Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยหญฺงอายุ 70 ปี Ischemic cardiomyopathy with CAD with Hypertension…

- - - - Spironolactone 25 mg 1 tab เช้า รักษาภาวะบวม (edema) เพราะผู้ป่วยมี pitting edema 2+
      - Lasix 10 mg/hr IV push หรือ 250mg iv drip 10 mg/hr
      - พร่องออกซิเจน
        
        on ET tube เพื่อให้เนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
        
        On Oxygen canular 3 L/min
    - - Digoxin 0.25 mg 1x1 เพราะผู้ป่วยมีภาวะ Heart failure หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยาตัวนี้จะเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ (positive inotropic effect)
  - - - Packed red cells 584 ml ให้เพื่อชดเชยการสูญเสียเลือดของผู้ป่วย
        Fresh frozen plasma 416 ml
      - Hypovolemic shock
        
        Levophed 4 mg 5% DW 50 ml iv drip ใช้ในการรักษาภาวะช็อกหลังจากที่ให้สารน้ำทดแทนอย่างเพียงพอแล้ว
        
        Dobutamine (2:1) IV 200 mg รักษาภาวะช็อกที่มีเหตุจากหัวใจ
        
        Cardiac arrest
        
        Internal cardiac massage การนวดหัวใจ เพื่อให้หัวใจผู้ป่วยกลับมามีสัญญาณชีพอีกครั้ง
        
        CPR defibrillator เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
  - - - 50%glucose 50ml IV push เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
  - - - Ceftriaxone 1 g q 12 hr รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและเพื่อป้องกันการติดเชื้อ Cloxacillin 1 g q 6 hr รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
    - - Morphine 3 mg IV prn q 3 hr เพื่อบรรเอาอาการปวดที่รุนแรงจากการปวดแผลของผู้ป่วยตามแผนการรักษาแพทย์
  - - - Magnesium sulfate 2 gm in 0.9 NSS 50 ml IV drip in 2 hr. รักษาภาวะ Hypomagnesaemia
  - - - Lasix 10 mg/hr IV push หรือ 250mg iv drip 10 mg/hr ใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง
        
        Cozaar 50 mg 1 tab เช้า เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง
        
        Manidipine 20 mg 1tab เช้า เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง
  - - - NaCl 50 ml IV รักษาภาวะโซเดียมและคลอไรด์ในเลือดต่ำ
- - - - S : 2 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อย นอน ราบไม่ได้ หายใจไม่สะดวกขณะนอน
      - O : V/S แรกรับ T 36.6 องศา PR 88 bpm RR 28 bpm BP 168 / 94 mmHg
        O2 sat แรกรับ 95% on canula
        Lung sound : Crepitation both lung
        Pitting Edema 2+
        CXR : Cardiomegaly
        Trop-T 19/03/64 = 387.9 ng/L
        NT-proBNP 22/03/64 = 30363 pg/ml
        Echo 20/01/64 ผ ล LVEF 35%, ICM, Mild MR
    - - ภาวะสารน้ำคั่งในร่างกายเกิดจากภาวะหัวใจด้านซ้ายล้มเหลว จะทำให้มีการคั่งของน้ำที่ปอดทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าน้ำท่วมปอด การมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural effusion) คือ การสะสมของสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด สารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดปกติจะไหลซึมอย่างต่อเนื่องเข้าไปในช่องระหว่างเยื่อหุ้มปอด โดยจะผ่านทางเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอดชั้นนอก และจะถูกดูดซึมอีกครั้งหนึ่งจากเส้นเลือดฝอยของเยื่อหุ้มปอดชั้นใน และระบบน้ำเหลือง หากมีสิ่งรบกวนไม่ว่าจะเป็นสิ่งคัดหลั่งหรือการระบายสารต่างๆจะทำให้เกิดน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอดขึ้น ทำให้การขยายตัวของปอดถูกจำกัด ผู้ป่วยจะหายใจลำบาก เหนื่อยเมื่อออกแรง และส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะพร่องออกซิเจนได้
      - ภาวะซีด เป็นภาวะทีเกิดจากการที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้มีตัวนำออกซิเจนลดลง การขนส่งออกซิเจนไปให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย ลดลง จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติได้ ตั้งแต่อาการเหนื่อยง่ายขึ้นกว่าเดิม และทำให้ผิวหนังหรือเยื่อเมือกมีสีซีดลงผิดปกติ อาจเกิดทั่วร่างกาย หรือเพียงบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยมักเกิดบริเวณเยื่อบุภายในช่องปาก ดวงตา เปลือกตาล่าง ลิ้น เล็บ หรือฝ่ามือ โดยหนึ่งในสาเหตุของภาวะชีดคือ การเสียเลือด ทำให้ผู้ป่วยรายนี้มีโอกาสเสี่ยงพร่องออกซิเจน
    - - ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
    - - ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ ชีพจรเบาเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็นซีด เขียวบริเวณปลายมือปลายเท้าและรอบๆปาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจเร็วตื้น กระสับกระส่าย สับสน ระดับความรู้สึกตัวลดลง ใช้กล้ามเนื้อท้องในการหายใจ
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของการคั่งของสารน้ำในร่างกาย ได้แก่ บวมกดบุ๋ม บวมทั่วร่างกาย หายใจลำบาก หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้
        
        V/S ปกติ
        T 36.5 – 37.4 C
        PR 60 – 100 bpm
        RR 16 – 20 bpm
        BP 90 – 120 / 60 – 90 mmHg
        
