Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Ischemic cardiomyopathy (ICM) Or Coronary artery disease (CAD),…

- - - - LVEF 35%
    - - มีเลือดคั่งค้างอยู่หัวใจห้องซ้าย
        
        ความดันในหัวใจห้องซ้ายสูงขึ้น
        
        ความดันเลือดฝอยที่ปอดสูงขึ้น
        
        ของเหลวจากหลอดเลือดฝอยที่ปอดเข้าสู่ถุงลม
        
        Left sided-heart failure
        
        Cardiac output ลดลง
        
        1 more item...
        
        Sign and symptom
        
        1 more item...
  - - - มีเลือดคั่งค้างในห้องใจห้องล่างขวา
        
        ความดันในหัวใจล่างขวาสูงขึ้น
        
        ส่งผลต่อการไหลเวียน
        ของเลือดดำทั่วร่างกาย
        
        Right sided-heart failure
        
        Sign and symptom
        
        ขาบวมกดบุ๋มทั้ง 2 ข้าง
        
        1 more item...
- - - - ข้อบ่งชี้ในการพิจาณาการผ่าตัด CABG จากการรักษาโดยใช้ยา และการทำ PCI แต่กลับมามีอาการเจ็บหน้าอก
- - - - Objective data
  - - - Objective data
      - Objective data
  - - - พบ Cardiomegaly
        
        รูปภาพแสดงการเปรียบเทียบระหว่าง
        
        Cardiomegaly
        
        Normal CXR
- - - - Subjective data
      - Subjective data
- - - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง และหมดสติ
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ตามแผนการรักษาของแพทย์ 80 – 180 mg/dL
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินระดับความรู้สึกตัว และอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง และหมดสติ
        2) วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ดูแลให้ได้รับยา Regular insulin (RI) 10 unit โดยฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนัง ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังได้รับยา คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยจะมีอาการและอาการแสดง คือ หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก และตาพร่ามัว
        4) ดูแลให้ได้รับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และลดอาหารเค็ม พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น เลือกดื่มนมถั่วเหลืองรสจืด หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมปัง เป็นต้น
        5) ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือด < 80 หรือ > 180 mg/dl. ให้รายงานแพทย์ทันที
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        Objective data
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบหรือซึมลง
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ T = 37.00 °C, PR = 88 bpm, RR = 20 bpm และ BP = 110/70 mmHg.
        3) เจาะ DTX พบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือด 140 mg/dL
    - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดออกจากหัวใจใน 1 นาที และส่งเสริมประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ไม่มีอาการและอาการแสดงของการเกิดภาวะ Low Cardiac output ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัวลดลง หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เหงื่อกออก ตัวเย็น ชื้น เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) O2 sat มากกว่าหรือเท่ากับ 95%
        4) MAP 65-90 mmHg
        5) Capillary refill <3 วินาที
        6) ฟังปอดไม่พบเสียงผิดปกติ ได้แก่ Crepitation
        7) ปริมาณปัสสาวะมากกว่า 0.5 cc/kg/hr
        8) Intake-Output มีความสมดุลกัน
        9) ผลตรวจห้องทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง คือ NT-pro BNP < 100 pg/ml
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Low Cardiac output ได้แก่ ระดับความรู้สึกตัวลดลง หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เหงื่อกออก ตัวเย็น ชื้น เป็นต้น ร่วมกับการประเมินอาการบวมตามแขน และขา ประเมิน Capillary time และการฟังเสียงปอด เพื่อประเมินเสียงผิดปกติ ได้แก่ เสียง crepitation
        2) ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ติดตามและบันทึกคลื่นไฟฟฟ้าหัวใจ 12 leads เมื่อแรกรับและติดตามจอมอนิเตอร์ (On monitor EKG) เพื่อประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมบันทึกผลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจจังหวะและรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หากพบว่ามีความผิดปกติควรรายงานแพทย์ทันที
        4) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจน Canular 3 LPM ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยลดการทำงานของหัวใจ เนื่องจากร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
        5) ดูแลจัดท่านอนให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะสูง 30-90 องศา หรือนั่งฟุบ เพื่อช่วยลดปริมาตรเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจ และช่วยให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น
        6) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Dobutamine (2:1) IV drip 4 ml/hr ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และ Cardiac output พร้อมทั้งเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังผู้ป่วยได้รับยา ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และภาวะ hypotension
        7) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Lasix 80 mg. IV stat ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยลดปริมาณเลือดที่ไหลกลับสู่ห้องหัวใจก่อนหัวใจบีบตัว ให้หัวใจสามารถบีบตัวได้ดีขึ้น และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังผู้ได้รับยา ได้แก่ ภาวะ Hypokalemia และภาวะ Hypotension
        8) ประเมินปริมาณปัสสาวะของผู้ป่วย หากพบว่ามีปัสสาวะออก < 0.5 cc/kg/hr อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือไม่ปัสสาวะเลย ให้รายงานแพทย์ทันที
        9) บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า-ออก (intake-output) เพื่อประเมินความสมดุลของสารน้ำในร่างกาย และเฝ้าระวังภาวะน้ำเกิน
        10) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และจัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ ผ่อนคลาย เพื่อช่วยลดความต้องการใช้ออกซิเจนของหัวใจ
        11) ติดตามผลการตรวจพิเศษ ได้แก่ EKG, CXR และผลตรวจทางห้องปฏิการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ NT-pro BNP
      - ข้อมูลสนับสนุน
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการหัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว เหงื่อกออก หรือตัวเย็น หายใจสม่ำเสมอ ไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ และไม่พบอาการบวมกดบุ๋ม
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ T = 37.00 °C, PR = 88 bpm, RR = 20 bpm และ BP = 110/70 mmHg.
        3) O2 sat = 98%
        4) MAP = 83 mmHg.
        5) Capillary time 2 วินาที
        6) ฟังปอดไม่พบเสียงผิดปกติ
        7) มีปริมาณปัสสาวะใน 1 ชั่วโมง 50 cc/hr
        8) NT-pro BNP = 30 pg/ml
    - - เกณฑ์การพยาบาล
        
