และเกลือน้ำดีซึ่งถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ที่ด้านในของผนังลำไส้เล็กมีโครงสร้างเฉพาะที่เรียกว่า วิลไล (villi) และมีไมโครวิลไล (microvilli) ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการสัมผัสอาหารและดูดซึมอาหารได้มากขึ้น (ภาพที่ 2-7) น้ำตาลเหล่านี้จะถูกดูดซึมโดยกระบวนการที่แตกต่างกัน คือ กลูโคสและกาแลคโทส ถูกดูดซึมแบบใช้พลังงาน ฟรุกโตส ถูกดูดซึมแบบใช้ตัวพา แมนโนส ไซโลส และอะราบิโนส ถูกดูดซึมแบบแพร่กระจาย กาแลคโตสจะมีอัตราการดูดซึมได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นกลูโคส ฟรุกโตส แมนโนส และอะราบีโนส ตามลำดับ
(1) การดูดซึมกลูโคสและกาแลคโทส เป็นการดูดซึมแบบใช้พลังงานซึ่งจะเกิดพร้อมกับการดูดซึมโซเดียมไออน ( Na+ ) โซเดียมไออน ที่อยู่ในโพรงลำไส้จะจับกับตัวพา (C l ) บนเยื่อหุ้มเซลล์ด้านหน้า ขณะเดียวกัน กลูโคสก็จะจับที่ตัวพาเดียวกัน (C l ) แต่เกาะคนละที่กับโซเดียมไออน เนื่องจากความเข้มข้นของโซเดียมไออน มีมากกว่าในเซลล์ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของตัวพาเข้าสู่เซลล์บุผิวลำไส้เล็ก แต่เนื่องจากเซลล์พยายามรักษาระดับโซเดียมไออนภายในเซลล์ให้คงที่ตลอดเวลา จึงผลักดันให้โซเดียมไออนที่เข้ามาออกไปทางเยื่อหุ้มเซลล์ด้านหลังเข้าสู่กระแสเลือด โดยอาศัยตัวพาใหม่ (C2 ) ที่แตกต่างจาก (C1 ) และการพานี้ต้องใช้พลังงานด้วย เพราะโซเดียมไออน ในพลาสม่ามีความเข้มข้นมากกว่าโซเดียมไออนภายในเซลล์ พลังงานที่ใช้ คือ ATP ส่วนน้ำตาลกาแลคโทสนั้นจะจับกับตัวพาตำแหน่งเดียวกับกลูโคส ดังนั้นถ้ามีน้ำตาลทั้งสองชนิดนี้อยู่ด้วยกันก็จะเกิดการแย่งที่เกาะบนตัวพาทำให้การดูดซึมน้ำตาลทั้งสองช้าลง
(2) การดูดซึมน้ำตาลฟรุกโตส จะเป็นแบบใช้ตัวพาอย่างเดียวไม่มีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวพาที่ใช้ในการดูดซึมน้ำตาลฟรุกโตสจะเป็นคนละชนิดกับตัวพาของกลูโคสและกาแลกโตส
(3) การดูดซึมน้ำตาลแมนโนส ไซโลส และอะราบิโนส น้ำตาลทั้งสามชนิดนี้จะดูดซึมโดยการแพร่กระจายจากโพรงลำไส้เล็กซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่าเข้าสู่เซลล์ และเข้าสู่พลาสมา เพราะมีความเข้มข้นต่ำกว่า ถ้าหากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลำไส้เล็กค่อนข้างเร็ว น้ำตาลเหล่านี้จะไม่ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กแต่จะเคลื่อนเลยไปที่ลำไส้ใหญ่ และดูดน้ำเอาไว้ ทำให้เกิดอาการท้องเดิน
1.การย่อยคาร์โบไฮเดรต
กระบวนการย่อยอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เริ่มตั้งแต่อาหารเข้าสู่ปาก ฟันจะทำหน้าที่เคี้ยวบดอาหารให้มีขนาดเล็กลง และในน้ำลายมีเอนไซม์ที่มีชื่อว่า ไทยาลิน (ptyalin) หรือ ซาลิวารี อะไมเลส (salivary amylase) หรือ แอลฟาอะไมเลส (a- amylase) สามารถย่อยแป้งให้มีขนาดเล็กลงเป็นเดกซตริน (dextrin) แต่การย่อยอาหารในปากเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะอาหารอยู่ในปากช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น จากนั้นอาหารจะถูกกลืนผ่านหลอดอาหารไปยังกระเพาะอาหาร แต่ที่กระเพาะอาหารนี้ไม่มีเอนไซม์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นการย่อยอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตจึงหยุดไปชั่วคราว จะเริ่มย่อยอีกครั้ง เมื่ออาหารผ่านเข้าไปในลำไส้เล็กซึ่งมีสภาพเป็นด่าง โดยน้ำย่อยจากตับอ่อนและจากผนังลำไส้เล็ก
ตับอ่อน เมื่ออาหารผ่านมาถึงลำไส้เล็ก ที่เยื่อเมือกบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) และ ลำไส้เล็กส่วนกลาง (jejunum) จะหลั่งฮอร์โมนออกมา 2 ชนิด คือ ซีครีติน (secretin) จะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีเกลือคาร์บอเนต และ แพนครีโอไซติน (pancreozymin) จะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างเอนไซม์เบตาอะไมเลสซึ่งทำหน้าที่ย่อยแป้งเป็นน้ำตาลมอลโตส เอนไซม์ชนิดนี้ทำงานได้ดีที่สภาพเป็นกลางหรือด่างเล็กน้อย (pH ประมาณ 7.1 )
ผนังลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กผลิตน้ำย่อยประมาณวันละ 3 ลิตร มีฤทธิ์เป็นด่าง คือ มี pH ประมาณ 7.0-7.5 ประกอบด้วยเอนไซม์หลายชนิด ทั้งที่ย่อยทั้ง คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน และทำหน้าที่เฉพาะอื่นๆ เอนไซม์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตจะย่อยไดแซกคาไรด์ให้เป็นโมโนแซกคาไรด์ มี 3 ชนิด คือ
-
-
-