        O2 sat = 95 – 100 %
        
        Lung sound clear both lung
        
        urine > 22 ml/hr
        
        CVP 6 – 12 mmHg
        
        Trop-T < 387.9 ng/L
        
        NT-proBNP < 30363 pg/ml
        
        Arterial blood gas
        PO2 83-108 mmHg
        PCO2 35-45 mmHg
        HCO3 22-26 mEq/L
        pH 7.35-7.45
        11.CXR ปอดไม่พบความผิดปกติ
        12.I/O balance
        13.ผลการตรวจCBC
        -Hematocrit 38-47 %
        -Hemoglobin 12–16 g/dL
        12.ไม่พบอาการของภาวะซีด ได้แก่ เยื่อบุตา ผิวหนังซีด ริมฝีปากซีดปลายนิ้วมือนิ้วเท้าซีด
    - - 1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจน ได้แก่ ชีพจรเบาเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็นซีด เขียวบริเวณปลายมือปลายเท้าและรอบๆปาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจเร็วตื้น กระสับกระส่าย สับสน ระดับความรู้สึกตัวลดลง ใช้กล้ามเนื้อท้องในการหายใจ เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน
      - ประเมินการคั่งของสารน้ำในร่างกาย ได้แก่ ปัสสาวะออก น้อย บวมกดบุ๋ม บวมทั่ว ร่างกาย หายใจลำบาก หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ เพื่อให้การดูแลอย่างเหมาะสม
      - ประเมิน Vital signs และ Oxygen saturation ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินสภาพของผู้ป่วยหากมีการเปลี่ยนแปลงจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
      - ดูแลจัดท่านอนศีรษะสูง 30 – 45 องศา ส่งเสริมการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพื้นที่แลกเปลี่ยนก๊าซ
      - ดูแลให้ได้รับออกซิเจนOn Canular 3LPM ตามแผนการรักษา เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตาม แผนการรักษา ได้แก่
        
        Lasix 250 mg IV drip rate 1 ml/hr (10 mg/hr) เพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย ลด Preload พร้อมทั้งสังเกตุอาการข้างเคียง ได้แก่ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หนาวสั่น ไอ และเสียงแหบ ไข้ขึ้นสูง มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง ปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะไม่ออก ปวดหลัง
      - ประเมินความดันโลหิตของหลอดเลือดดำส่วนกลาง ( Central Venous Pressure: CVP) เพื่อประเมินปริมาณน้ำที่ไหลเวียนในร่างกาย
      - ประเมินสารน้ำเข้าออกทุก 8 ชั่วโมง ดูลักษณะ สี กลิ่น และ ปริมาณของน้ำปัสสาวะเพื่อประเมินความผิดปกติของน้ำปัสสาวะ และความสมดุลของสารน้ำเข้าออก
      - ติดตามผลการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC, Arterial blood gas, Serum K, Na Trop-T, NT-proBN เพื่อติดตามและใช้ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนได้
      - 9.ส่งเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก หมูชิ้นเล็กหรือหมูสับ เลือดหมู ผักใบขียว เพื่อส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยเรื่องการสร้างเลือดมากขึ้น
    - - 1.พักผ่อนอยู่บนเตียงเพื่อลดการใช้พลังงาน
        
        กิจกรรมของญาติ
        
        ลดการรบกวนผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
        
        สังเกตอาการผิดปกติหากพบรีบแจ้งพยาบาลทันทีีเพื่อให้การพยาบาลได้ทันท่วงที
  - - - S: -
        O: ผ่าตัด CABG วันที่12/03/64 มีแผลผ่าตัดบริเวณ Median Sternotomy มีแผลผ่าตัดบริเวณตั้งแต่ Suprasternal notch ถึง Xiphoid process
        
        แผลผ่าตัดมีสิ่งคัดหลั่งซึม เป็นหนอง
        
        V/S 13/06/64 06.00 น.
        T= 36.8 องศาเซลเซียส
        PR= 82 bpm
        RR= 18 bpm
        BP= 146/72 mmHg
        
        Pain score 13/06/64 06.00 น. = 3 คะแนน
        
        Lab CBC 20/03/64
        WBC= 10.46 x 103 / uL
        N%= 86.1 %
        L%= 6.6 %
    - - 1.ลดการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
        2.ป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
        3.เพื่อบรรเทาอาการปวด
    - - 1.แผลผ่าตัดแดง สะอาด ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีสิ่งคัดหลั่งซึมออกมา ผู้ป่วยบ่นปวดแผล แผลปริแยกออกจากกัน
        
        2.ผู้ป่วยบ่นปวดแผลลดลง สีหน้าดีขึ้น ไม่่มีอาการไม่สุขสบาย ได้แก่ คิ้วขมวด กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาก
        
        3.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T = 36.5-37.4ºC PR = 60-100 ครั้ง/นาที RR = 16-20 ครั้ง/นาที BP=90-120/60-90 mmHg
        
        4.Pain score น้อยกว่า 3 คะแนน
        5.ผลตรวจ CBC ปกติ
        WBC=4-11x103 /uL
        N%=40-75 %
        L%=20-50 %
        Mo%=2-10 %
        E%=1-6 %
        B%=0-1 %
    - - 1.ประเมินอาการและอาการแสดงของแผลติดเชื้อเช่น แผลมีบวม แดง ร้อน มีสิ่ง คัดหลั่งไหลซึม แผลปริหรือแยกออกจากกัน เพื่อประเมินความก้าวหน้าของแผล
        
        2.วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามการทำงานผิดปกติของร่างกาย
        
        3.ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามการรักษาของแพทย์ คือ
        
        Ceftriaxone 1 g q 12 hr เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย พร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย
        
        Cloxacilin 1 g q 6 hr เพื่อรักษาการติดเชื้อรวมถึงการอักเสบ พร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ ท้องเสียคลื่นไส้ อาเจียน มีแก๊สในกระเพาะอาหารและแผลในปาก
        