        1) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอก และอาจมีอาการปวดร้าวไปบริเวณอื่นๆ เช่น แขนไหล่ ต้นคอ สะบักหลัง เป็นต้น อาการแน่นหน้าอก ปวดแสบร้อนบริเวณกลางอก หายใจตื้น หายใจลำบาก ใจสั่น หน้ามืด เหงื่อออกเยอะ เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) O2 sat มากกว่าหรือเท่ากับ 95%
        4) ผลตรวจ EKG ไม่พบ ST segment elevation, ST segment depression, T wave inversion
        5) ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง คือ Troponin T = 0-14 ng/L และCK-MB = 0-3 ng/mL
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอก และอาจมีอาการปวดร้าวไปบริเวณอื่นๆ เช่น แขนไหล่ ต้นคอ สะบักหลัง เป็นต้น แน่นหน้าอก ปวดแสบร้อนบริเวณกลางอก หายใจตื้น หายใจลำบาก ใจสั่น หน้ามืด และเหงื่อออกเยอะ
        2) ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ ร่วมกับการประเมิน O2 sat หากพบว่าน้อยกว่า 95% ให้รายงานแพทย์ทันที เพื่อดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
        3) ติดตามและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจไฟฟ้าหัวใจและบันทึกคลื่นหัวใจ 12 Lead หากพบว่ามี ST segment elevation, ST segment depression, T wave inversion ให้รายงานแพทย์ทันที
        4) ดูแลให้ผู้ป่วยพักบนเตียง (absolute bed rest) เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
        5) ให้คำแนะนำผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระ เพื่อป้องกันความดันช่องทรวงอกเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง พร้อมทั้งให้คำแนะนำการรับประทานผักและผลไม้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะท้องผูก
        6) ให้คำแนะนำผู้ป่วยปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยงดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารประเภทไขมันทรานส์ เช่น อาหารที่ปรุงด้วยครีมเทียม หรือมาการีน ขนมโดนัท และมันฝรั่งทอด เป็นต้น เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งเพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แนะนำให้ผู้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ส่วนอก หรือนมถั่วเหลืองรสจืด เป็นต้น และหลีกเลี่ยงอาหารทะเล ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น Troponin T, CK-MB หากพบความผิดปกติให้รายงานแพทย์ทันที เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง
      - ข้อมูลสนับสนุน
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงขอภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ดังนี้ อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก ปวดแสบร้อนบริเวณกลางอก หายใจตื้น หายใจลำบาก ใจสั่น หน้ามืด เหงื่อออกเยอะ เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ T = 37.00 °C, PR = 88 bpm, RR = 20 bpm และ BP 110/70
        3) O2 sat = 98%
        4) ผลตรวจ EKG พบ Normal sinus
        5) Troponin T = 5 ng/L
        6) CK-MB = 1 ng/mL
    - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยและญาติมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG)
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าที่สดชื่นขึ้น ไม่แสดงสีหน้าถึงความวิตกกังวล เช่น นิ่วคิ้วขมวด
        2) ผู้ป่วยและญาติมีความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG)
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) แนะนำตัว และพูดคุยสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อสร้างความไว้วางใจ
        2) ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติด้วยการพูดคุย ซักถามถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
        3) อธิบายสาเหตุ อาการและอาการแสดงของภาวะความเจ็บป่วย และเหตุผลในการรักษา เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะการเจ็บป่วยในปัจจุบันให้แก่ผู้ป่วยและญาติ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
        4) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตนก่อนเข้ารับการผ่าตัดในการงดน้ำและอาหารทางปากทุกชนิด เพื่อป้องกันการสำลักหรืออาเจียน และเศษอาหารอาจจะเข้าไปอุดทางเดินหายใจได้
        5) เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) และทบทวนความรู้ที่ให้กับผู้ป่วย เพื่อเป็นการเน้นย้ำในส่วนสำคัญ
        6) แนะนำเทคนิคการลดความวิตกกังวล เช่น การหายใจเข้าช้าๆ การผ่อนลมหายใจออกทางปาก รวมถึงกิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ
      - ข้อมูลสนับสนุน
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น
        2) ผู้ป่วยและญาติมีความและความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัด CABG มากขึ้นจากการให้ทบทวนข้อมูลที่ให้ได้อธิบายไป
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอิเล็คโทรไลต์ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) คือ คลื่นไส้ อาเจียน มึนงง ซึม และชัก
        2) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัสสาวะสีเข้มและมีปริมาณมาก
        3) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        4) ปริมาณสารน้ำเข้า-ออก (Intake-Output) มีความสมดุลกัน
        5) ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง พบว่า Na = 136-145 mmol/L,
