Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคไข้เลือดออก ( Hemorrhagic fever) - Coggle Diagram
โรคไข้เลือดออก ( Hemorrhagic fever)
เกิดจากเชื้อ Dengue virus หรือ Chikungunya virus
มียุงลาย (Aedes aegypti) เป็นพาหะ ยุงที่กัดคนเป็นยุงตัวเมียมักกัดเวลากลางวัน
ยุงกัดคนจะปล่อยเชื้อเข้าไปและเชื้อจะมีระยะฟักตัวในคนประมาณ 5-8 วัน
พยาธิสรีรภาพ
ยุงกัดคนและปล่อยเชื้อไวรัสเข้าไปในผู้ป่วย
เชื้อจะไปแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นในเซลล์โมโน
นิวเคลียร์-มาโครฟาจ
เมื่อเซลล์โมโนนิวเคลียรที่มีเชื้อไวรัสอยู่ตายลง
จะปล่อยสารบางอย่างออกมา
ทำให้ผนังของหลอดเลือดฝอยไม่สามารถเก็บน้ำและโปรตีนไว้ได้ตามปกติ จึงรั่วออกสู่เนื้อเยื่อระหว่างเซลล์และช่องต่างๆ
ทำให้ปริมาณของพลาสม่าที่อยู่ในกระแสเลือดลดลง
เชื้อไวรัสจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเซลล์จะจับกับ แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เกิดเป็นอิมมูนคอมเพล็กซ์เป็นจำนวนมาก
มีการกระตุ้นคอมพลิเมนต์ เป็นผลให้มีการปล่อยสารต่างๆออกมา
เกิดการรั่วของผนังหลอดเลือดฝอยเพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้จำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง และมี
ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
เป็นผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก และมีเลือดออกอย่างมาก
อยู่ในระยะไข้
อาการทางคลินิก
1. Dengue fever
เป็นในผู้ที่ได้รับเชื้อเป็นครั้งแรก ผู้ป่วยจะมีไข้ 5-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจ
มีปวดข้อและมีผื่นขึ้น
2. Dengue hemorrhagic fever
เป็นในผู้ที่ได้รับเชื้อแบบทุติยภูมิ ผู้ป่วยมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้นเป็นแบบ Maculopapular บางรายมีจุดเลือดออกตามแขนขา ต่อมน้าเหลืองโต อ่อนเพลีย และซึม
3. Dengue shock syndrome
เป็นในพวกที่ได้รับเชื้อทุติยภูมิที่มีการช็อคร่วมด้วย ภายหลังมีไข้ 2-3 วัน
ผู้ป่วยจะซึม กระสับกระส่าย ปวดท้องแบบเฉียบพลัน
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1. ระยะไข้สูง
นานประมาณ 3-9 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิน 40-41 องศาเซลเซียส
เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ
ในวันที่ 2-3 เด็กจะซึมลง หน้าแดง ผื่นนูนแดงหรือจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ บางรายมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน
การทำ tourniquet test ให้ผลบวก
รายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena)
คลำตับโตได้ประมาณวันที่ 3-4 นับแต่เริ่มป่วย ในระยะที่ยังมีไข้อยู่ตับจะนุ่มและกดเจ็บ ต่อมาไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ระยะช็อก
2. ระยะช็อกและ/หรือระยะเลือดออก
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง ระยะเวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง
มีภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆกับที่มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่อาการเลวลง
กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาก มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็วPulse pressure แคบจนในที่สุดวัดไม่ได้และความดันเลือดลดลง
มักจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3-6 ของโรคผู้ป่วยจะอาเจียนมากขึ้น ปวดท้อง ซึม
ปัสสาวะน้อย กระสับกระส่ายมากขึ้น มือเท้าเย็น เหงื่อออก บางรายอาเจียนเป็นเลือด
การเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญคือ ระดับHematocrit เพิ่มขึ้นและเกล็ดเลือดลดต่ำลงก่อนไข้ลดลงและก่อนเกิดภาวะช็อค 24 ชั่วโมง
อาจมีอาการ Acidosis และตายในระยะเวลาอันสั้น
3. ระยะฟื้น
พ้นจากระยะช็อก ผู้ป่วยจะกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วใน 2-3 วัน
น้ำและโปรตีนที่รั่วออกไปจะกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น เริ่มอยากรับประทานอาหาร
ทำ Tourniquet test อาจได้ผลบวก
อาการตับโตจะค่อยลดลงเป็นปกติ 1-2 สัปดาห์
อาจเกิดภาวะน้ำเกิน เนื่องจากการดูดกลับของพลาสม่าที่รั่วออกไปนอกหลอดเลือดกลับเข้าสู่หลอดเลือด
การรักษา
1. ระยะไข้สูง
ให้ยาลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) ให้ดื่มน้ำมาก ๆ และในรายที่มี Hct สูง เริ่มให้สารน้ำทาง
หลอดเลือดดำ
2. ระยะช็อก
รายที่ไม่รุนแรง
ให้น้ำและเกลือแร่ทดแทนทางหลอดเลือดดำ ถ้า Hct สูงตลอดเวลาเกิน 24 ชั่วโมง จะให้ Dextran หรือ plasma แทน
รายที่มีอาการช็อก
ให้ 5% D/S solution 10-20 มล./กก./ชั่วโมง จนกว่า V/S ดีขึ้น หลังจากนั้นปรับตาม central venous pressure ถ้า 2 ชั่วโมงแล้วอาการไม่ดีขึ้น ให้ Plasma หรือ Dextran ขนาด 20 มล./กก./ชั่วโมง รายที่ Hct ลดลง แต่อาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้นแสดงว่าเลือดออกภายในมากต้องให้เลือด (Fresh whole blood) ทดแทนรีบด่วน ควรบันทึก I/O อย่างละเอียดและตรวจ Hct ทุก 2-4 ชั่วโมง
3. ระยะฟื้นตัว
น้ำและโปรตีนจะกลับคืนเส้นเลือด ต้องลดอัตราการให้สารน้ำ ถ้าผู้ป่วยมี V/S คงที่และ Hct อยู่ในระดับปกติก็หยุดให้สารน้ำ
การป้องกัน
1. การควบคุมยุงลาย
โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ใช้ยาทำลายลูกน้ำยุงลาย เช่น ทรายอะเบท การฉีดยาฆ่า
ยุงเมื่อมีการระบาด
2. ระวังไม่ให้ยุงลายกัดเด็ก
โดยเฉพาะเวลากลางวัน โดยกางมุ้งหรือทายากันยุง