        Augmentin 1.2 g q 3 hr เพื่อรักษาการติดเชื้อ พร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ ท้องเสีย คลื่นไส้ หรืออาเจียน
        
        Morphine 3 mg IV prn q 3 hr และสังเกต อาการข้างเคียง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน กดการหายใจ ง่วงนอน การเกิดภาวะ ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า (orthostatic hypotension)
        
        4.ดูแลทำความสะอาดแผลผ่าตัดแบบ Dry Dressing วันละ 1 ครั้ง เพื่อทำความสะอาดแผลลดการสะสมของเชื้อโรค
        
        ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาลเพื่อลดการกระจายเชื้อ
        
        ดูแลทำความสะอาดร่างกายของผู้ป่วยและจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยให้สะอาด เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค ได้แก่ การทำเตียงให้สะอาดอยู่เสมอ เปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ป่วยให้สะอาดอยู่เสมอ
        
        1 more item...
    - - ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดทุกรายมีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากการผ่าตัดนำไปสู่การกระตุ้นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก nociceptor และเกิดภาวะการตอบสนองที่ไวเพิ่มขึ้น sensitization ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดต่อเนื่องแม้เวลาไม่มีการเคลื่อนไหว และการเพิ่มการตอบสนองต่อการกระตุ้นที่บริเวณแผลผ่าตัด เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อจะมีการตอบสนองต่อระบบ ภูมิคุ้มกันจะกระตุ้นการ สร้างเม็ดเลือดขาว (White Blood Cell) มีหน้าที่ สำคัญในการตอบสนองต่อ การติดเชื้อ โดยเม็ดเลือด ขาวชนิดแรกที่มีการสร้างมากขึ้นเมื่อมีการ ตอบสนองต่อการติดเชื้อ คือ Neutrophil เป็นเซลล์ ที่มีจำนวนมากที่สุดใน ร่างกาย มีหน้าที่ในการกำจัดจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอม แต่หากร่างกายมีการติด เชื้อที่มีความรุนแรงมากขึ้น และระบบภูมิคุ้มกันไม่ สามารถกำจัดเชื้อไปได้ หมด เชื้อโรคจะมีการ ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผล ทำให้เกิดการตายของ เนื้อเยื่อของผิวหนังและทำ ให้เชื้อจุลชีพเข้าลุกลาม ไปสู่ร่างกาย เข้าสู่กระแส เลือดและลุกลามไปอวัยวะ อื่น ๆ เกิดความรุนแรงของ การติดเชื้อมากขึ้นและเกิด ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือการติดเชื้อในกระแสเลือด
    - - สังเกตอาการและอาการแสดงของแผลติดเชื้อของผู้ป่วย เช่น แผลบวม แดง ร้อน มีสิ่งคัดหลั่งไหลซึม แผลปริหรือแยกออกจากกัน
        
        กระตุ้นให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผลโดยเฉพาะโปรตีน
        
        เช็ดตัวลดไข้ให้ผู้ป่วยเมื่อมีไข้
        
        กระตุ้นให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
        
        กิจกรรมของผู้ป่วย
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของแผลติดเชื้อ เช่น แผลบวม แดง ร้อน มีสิ่งคัดหลั่งไหลซึม แผลปริหรือแยกออกจากกัน
        
        รับประทานอาหารที่ส่งเสริมการหายของแผล
  - - - S: ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ประมาณ 10 ปี เคยได้รับการผ่าตัดเท้าทั้ง 2 ข้าง
        
        O: V/S 20/03/64 18.00 น. T= 36.6 องศาเซลเซียส PR= 66 bpm RR= 18 bpm BP= 111/87 mmHg -DTX 13/03/64 = 251 mg% -DTX 27/3/64 = 67 %
    - - -ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนของน้ำตาลในเลือดสูง และน้ำตาลในเลือดต่ำ
    - - ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะ Hyperglycemia ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ รวมถึงภาวะอาการและอาการแสดงของภาวะ Hypoglycemia ได้แก่ สายตาพร่ามัว หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ตัวสั่น ใจสั่น ใจหวิว หิวบ่อย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ปวดหัว ฉุนเฉียว กังวล
        
        V/S ปกติ
        T 36.5 – 37.4 C
        PR 60 – 100 bpm
        RR 16 – 20 bpm
        BP 90 – 120 / 60 – 90 mmHg
        
        3.DTX อยู่ในระดับ 80-200 mg %
    - - สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ Hyperglycemia ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ
        
        ติดตามวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชม. เพื่อประเมินความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        
        เจาะระดับน้ำตาลปลายนิ้วก่อนรับประทานอาหาร รักษาระดับน้ำตาลอยู่ที่ 80-400 mg % ตามแผนการรักษาของแพทย์ ถ้า DTX < 80, >400 ให้แจ้งแพทย์เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือดและเพื่อให้การพยาบาลได้ถูกต้อง
        
        4.ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดพร้อมกับ ปรับอินซูลินตามแผนการรักษาของแพทย์
        If DTX 201-250 เพิ่ม RI 2 U
        251-300 “ 4 “
        301-350 “ 6 “
        351-400 “ 8 “
        Mixtard 20-0-10 unit SC
        If >400 pls notify
        และเฝ้าระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเบาเร็ว ระดับความรู้สึกตัวลดลง
        เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้ 50%glucose 50ml IV push เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
        
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารเหลว BD DM (1:1) 150 ml x 4 feed ตามแผนการรักษาเพื่อให้ได้รับสารอาหารเพียงพอและจำกัดน้ำตาลที่ผู้ป่วยได้รับเพื่อไม่ให้ร่างกายมีน้ำตาลสะสมมากเกินไป
        