        Cl = 98-107 mmol/L และ K = 3.5-5.1 mmol/L
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและ Electrolytes ในภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ คือ อาเจียน มึนงง ซึม และชัก และภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัสสาวะสีเข้ม และมีปริมาณมาก
        2) ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนของสัญญาณชีพ
        3) ประเมินและบันทึกคลื่นไฟฟฟ้าหัวใจ 12 leads เพื่อเฝ้าระวังภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
        4) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำ 0.9% NSS 500 ml IV drip ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มปริมาณโซเดียมในเลือด
        5) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา E.KCL ในปริมาณ 30 mg โดยรับประทานทางปาก ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมในเลือด และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังได้รับยา คือ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นช้าหรือผิดจังหวะ และจับชีพจรของผู้ป่วยที่ข้อมือทั้งสองข้างก่อนและหลังได้รับยา 30 นาที เพื่อเฝ้าระวังภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหลังได้รับยา
        6) บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออก เพื่อประเมินความสมดุลของสารน้ำเข้าออกของร่างกาย
        7) ติดตามผลตรวจทางห้องปฏัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Na, Cl และ K
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนงง ซึม และชัก
        2) ผู้ป่วยมีจังหวะการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัสสาวะสีเมีสีเหลืองใส และมีปริมาณ 50 cc. ใน 1 ชั่วโมง
        3) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP 110/70 mmHg.
        4) ปริมาณสารน้ำเข้า-ออก (Intake-Output) มีความสมดุลกัน
        5) ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง พบว่า Na = 140 mmol/L,
        Cl = 100 mmol/L และ K = 4.1 mmol/L
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง และหมดสติ
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ตามแผนการรักษาของแพทย์ 80 – 180 mg/dL
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินระดับความรู้สึกตัว และอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ระดับความรู้สึกตัวลดลง ซึมลง และหมดสติ
        2) วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ดูแลให้ได้รับยา Regular insulin (RI) 14 unit โดยฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนัง ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังได้รับยา คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยจะมีอาการและอาการแสดง คือ หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก และตาพร่ามัว
        4) ดูแลให้ได้รับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และลดอาหารเค็ม พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น เลือกดื่มนมถั่วเหลืองรสจืด ไม่รับประทานขนมปัง เป็นต้น
        5) ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือด < 80 หรือ > 180 mg/dl. ให้รายงานแพทย์ทันที
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หอบหรือซึมลง
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ T = 37.00 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP = 110/70 mmHg.
        3) เจาะ DTX พบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือด 130 mg/dL
    - - ข้อสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดการติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด ได้แก่ มีไข้ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผลผ่าตัด และมีสารคัดหลั่ง เช่น หนอง ซึมออกมากจากบาดแผล
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ WBC = 4,000-11,000 cell/mm3, Neutrophil = 40-75%, Lymphocyte = 20-50%, Monocyte = 2-10%, Eosinophil = 1-6% และ Basophil = 0-1%
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด ได้แก่ มีไข้ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผลผ่าตัด และมีสารคัดหลั่ง เช่น หนอง ซึมออกมากจากบาดแผล
        2) ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ล้างมือก่อนตามหลัก 5 moment และให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Sterile Technique เพื่อป้องการติดเชื้อเพิ่มที่บริเวณแผลผ่าตัด
        4) ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone 1 gm. IV ทุก 12 hr. และ Cloxacillin 1 gm. sc ทุก 6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อรักษาการติดเชื้อที่บริเวณแผลผ่าตัด และเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการใช้ยา ได้แก่ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หรือมีอาการปวด แสบบริเวณตำแหน่งที่ได้รับยา
        4) ดูแลทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยและจัดสิ่งแวดล้อมรอบเตียงให้สะอาด เพื่อลดการหมักหมมของเชื้อโรค
        5) ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ WBC, Neutrophil, Lymphocyte, Monocyte, Eosinophil และ Basophil
      - การประเมินผล
        