        6.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด เพราะความเครียดอาจทำให้เกิดการหลั่งคอติซอล ซึ่งทำให้ร่างกายมีน้ำตาลมากเกินไป โดยให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ลดการรบกวนผู้ป่วยเมื่อไม่จำเป็น
        
        1 more item...
    - - ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ( Hyperglycemia) ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าเกณฑ์ค่าปกติ คือ มากกว่า 99 มก./ดล. หลังอดอาหาร 8 ชม. และ เกิน 140 มก./ดล. หลังมื้ออาหาร 2 ชม. ภาวะเช่นนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หาก ไม่ได้รับการดูแลอย่าง เหมาะสมอาจส่งผลต่อการ เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่ง ภาวะแทรกซ้อนในระยะ เฉียบพลันที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน ( Diabetic ketoacidosis: DKA) จากการที่น้ำตาลในเลือด สูงมากๆและมีการ สลายตัวของไขมันเพิ่มมาก ขึ้น จึงมีการสร้างคีโตนและ เกิดการคั่งของคีโตนใน ร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิด ภาวะกรดเกิน ผู้ป่วยจะมี อาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ หิวบ่อย ปวดท้อง อาเจียน หายใจหอบ ลึก จากภาวะกรดเกิน ลมหายใจมีกลิ่นอะซิโตน ซึมลง สับสน
      - ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จะมีอาการได้แแก่ สายตาพร่ามัว หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ตัวสั่น ใจสั่น ใจหวิว หิวบ่อย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ปวดหัว ฉุนเฉียว กังวล
    - - สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะ Hyperglycemia ของตนเอง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ และอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น สายตาพร่ามัว หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ตัวสั่น ใจสั่น ใจหวิว หิวบ่อย อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ปวดหัว ฉุนเฉียว กังวล เป็นต้น
        
        กิจกรรมของญาติ
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของภาวะHyperglycemia ของผู้ป่วย ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมาก กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ
        
        ดูแลให้ได้รับประทานอาหารเฉพาะโรคเบาหวาน
  - - - S : - ผู้สูงอายุ อายุ 70 ปี
        
        U/D HT,DM,ไขมันในเลือดสูง
        
        O : - วัดความดันโลหิต (21/03/2564) = 168/94mmHg
        
        ซักประวัติและตรวจร่างกาย เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภาวะแทรกซ้อนจากการมีภาวะ ความดันโลหิตสูง ได้แก่ ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอยช่วงเช้า ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เชื่องช้าผิดไปจากภาวะปกติ เป็นต้น
    - - ความดันโลหิตสูง คือ ภาวะ ความดันในหลอดเลือดแดงสูงอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป โดยวัดขณะนั่งพัก 5-10 นาที ที่ไม่ได้สูบบุหรี่หรือดื่ม แอลกอฮอล์และได้ค่าสูงตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ในเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน 2. ความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิที่เกิดจากสาเหตุ โดยภาวะแทรกซ้อนจากการมีภาวะความดันโลหิตสูง ได้แก่ (stroke) ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ ระดับความ-รู้สึกตัวลดลง มีอาการง่วงซึม หรือปลุกไม่ตื่น หรือเชื่องช้าผิดไปจากภาวะปกติ พูดไม่ชัด ปวดศีรษะ อย่างรุนแรง
        
        ซึ่งในผู้ป่วยอายุ 70 ปีมีภาวะความดันโลหิตสูงจากโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง เบาหวาน ร่วมกับผู้ป่วยมีการปวดแผลผ่าตัดส่งผลทำให้มีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งจากผลการตรวจ ร่างกายพบว่าวัดความดันโลหิต (21/03/2564) = 168/94mmHg ซึ่งมีค่าความดันโลหิตสูง
    - - -เพื่อป้องกันการเกิด ภาวะแทรกซ้อนอันตรายจาก ภาวะความดันโลหิตสูง
    - - ไม่มีอาการของ ภาวะแทรกซ้อนจากการมี ภาวะความดันโลหิตสูง ได้แก่ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่น ใต้ลิ้นปี่ ระดับความรู้สึกตัวลดลงมีอาการง่วงซึมหรือปลุก ไม่ตื่น หรือเชื่องช้าผิดไปจาก ภาวะปกติพูดไม่ชัด ปวดศีรษะ อย่างรุนแรง
        
        ความดันโลหิตอยู่ในภาวะ ปกติไม่เกิน 140/90 mmHg.
    - - ประเมินอาการเปลี่ยนแปลง โดยประเมินระดับความรู้สึกตัว หากลดลงมากกว่า 2 คะแนนรายงานแพทย์ทันที อาการปวดศีรษะ ความดันโลหิต อัตราการหายใจและชีพจร ทุก 4 ชั่วโมง รายงานแพทย์ทันทีเมื่อมี อาการเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดี เพื่อวางแผนการพยาบาล และให้ได้รับการแก้ไขทันเวลา
        
        ดูแลให้ได้รับยาลดความดันโลหิตตามแผนการรักษาแพทย์ ได้แก่
        
        LASIX 250 mg IV drip เพื่อรักษาระดับความดัน โลหิตไม่ให้สูงเกินไปตามแผนการ รักษาของแพทย์ และเฝ้าระวังผลข้างเคียง เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หนาวสั่น ไอ และเสียงแหบ ไข้ขึ้นสูง มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง ปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะไม่ออก ปวดหลัง
        
        Nitroglycerin 50 mg in 0.9% NSS 50 ml IV drip ตามแผนการ รักษาเพื่อลดความดันโลหิต เฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังการให้ยา และสังเกตอาการข้างเคียงหลังให้ยา เช่น ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่าง รวดเร็ว ใจสั่น มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
        