        ผู้ป่วยไม่มีไข้ ไม่มีอาการปวดปวด บวม แดง ร้อนบริเวณแผลผ่าตัด และไม่มีสารคัดหลั่ง เช่น หนอง ซึมออกมากจากบาดแผล
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37.00 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP = 110/70 mmHg.
        3) ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ WBC = 8,000 cell/mm3, Neutrophil = 65%, Lymphocyte = 30%, Monocyte = 3%, Eosinophil = 2% และ Basophil = 0%
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะ Cardiogenic shock ได้แก่ มีอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ไอมีเสมหะเป็นฟอง เจ็บแน่นหน้าอก มีความดันโลหิตต่ำ หรือตัวเย็น เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) ระดับความรู้สึกตัว(GCS) = 13-15 คะแนน
        4) ฟังเสียงปอดไม่พบเสียง pulmonary crackles หรือ wheezing
        5) CVP = 6-12 mmH2O
        6) ปริมาณปัสสาวะมากกว่า 0.5 cc/kg/hr
        7) ผลตรวจ EKG ไม่พบลักษณะผิดปกติ
        8) ผลการตรวจทางห้องปฏิติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ CK-MB = 0-3 ng/mL, Troponin T = 0-14 ng/mL ,และ Pro-BNP < 100 pg/mL
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะช็อคจากหัวใจ (Cardiogenic shock)
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Cardiogenic shock ได้แก่ มีอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ไอมีเสมหะเป็นฟอง เจ็บแน่นหน้าอก มีความดันโลหิตต่ำ หรือตัวเย็น เป็นต้น
        2) ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมง จนกระทั่งมีสัญญาณชีพคงที่ประเมินทุก 4 ชั่วโมง และติดตามการประเมินความดันโลหิตจากหลอดแดงจากต่อเนื่อง (On monitor Arterial blood pressure) เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ประเมินระดับความรู้สึกตัว (GCS) ทุก 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นทุก 4 ชั่วโมงจนกระทั่งผู้ป่วยรู้สึกตัวดี
        4) ประเมินความเพียงพอของปริมาณเลือดในร่างกาย เพื่อติดตามการไหลเวียนของเลือดจากการวัดความดันในหลอดดำส่วนกลาง (CVP) หากพบว่ามีค่า < 6 หรือ > 12 cmH2O ให้รายงานแทพย์ทันที
        5) ติดตามและบันทึกคลื่นไฟฟฟ้าหัวใจ 12 leads เมื่อแรกรับและติดตามจอมอนิเตอร์ (On monitor EKG) เพื่อประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมบันทึกผลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจจังหวะและรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หากพบว่ามีความผิดปกติควรรายงานแพทย์ทันที
        6) ฟังเสียงหัวใจและปอด หากพบเสียงผิดปกติ ควรรายงานแทพย์ทันที
        7) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ Dobutamine (2:1) 100 mg in 0.9% NSS 50 ml IV drip โดยควบคุมการไหลของยาให้คงที่ด้วย Infusion pump ตามแผนการรักษาของแพทย์และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังจากการที่ผู้ป่วยได้รับยา ได้แก่ อาการหัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเกิด Atrial fibrillation ซึ่งหากเกิดความผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        8) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาเพิ่มการหดรดตัวของหลอดเลือด เพื่อเพิ่มความดันโลหิต Levophed 4 mg in 5%DW 50 ml IV drip โดยควบคุมการไหลของยาให้คงที่ด้วย Infusion pump ตามแผนการรักษาของแพทย์และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังจากการที่ผู้ป่วยได้รับยา ได้แก่ อาการหัวใจเต้นช้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง
        9) ประเมินปริมาณปัสสาวะของผู้ป่วย หากพบว่าผู้ปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 cc/kg/hr อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือไม่มีการปัสสาวะ ให้รายงานแพทย์ทันที
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ไอมีเสมหะเป็นฟอง เจ็บแน่นหน้าอก มีความดันโลหิตต่ำ หรือตัวเย็น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP 110/70 mmHg.
        3) ระดับความรู้สึกตัว(GCS) = 15 คะแนน
        4) ฟังเสียงปอดไม่พบเสียง pulmonary crackles หรือ wheezing
        5) ค่า CVP = 8 mmH2O
        6) มีปริมาณปัสสาวะใน 1 ชั่วโมง 50 cc
        7) ผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) พบ Normal sinus
        8) ผลการตรวจทางห้องปฏิติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ CK-MB = 1 ng/mL, Troponin T = 4 ng/mL ,และ Pro-BNP = 20 pg/mL
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อบรรเทาอาการปวดแผล และส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายมากขึ้น
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        1) ผู้ป่วยมีอาการปวดบริเวณแผลลดลง หรือไม่มีอาการปวดบริเวณแผล โดยมีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น และบ่นถึงอาการปวดแผลลดลง
        2) Pain score ลดลงจาก 5 คะแนน
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการปวดโดยการสังเกตสีหน้าของผู้ป่วย และการบ่นถึงอาการปวดแผล ร่วมกับการใช้ Pain score เพื่อติดตามอาการปวดแผลของผู้ป่วย
        2) ดูแลให้ได้รับยาบรรเทาปวด morphine 3 mg IV เมื่อมีอาการ ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อบรรเทาอาการปวด และเฝ้าระวังอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
        3) จัดท่านอนศีรษะสูง (Fowler's position) เพื่อให้ลดการดึงรั้งบริเวณแผลผ่าตัด
        4) แนะนำการเปลี่ยนท่าที่ถูกต้องให้แก่ผู้ป่วย โดยใช้วิธีการตะแคงตัว ในการเปลี่ยนท่าจากนอนเป็นนั่ง หรือจากนั่งเป็นนอนจะช่วยลดการเกร็งกล้ามเนื้อและการตึงของแผลผ่าตัด เพื่อลดความเจ็บปวดขณะเคลื่อนไหวร่างกาย หรือใช้มือช่วยประคองแผลผ่าตัดขณะไอ หรือเคลื่อนไหว
        5) แนะนำการบรรเทาปวดด้วยการทำ Deep breathing exercise คือ การหายใจเข้าทางจมูก กลั้นลมหายใจไว้ 2-3 วินาทีจากนั้นค่อยๆผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ หรือการทำสมาธิ จะทำให้จิตใจและอารมณ์สงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทำให้ลดความปวดลงได้
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น และผ่อนคลายมากขึ้น สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ และบอกว่า "ไม่ค่อยปวดแผลแล้ว"
        2) Pain score = 2/10 คะแนน
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ Cardiac tamponade
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะ Cardiac tamponade ได้แก่ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก นอนราบไม่ได้ เส้นเลือดที่คอโป่งพอง หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตต่ำ
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) Content drain < 200 ml/hr
        4) ปริมาณปัสสาวะมากกว่า 0.5 cc/kg/hr
        5) CVP = 6-12 mmH2O
        6) ผลตรวจ CXR ไม่พบเงาของหัวใจกว้างกว่าปกติ
        7) ผลตรวจ EKG ไม่พบ low voltage QRS complex, T-waves ต่ำหรือแบนราบ และ electrical alternans
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Cardiac tamponade ได้แก่ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก นอนราบไม่ได้ เส้นเลือดที่คอโป่งพอง หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตต่ำ
        2) ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 2 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมง เมื่อพบว่าสัญญาณคงที่ให้ประเมินทุก 4 ชั่วโมง และติดตามการประเมินความดันโลหิตจากหลอดแดงจากต่อเนื่อง (On monitor Arterial blood pressure) เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ติดตามและบันทึกคลื่นไฟฟฟ้าหัวใจ 12 leads เมื่อแรกรับและติดตามจอมอนิเตอร์ (On monitor EKG) เพื่อประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมบันทึกผลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจจังหวะและรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หากพบว่ามีความผิดปกติควรรายงานแพทย์ทันที