        ทำหัตถการต่างๆ เท่าที่จำเป็น และรบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อน
        
        ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยกับตัวผู้ป่วยและญาติ และการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมเพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง ดังนี้
        
        การควบคุมอาหารเค็ม อาหารไขมัน และอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยแนะนำให้ลดหรืองดรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ไข่เค็ม ของหมักดอง อาหารรสเค็มต่างๆ ควบคุมอาหารไขมัน เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากกะทิ อาหารทะเลที่แคลอรี่สูง หอยนางรม ไข่แดง อาหารที่มันมากเช่น ข้าวขาหมู หนังเป็ด หนังไก่เป็นต้น
        
        หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์และคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะจะทำให้ความดัน โลหิตสูงและเกิดภาวะหัวใจวายได้
        
        1 more item...
    - - นอนหลับพักผ่อนบนเตียง
        
        ปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเอง และการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมเพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนจากความ ดันโลหิตสูง
    - - ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนบนเตียง
        
        สังเกตอาการผิดปกติของ ผู้ป่วย เช่น ปวดศีรษะ ตา พร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ ระดับความรู้สึกตัวลดลงมีอาการง่วงซึมหรือปลุกไม่ตื่น หรือเชื่องช้าผิดไปจากภาวะปกติพูด ไม่ชัดให้รีบแจ้งพยาบาล
        
        คอยดูแลให้ผู้ป่วยปฏิบัติ ตามคำแนะนำเกี่ยวกับการ ดูแลตนเองและการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน จากความดันโลหิตสูง
  - - - S:ซักถามผู้ป่วยเกี่ยวกับความรู้ในการดูแลจนเองทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการรับประทานยา
        
        O:สังเกตสีหน้าท่าทางผู้ป่วยเพิ่มเติมว่าเข้าใจหรือไม่
    - - การส่งเสริมความรู้เรื่องการปฎิบัติตัวก่อนกลับบ้าน มีความสำคัญ เนื่องจาก หลังจากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านผู้ป่วยจะอาการดีขึ้น หรือแย่ลงจนต้องกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งก็อยู่ที่พฤติกรรมและความรู้ของผู้ป่วยในการดูแลตนเอง พยาบาลจึงจำเป็นต้องให้ความรู้ผู้ป่วยอย่างถูกต้องเหมาะสม
    - - ประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังกลับบ้าน เพื่อให้คำแนะนำได้ถูกต้อง
        
        ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังกลับบ้านตามหลัก
        
        D - METHOD
        
        D : Disease
        
        โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic Cardiomyopathy) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอซึ่งเป็นผลมาจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ส่งผลทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อย่างเพียงพอ จากการที่ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดซึ่ง ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง แพทย์จึงทำการรักษาด้วยวิธี CABG ซึ่งจะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจและร่างกายได้ดีขึ้น
        
        CAD (Coronary Artery Disease)ภาวะหัวใจขาดเลือด หมายถึง ภาวะที่หลอดเลือดแดง ที่เลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจะมีอาการ เจ็บหน้าอกและอาจมีภาวะหัวใจวาย หรือเสียชีวิตได้
        
        Hypertension โรคความดัน โลหิตสูง หมายถึง ระดับความดันโลหิตซิสโตลิก (systolic blood pressure,SBP) ≥140 mmHg. หรือความดันโลหิตไดแอสโตลิก (diastolic blood pressure, DBP) ≥ 90 mmHg. โดยโรคความดันโลหิตสูงเกิดจาก อายุที่มากขึ้น ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น แข็งมากขึ้นความยืดหยุ่นลดลง ผนังหลอดเลือดมีความแข็งตัว ความสามารถในการหดตัวและคลายตัวลดลง หลอดเลือดมีความต้านทานส่วนปลายมากขึ้น
        
        Diabetes Mellitus โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยทั้งหมดนี้เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินขาดหรือฮอร์โมนอินซูลินออกฤทธิ์ได้น้อยลง ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ ก่อให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง
        
        Dyslipidemia โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะที่ร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ ไขมันที่สูงนั้นอาจเป็นโคเลสเตอรอล (Cholesterol) หรือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง เรียกว่า Hyperlipidemia เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
        
        M : Medication แนะนำยาที่ผู้ป่วยได้รับกลับไปรับประทานที่บ้าน ผลข้างเคียงของยา รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติ โดยเน้นย้ำการรับประทานยาเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ช่วยควบคุม โรคไม่ให้เป็นมากขึ้นหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นน้อยหรือช้าที่สุด ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองรวมถึงเพิ่มหรือลดปริมาณยาเอง ได้แก้ 1.ยากลุ่มไนเตรต Nitroglycerine ซึ่งเป็นยาขยายหลอดเลือด อาการข้างเคียงที่พบได้คือ อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม 2.ยาต้านการรวมตัวของเกล็ดเลือด ผู้ป่วยต้องระวังอุบัติเหตุ ไม่ให้มีของมีคมอยู่รอบตัว เพราะยาตัวนี้จะทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก 3.ยาละระดับน้ำตาลในเลือด(ไม่ทราบว่าได้ยาอะไร) ระวังผลข้างเคียงคือ หน้ามืดเป็นลมจากน้ำตาลในเลือดต่ำ 4.ยาลดความดันโลหิต ระวังผลข้างเคียงคือ ความดันต่ำขณะเปลี่ยนท่าได้ควรเคลื่อนไหวช้าๆ
        