        4) ประเมิน Right atrium โดยการวัดความดันในหลอดดำส่วนกลาง (CVP) หากพบว่ามีค่า < 6 หรือ > 12 cmH2O ให้รายงานแทพย์ทันที
        5) ดูแลสายระบาย (Drainage) จาก Left chest drain, Right chest drain และ Mediastinal drain ให้อยู่ในระบบปิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในการระบายเลือดที่คั่งค้างในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ และป้องกันการอุดตันของสายระบาย ดังนี้
        5.1) จัดท่าศีรษะสูง (Fowler’s position) และจัดวางขวดให้ต่ำกว่าตัวผู้ป่วยประมาณ 3 ฟุต
        5.2) ควรดูแลไม่ให้สายท่อระบายเลื่อนหลุด หัก พับ หรืองอ โดยจัดท่อยางให้ตรง ยึดท่อ ยางให้อยู่กับทีโดยใช้พลาสเตอร์หรือเข็มกลัดรัดตรึงสายไว้กับผ้าปูทีนอน โดยเหลือท่อยางด้านผู้ป่วยให้มากพอที่ผู้ป่วยจะสามารถพลิกตะแคงตัวหรือนั่งบนเตียงได้
        5.3) ดูแลบีบหรือรูด (Milking or stripping) สายระบายบ่อย ๆ ทุก 15 นาทีใน 4 ชั่วโมงแรก และหลังจากนั้นทุก 1 ชั่วโมง
        6) ประเมินและบันทึกปริมาณเลือดที่ออกจากท่อระบายทรวงอก พร้อมติดตามความเข้มของเลือด และการแข็งตัวของเลือด หากพบว่ามีปริมาณเลือดออกจากท่อระบายทรวงอกมากกว่า 200 ml/hr หรือพบสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        7) ประเมินปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง หากพบว่าปัสสาวะออกน้อยวกว่า 0.5 ml/kg/hr มากกว่า 2 ชั่วโมง ให้รายงานแพทย์ทันที
        8) ติดตามผลการตรวจพิเศษที่เกี่ยวข้อง คือ CXR
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก นอนราบไม่ได้ เส้นเลือดที่คอโป่งพอง หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตต่ำ
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP 110/70 mmHg.
        3) Content drain = 80 ml/hr
        4) มีปริมาณปัสสาวะใน 1 ชั่วโมง 50 cc
        5) CVP = 8 mmH2O
        6) ผลตรวจ CXR พบ Cardiomegaly
        7) ผลตรวจ EKG พบ Normal sinus
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดภาวะซีด และป้องกันการเกิดภาวะอัตรายจากภาวะซีด
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะซีด ได้แก่ อาการซีดตามเยื่อบุตา ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้า และเล็บ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือชีพจรเร็ว เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) Hb = 12-16 g/dL, Hct = 38-47 %
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) . ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะซีด ได้แก่ อาการซีดตามเยื่อบุตา ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้า และเล็บ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือชีพจรเร็ว เป็นต้น
        2) ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
        3) ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนและงดการทำกิจกรรมเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
        4) ให้คำแนะนำการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น นม ผักใบเขียว ตับ ไข่แดง เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ และให้คำแนะนำการรับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น ส้ม ฝรั่ง คะน้า บรอกเคอรี่ เป็นต้น
        5) ให้คำแนะนำการเปลี่ยนท่า โดยค่อย ๆ ลุกแล้วนั่งซักพักจึงยืนขึ้นเพื่อป้องการการเกิดอาการหน้ามืดหรือภาวะความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า
        6) ติดตามและบันทึกผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวข้อง ได้แก่ Hct, Hb
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการซีดตามเยื่อบุตา ริมฝีปาก ปลายมือปลายเท้า และเล็บ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และชีพจรเร็ว
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37 °C, PR = 85 bpm, RR = 20 bpm และ BP 110/70 mmHg.
        3) Hb = 15 g/dL, Hct = 42 %
    - - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะปอดแฟบ
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะปอดแฟบ เช่น หายใจลำบาก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวหรือริมฝีปากเขียว เคาะปอดได้ยินเสียงทึบ (Dullness) การขยายทรวงอกน้อยลง เป็นต้น
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 36.5 – 37.4 °C, PR = 60 – 100 bpm, RR = 16 – 20 bpm และ BP 90/60 – 139/89 mmHg.
        3) O2 sat มากกว่าหรือเท่ากับ 95%
        4) ผลตรวจ CXR ไม่พบความผิดปกติที่ปอด
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะปอดแฟบ เช่น หายใจลำบาก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวหรือริมฝีปากเขียว เคาะปอดได้ยินเสียงทึบ (Dullness) การขยายทรวงอกน้อยลง เป็นต้น หากพบความผิดปกติให้รายงานแพทย์ทันที
        2) วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ ร่วมประเมิน O2 sat หากพบว่าน้อยกว่า 95% ให้รายงานแพทย์ทันที
        3) จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง (Fowler’s position) เพื่ออาศัยแรงโน้มถ่วงในการระบายเสมหะ
        4) ให้คำแนะนำผู้ป่วยในการทำกายภาพบำบัดปอดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพปอดและป้องกันการเกิดภาวะปอดแฟบ โดยการฝึกการหายใจ (Breathing exercise) เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี โดยมีวิธีการดังนี้ ใช้มือวางไว้บริเวณใต้ลิ้นปี่ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ให้ท้องป่องและทำการกลั้นหายใจ 5-10 วินาที หลังจากนั้นหายใจออกโดยวิธีห่อปากเป่าลมออกช้า ๆ ให้ท้องแฟบ หรือการฝึกไออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อระบายเสมหะ โดยการอยู่ในท่านอนหรือนั่งโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ใช้หมอนหรือผ้าห่มวางบนแผลผ่าตัด วางมือทั้ง 2 ข้างบนผ้าห่ม กดบริเวณเหนือแขน และใช้ 2 แขนโอบรอบ ๆ ทรวงอก สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นหายใจ 1-2 วินาที พร้อมไอออกมาแรง ๆ 1-2 ครั้ง และการ4.4 ฝึกหายใจโดยใช้เครื่องบริหารปอด (Incentive Spirometer) โดยการจัดท่านั่งหรือศีรษะสูง หลังจากนั้นให้หายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ ใช้ปากอมท่อเป่าของเครื่องบริหารปอด สูดลมหายใจเข้าเต็มที่เพื่อให้ปอดขยายมากที่สุด ให้ลูกบอลในเครื่องบริหารปอดลอยสูงขึ้นและคงไว้ให้นานที่สุดหรือประมาณ 5-10 วินาที หรืออย่างน้อย 3-5 วินาที แล้วค่อย ๆ ผ่อนลง ให้เวลาหายใจเข้าต่อหายใจออกเป็น 1:2 ทำติดต่อกัน 5-10 ครั้ง ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง
        5) ประสานงานให้ผู้ป่วยได้พบนักกายภาพบำบัดเพื่อติดตามการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
        6) ติดตามผลการตรวจ CXR หากพบว่ามีความผิดปกติให้รายงานแพทย์
      - การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยหายใจสม่ำเสมอ ไม่มีอาการหายใจลำบาก ปลายมือปลายเท้าเขียวหรือริมฝีปากไม่มีอาการเขียว เคาะปอดได้ยินเสียง Resonance
        2) สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ T = 37°C, PR = 85 bpm, RR = 18 bpm และ BP 110/70 mmHg.
        3) O2 sat = 98%
        4) ผลตรวจ CXR ไม่พบความผิดปกติที่ปอด
    - - ข้อมูลสนับสนุน
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนหลังจากการผ่าตัดได้อย่างเหมาะสม
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยและญาติไม่มีสีหน้าวิตกกังวล มีสีหน้าสดชื่น ผ่อนคลายมากขึ้น
        2) ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนได้อย่างจากการผ่าตัดได้อย่างเหมาะสม เช่น การรับประทานอาหาร การทำกิจกรรม และการดูแลแผลผ่าตัด
      - กิจกรรมทางการพยาบาล
        