        E : Environment การจัดสิ่งแวดล้อมในที่อยู่อาศัย ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุในการดำเนินชีวิต ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ควรอาศัยอยู่ในชั้นแรก โดยเฉพาะผู้สูงอายุรายนี้ซึ่งเหนื่อยง่ายเพราะมีปัญหาโรคหัวใจ ควรมีการทำทางลาดราว บันได ราวจับในห้องน้ำเพื่อป้องกันการลื่นล้ม จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด มีอากาศถ่ายเท ดูแลความสะอาดเครื่องนอน เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ง่าย จัด สิ่งของภายในบ้านจัดให้เป็นระเบียบ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ E : Economic ใช้สิทธฺประกันสุขภาพในจังหวัด แต่มีบางส่วนต้องออกเอง ผู้ป่วยไม่มีเงินมากพอ ทางโรงพยาบาลจึงประสานแผนกสังคมสงเคราะห์ให้
        
        T : Treatment ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการ ผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ เช่น หน้ามืดเป็นลม ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว เจ็บแน่นหน้าอก พักหรือรับประทานยาแล้วไม่หาย หายใจหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ปัสสาวะออกน้อย ซึมลง อ่อนเพลีย เป็นต้น
        
        1 more item...
    - - นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
        
        ทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดที่ตนเองชอบ เช่น การฝึกหายใจ ทำสมาธิ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
        3.ปฏิบัติตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์
    - - ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
        
        ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมผ่อนคลายความวิตกกังวล 3.ให้การดูแลและปฏิบัติ ตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์
  - - - ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ ( Hyponatremia) หมายถึงภาวะที่มีระดับ โซเดียมในเลือดต่ำกว่า 135 mmol/L เมื่อผู้ป่วยมีระดับโซเดียม ในเลือดลดลงจะทำให้ ผู้ป่วยมีอาการและอาการ แสดงตามระดับของโซเดียมในเลือด ได้แก่ Na < 125 mEq/L จะทำให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย Na 115 – 120 mEq/L อาจ ทำให้เซลล์สมองบวมน้ำ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด ศีรษะ มึนงง Na < 110 mEd/L จะทำให้ผู้ป่วยมี อาการซึม ชัก หมดสติ และ อาจเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็น อันตรายที่คุกคามชีวิตผู้ป่วย
      - ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) หมายถึงภาวะที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำกว่า 3.5 mEq/L โดยในผู้ป่วยรายนี้อาจเกิดจากการได้รับยาขับปัสสาวะ Lasix ซึ่งจะมีผลยับยั้งการดูดกลับของโพแทสเซียม ที่ Distal tubule ทำให้มีการสูญเสียโพแทสเซียมไปกับปัสสาวะและการใช้ยาอินซูลินที่มีฤทธิ์ในการดึงโพแทสเซียมเข้าเซลล์ไปกับกลูโคส ทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียสในเลือดต่ำได้ ซึ่งโพแทสเซียมมีความสำคัญต่อการส่งกระแสประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อหัวใจ
      - ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เป็นภาวะที่อิเล็กโทรไลต์ในร่างกายไม่สมดุล ซึ่งอาจเกิดจากปริมาณของอิเล็กโทรไลต์ที่มากหรือน้อยจนเกินไป อิเล็กโทรไลต์เป็นชื่อที่ใช้เรียกแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย และช่วยให้ระบบที่สำคัญอื่น ๆ ทำงานได้อย่างปกติ เมื่ออิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุลอาจทำให้เกิดอาการ อย่างหัวใจเต้นผิดปกติ เหนื่อยล้า ชัก และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ สาเหตุของภาวะนี้อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำในร่างกายเป็นจำนวนมาก
    - - ไม่เกิดภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์
        
        เกณฑ์การประเมิน
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะความไม่สมดุล
        ของอิเล็กโทรไลต์
        
        ภาวะ Na ต่ำ ได้แก่ ปวดศีรษะ หมดแรง สับสน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนล้า เกร็ง หรือ กระตุก กล้ามเนื้อ อ่อนแรง กระสับกระส่าย และหงุดหงิดง่าย
        
        ภาวะ Na สูง ได้แก่ กระหายน้ำมากกว่า ปกติ ปัสสาวะน้อย ปากแห้งตาแห้ง ร่างกายอ่อนแรง ง่วงซึม สับสน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็วกว่าปกติ กล้ามเนื้อกระตุก หรือหดเกร็ง และชัก
        
        ภาวะ K ต่ำ ได้แก่ ท้องผูก อาการ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อน แรง อาการเหน็บชาตาม ร่างกาย หัวใจเต้นช้า และ ชีพจรเต้นเบากว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        ภาวะ K สูง ได้แก่ ท้องเสีย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        ภาวะ Cl ต่ำ ได้แก่ กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดเกร็ง หายใจถี่และตื้น
        
        no pitting edema
        
        Lung sound clear
        
        V/S ปกติ
        T 36.5 – 37.4 C
        RR 16 – 20 bpm
        PR 60 – 100 bpm
        BP 90 – 120 / 60 – 90 mmHg
        
        2 more items...
    - - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะเสียสมดุล
        ของอิเล็กโทรไลต์ ได้แก่
        
        ภาวะ Na ต่ำ ได้แก่ ปวดศีรษะ หมดแรง สับสน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนล้า เกร็ง หรือ กระตุก กล้ามเนื้อ อ่อนแรง กระสับกระส่าย และหงุดหงิดง่าย
        
        ภาวะ Na สูง ได้แก่ กระหายน้ำมากกว่า ปกติ ปัสสาวะน้อย ปากแห้งตาแห้ง ร่างกายอ่อนแรง ง่วงซึม สับสน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็วกว่าปกติ กล้ามเนื้อกระตุก หรือหดเกร็ง และชัก
        
        ภาวะ K ต่ำ ได้แก่ ท้องผูก อาการ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการเหน็บชาตาม ร่างกาย หัวใจเต้นช้า และ ชีพจรเต้นเบากว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        ภาวะ K สูง ได้แก่ ท้องเสีย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อน
        
        ภาวะ Cl ต่ำ ได้แก่ กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดเกร็ง หายใจถี่และตื้น
        
        วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตามและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพเพื่อให้การพยาบาลอย่างทันท่วงที
        
        บันทึกการทำงานของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ โดยการ on EKG 12 Lead ตามแผนการรักษา เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าโดยละเอียดในแต่ละบริเวณต่าง ๆ และ Monitor EKG เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างใกล้ชิด หากพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
        
        ดูแลให้ได้รับ NaCl 50 ml IV ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อรักษาภาวะโซเดียมและคลอไรด์ในเลือดต่ำ และเฝ้าระวังผลข้างเคียง ได้แก่ อ่อยเพลีย กระหายน้ำ หายใจหอบ
        
        Salt tab 1x3 po pc ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อรักษาภาวะโซเดียมต่ำ และเฝ้าระวังผลข้างเคียง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
        5.ดูแลให้ได้รับ E.KCL 30 ml ตามแผนการรักษาแพทย์ เพื่อให้ระดับโพแทสเซียมกลับสู่ภาวะปกติ และเฝ้าระวังอาการของภาวะ K สูง ได้แก่ท้องเสีย อ่อนเพลีย
        
        บันทึกสารน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชั่วโมง เพื่อประเมินความรุนแรงของการสูญเสียสารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ในร่างกาย ถ้าออกน้อยกว่า 30 cc/hr ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ควรรายงานแพทย์
        7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ Electrolyteได้แก่ Na , K , Cl ,HCO3 เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสารอิเล็กโตรไลท์
        
        กิจกรรมผู้ป่วย
        
        พักผ่อนอยู่บนเตียงเพื่อลดการใช้พลังงาน
        
        กิจกรรมญาติ
        
        ลดการรบกวนผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
        
        สังเกตอาการผิดปกติ หากพบรีบแจ้งพยาบาลทันที
    - - S: -
        O : 28 มี.ค.ปัสสาวะออกมาทั้งหมด 1,450 cc
        Intake 1052 cc
        
        Electrolyte Serum
        20/3/64
        K=3.2mmol/L
        Cl=92 mmol/L
        22/3/64 Na=132 mmol/L
        Cl=89 mmol/L
        HCO3=30 mmol/L
        24/03/64
        Na=131 mmol/L
        Cl=87mmol/L
        25/03/64
        Na=131 mmol/L
        Cl=87mmol/L
        30/03/64
        Na=135 mmol/L
        Cl=88 mmol/L
  - - - S: ไม่มีประวัติตาพร่ามัว
        
        ซักประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อาการอาเจียนอ่อนเพลีย ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
        
        มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและ CKD stage 3
        O: ตรวจร่างกายพบอาการบวมกดบุ๋ม 2+
        
        ตรวจร่างกายเพิ่มเติม ได้แก่ ผิวหนังแห้ง แตกเป็นรอย ไม่แห้งไม่แตก
        
        record I/O
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ eGFR
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
        (20/03/64)
        
        BUN = 29 mg/dL
        
        Cr = 1.25 mg/dL
        (22/03/64)
        
        BUN = 32 mg/dL
        
        Cr = 1.24 mg/dL
        (24/03/64)
        
        BUN = 34 mg/dL
        
        Cr = 1.15 mg/dL
        (30/03/64)
        
        BUN = 37 mg/dL
        
        Cr = 1 mg/dL
    - - โรคเบาหวานและ โรคหัวใจส่งผลให้หลอด เลือดตีบแข็ง และหัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีด เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายตามลำดับ ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตไม่เพียงพอ ส่งผลให้การทำงานของไตลดลง (GFR) ทำให้ของเสียคั่ง ในร่างกาย ได้แก่ BUN, Cr ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะยูรีเมีย (Uremia) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคันตาม ผิวหนังจากการที่ยูรีเมียไปเกาะตามผิวหนังและหากยูรีเมียเกาะบริเวณเยื่อบุตา จะให้เกิดอาการ ตาพร่ามัว มองไม่ชัด
        
        เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของเสียคั่งจากไตสูญเสียหน้าที่
        
        เกณฑ์การประเมินผล
        
        ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจาก ของเสียคั่งจากไตสูญเสียหน้าที่ ได้แก่ คันตามผิวหนัง
        ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียน มองเห็นไม่ชัดเจน บวมตาม ร่างกาย ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตสูง
        
        สัญญาณชีพอยู่ในระดับปกติ ดังนี้ T = 36.5-37.4 °C BP = 120/80-90/60 mmHg RR = 12-20 bpm PR = 80-100 bpm O2 sat = 95-100%
        
        1 more item...
    - - บันทึกและวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
        
        สังเกตอาการและอาการแสดง ได้แก่ คันตามผิวหนัง ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียน มองเห็นไม่ชัดเจน บวมตามร่างกายปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตสูง เพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งจากไตสูญเสียหน้าที่
        
        ดูแลให้ได้รับยา lasix 10 mg/hr IV ตามแผนการรักษาของแพทย์พร้อมทั้งสังเกตผลข้างเคียง คือ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หนาวสั่น ไอ และเสียงแหบ ไข้ขึ้นสูง มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง ปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะไม่ออก ปวดหลัง
        
        ดูแลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนดังนี้
        
        อาการคันตามผิวหนัง ควรดูแลผิวหนังให้สะอาด หากผิวหนังแห้งมากไม่ควรอาบน้ำอุ่น และไม่ควรใช้สบู่ หากต้องใช้สบู่แนะนำให้ใช้สบู่ที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งมาก ได้แก่ สบู่เด็ก ควรทาน้ำมันหรือโลชั่นบ่อยๆ (ดูแลใช้วาสลีนทาตัว)เพื่อช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น แนะนำให้ตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลจากการเกา หรือหากมีอาการคันจนทำให้นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรให้ยาลดอาการคันตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ได้แก่ จำกัดการรับประทานสารอาหารโปรตีน คือ สารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้าง และซ่อมแซมกล้ามเนื้อให้ร่างกาย เหตุผลที่จำกัดโปรตีนเพราะ ไตเป็นแหล่งกำจัดของเสีย ร่างกายเผาผลาญโปรตีน หากรับประทานโปรตีนมากก็จะมีของเสียผ่านไตมาก ไตทำงานหนักมากขึ้น ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำโคเลสเตอรอลต่ำ และไม่ผ่านการแปรรูป เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมูไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ อาหารหมักดองเช่น แหนม ปลาส้ม ปลาเค็ม ปูเค็ม เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น หมูแฮม ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อสัตว์ที่มีไขมันปริมาณมาก รวมถึงจำกัดเกลือโซเดียม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารหมักดอง ไข่เค็ม ปลาเค็ม กุนเชียง จำกัดโปแทสเซียม เกลือโปแทสเซียมมีมากในผัก และผลไม้บางชนิดจึงควรงดบริโภค ผักสีเข้ม ๆ เช่น คะน้าผักกวางตุ้ง แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ ฯลฯผลไม้ที่ควรงดบริโภค เช่น กล้วย ทุเรียน ฝรั่ง ขนุน มะละกอ ลูกเกด ลูกพรุน ผลไม้แห้ง ฯลฯ ควรเลือกบริโภคผักที่มีโพแทสเซียมต่ำและควรลวก หรือต้มผักให้สุก เช่น ฟักเขียวสุก แตงกวา บวบสุกผักกาดขาว ปลีสุก ถั่วฝักยาวสุก ถั่วงอกสุก เป็นต้น
        
        ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ ไข่แดง นม และผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเมล็ดแห้ง เบียร์ เบเกอรี่ ช็อคโกแลต ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีสีเข้มควบคู่กับการกินอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพอ
        
        จำกัดน้ำ เนื่องจากความสามารถในการขับปัสสาวะของผู้เป็นโรคไตเรื้อรังจะลดลงทำให้มีอาการบวมน้ำ และมีความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้ามีอาการบวมน้ำ ให้ดื่มน้ำไม่ควรเกินวันละ 750 –1,000 ซีซี หรือ 3 – 4 แก้วต่อวัน
        
        หลีกเลี่ยงไขมันจากเนื้อสัตว์ กะทิ และอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง และควรใช้แป้งโปรตีนต่ำ หรือปลอดโปรตีนในการเพิ่มพลังงาน ควรหลีกเลี่ยงขนมหวานที่ไม่ใส่กะทิ หรือขนมอบที่มีเนย
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือ BUN, Creatinine, eGFR เพื่อประเมินการทำงานของไตในการกรองของเสีย
      - กิจกรรมของผู้ป่วย
        
        สังเกตอาการและ อาการแสดงของตนเอง ได้แก่ คันตามผิวหนัง ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นไม่ชัดเจน บวมตามร่างกาย ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตสูง เพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งจากไตสูญเสียหน้าที่
        
        สังเกตอาการบวมตามร่างกายของตนเอง
        
        ดูแลผิวหนังของตนเองให้สะอาดและชุ่มชื้น ไม่แกะ เกาที่ผิวหนัง
        
        กิจกรรมของญาติ
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย ได้แก่ คันตามผิวหนัง ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นไม่ชัดเจน บวมตามร่างกาย ปัสสาวะออกน้อย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตสูง เพื่อประเมินภาวะของเสียคั่งจากไตสูญเสียหน้าที่
        
        1 more item...
- - - - ภาวะเบาหวานทำให้มีสารบางชนิดเพิ่มสูงขึ้นในเลือด สารต่างๆ ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงเสื่อมได้เพิ่มขึ้น
        
        ร่วมกับที่เป็นความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดเกิดการเสียหายและเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง
        
        ปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง อุดตัน และผู้ป่วยมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ คือไขมันในเลือดสูง
        
        เมื่อ LDL-C ลุกล้ำเข้าไปในผนังหลอดเลือดที่ถูกทำลาย ทำให้ monocyte และ T lymphocyte เข้าไปที่ผนังหลอดเลือดที่ถูกทำลาย
        
        monocyte จะเปลี่ยนไปเป็น machrophage และเก็บรักษา Oxidized LDL-C กลายสภาพเป็น Foam cell ที่มีแต่ไขมันเป็นองค์ประกอบ
        
        เมื่อมี Foam cell สะสมมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเกิด Fatty streak และมีการเพิ่มจำนวนของ T lymphocyteและ Foam cell
        
        1 more item...
- - - - BUN สูง เนื่องจากเนื่องจากภาวะไตเสื่อมเฉียบพลันหรือไตเสื่อมเรื้อรังที่เกิดจากการถูกทำลายด้วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงผิดปกติ จึงทำให้ขับทิ้ง Urea Nitrogen ออกทางปัสสาวะไม่ได้หรือไม่หมด จนมีผลต่อเนื่องทำให้คั่งค้างอยู่ในเลือด
        
        Creatinine สูง เนื่องจากภาวะไตเสื่อมเฉียบพลันหรือไตเสื่อมเรื้อรังที่เกิดจากการถูกทำลายด้วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงผิดปกติ จึงทำให้ขับทิ้ง Urea Nitrogen ออกทางปัสสาวะไม่ได้หรือไม่หมด จนมีผลต่อเนื่องทำให้คั่งค้างอยู่ในเลือด