        1) แนะนำตัว และพูดคุยสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อสร้างความไว้วางใจ
        2) ประเมินระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยและญาติด้วยการพูดคุย ซักถามถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล
        3) อธิบายสาเหตุ อาการและอาการแสดงของภาวะความเจ็บป่วย และเหตุผลในการรักษา เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะการเจ็บป่วยในปัจจุบันให้แก่ผู้ป่วยและญาติ และอธิบาย เกี่ยวกับเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สอดใส่ในร่างกายผู้ป่วยพร้อมทั้งอธิบายถึงความจำเป็นและระยะเวลาที่ ใส่โดยคร่าว ๆ ในการนำอุปกรณ์ออก เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงวิธีการรักษาและลดความวิตกกังวล พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติซักถามถึงข้อสงสัย เพื่อคลายความคับข้องใจ
        4) ให้ความรู้ในการปฏิบัติตนหลังจากการผ่าตัด เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม และส่งเสริมให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล ดังนี้
        4.1) แนะนำให้ผู้ป่วยประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอดและมัน อาหารรสเค็ม และอาหารรสหวาน หรือผลไม้หวานจัด เช่น มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น
        4.2) แนะนำให้ผู้ทำกิจกรรมพื้นฐาน ๆ ขณะอยู่ในโรงพยาบาล เช่น การปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน การออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมฟื้นฟูสมรรถภาพปอดจากที่นักกายบำบัดให้คำแนะนำ หรือการหายใจแบบมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติเกิดความมั่นใจ และฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง
        4.3) แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตการขับถ่ายอุจจาระของตนเอง หากพบว่ามีอาการท้องผูก หรือเบ่งถ่าย ให้แจ้งพยาบาลทันที เนื่องจากการออกแรงเบ่งถ่ายจะส่งผลการทำงานของหล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้น
        4.4) แนะนำให้ผู้ป่วยดูแลไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่แผล
        4.5) แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติหลังจากการผ่าตัด เช่น มีไข้ แผลอักเสบติดเชื้อมีหนองซึม หรือเลือดบริเวณบาดแผลไหลอย่างต่อเนื่อง ให้แจ้งพยาบาลทันที
        5) จัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยให้สงบให้เหมาะกับการพักผ่อนและหาแนวทางช่วยเหลือในการลดความวิตกกังวล เช่น การฟังเพลงที่ผู้ป่วยชื่นชอบ หรือการหายใจคลายเครียด เป็นต้น
      - ก่ารประเมินผล
        
        1) ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้าสดชื่น ผ่อนคลายมากขึ้น
        2) ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตนได้อย่างจากการผ่าตัดได้อย่างเหมาะสมในการรับประทานอาหาร การทำกิจกรรม และการดูแลแผลผ่าตัด และสามารถบอกอาการผิดปกติที่ควรต้องรีบแจ้งพยาบาลทันทีได้อย่างเหมาะสม
- - - - Insulin ลดลง หรือไม่มี Insulin เลย
        
        ขาดตัวนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์
        
        ภาวะ Hyperglycemia
        
        กระตุ้นการสร้าง
        
        Reactive oxygen species (ROS) เพิ่มขึ้น
        
        ไขมันในเลือดชนิด LDL เกิดปฏิริยากับ ROS
        
        1 more item...
        
        Advanced glycation end products (AGE) เพิ่มขึ้น
        
        ส่งผลให้เกิด
        
        1 more item...