Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา 74, แนวทางบริหารงาน, 55, 56, 57, 58, 59,…
หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา
หลักการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
ความสำคัญ
1.โรงเรียนเป็นแหล่งคัดเลือกคนให้ชุมชน
2.โรงเรียนเป็นแหล่งพัฒนาคนให้ชุมชน
3.โรงเรียนเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ
4.โรงเรียนเป็นแหล่งถ่ายทอดวัฒนธรรม
5.โรงเรียนเป็นศูนย์อบรมของชุมชน
6.โรงเรียนและชุมชนมีจุดหมายเดียวกันคือพัฒนาคนให้เป็นคนดีสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ความหมาย
เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างโรงเรียนกับชุมชนเพื่อให้โรงเรียนรู้จักชุมชนดีขึ้นในแง่ที่สามารถค้นหาและใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาในเวลาเดียวกัน
จุดมุ่งหมาย
1.เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงดรียนกับชุมชน
2.เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกความเป็นเจ้าของให้แก่ชุมชน
เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน
4.เพื่อฟื้นฟูและรักษาวัฒนธรรมของชุมชน
5.เพื่อเสริมสร้างความกลมกลืนระหว่างบ้านกับโรงเรียน
1.การศึกษาการวิเคราะห์และวิจัยชุมชน
1.รวบรวมข้อมูล
2.วิเคราะห์ชุมชน
3.ดำเนินการ
4.ประเมินผล
2.การฝึกอบรมและการพัฒนา
ต้องยึดหลักการในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ความจริงใจการให้เกียรติซึ่งกันและกันกิจกรรมที่จัดนั้นจะต้องทำให้หลากหลายทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนโดยมีผู้บริหารเป็นผู้นำ
4.เครื่อข่ายการเรียนรู้
4.1ประเภท
วัฒนธรรม
สถานที่
บุคคล
**4.2การบริหารการจัดการ**
วิเคราะห์
สำรวจและรวบรวมข้อมูล
คัดเลือก
บริหารจัดการ
ประเมินผล
3.การให้และการรับบริการของชุมชน
1.ความสำคัญของโรงเรียนประถมศึกษาในชุมชน
2.บทบามของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างความสัมพันธ์กัยชุมชน
3.บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา
4.การใช่ทรัพยากรร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับชุมชน
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการดำเนินงานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544ได้แจกแจงดังนี้
ให้มีแผนพัฒนาสถานศึกษา เพื่อใช้ในการดำเนินการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
เป็นผู้นำในการจัดการทำหลักสูตร โดยร่วมประสานกับบุคลากรทุกฝ่ายเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ตลอดจนสาระตามหลักสูตรของสถานศึกษา
จัดให้มีการประชาสัมพันธ์หลักสูตรสถานศึกษา
4.สนับสนุนการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้
สนับสนุนการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้หลักสูตรของสถานศึกษารวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
จัดให้มีการนิเทศภายในเพื่อนิเทศ กำกับ ติดตามการใช้หลักสูตรอย่างมีระบบของหลักสูตรสถานศึกษา
ศาสตรา สุริยารังสรรค์ (2545, หน้า 44) ได้สรุปบทบาทผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนไว้ว่า
ผู้บริหารโรงเรียนควรมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ตามหน้าที่ในฐานะเป็นหัวหน้าสถานศึกษา โดยเป็นผู้กำหนดแนวทางและรูปแบบของการดำเนินงานและในบางครั้งต้องลงมือปฏิบัติงานด้วยตนเองเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด
อัจฉราวดี บัวเกตุ (2547, หน้า 12) ได้สรุปบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนไว้ ดังนี้
ศึกษาความเข้าใจชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ใช้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับชุมชนให้เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนให้มากที่สุดเพื่อชีวิตที่ดีของเด็กและชุมชน
2.ประชาสัมพันธ์กิจกรรมและการดำเนินงานของโรงเรียนแก่ชุมชน
ประพฤติตนเป็นแบบอย่างของพลเมืองดีตามวิถีทางของประชาธิปไตย มีจริยธรรมและวัฒนธรรมเป็นที่เชื่อถือของชุมชน
ร่วมมือกับชุมชนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์และความก้าวหน้าของชุมชน
ให้การศึกษาแก่ชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน
จำนัน เมืองพระฝางและคณะ ( 2546, หน้า 17) ได้สรุปบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนต่องานความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ไว้ว่า
ผู้บริหารโรงเรียนต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ต้องเข้าเยี่ยมเยียนชุมชน ประชาสัมพันธ์งานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
สำเริง คล้ำจีน (2548, หน้า 24) ได้สรุปบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาไว้ว่า
ผู้บริหารมีบทบาทต่อชุมชนในการให้ความเป็นกันเอง ความเป็นมิตรกับคนในชุมชน เข้าร่วมงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่หมู่บ้านหรือคนในชุมชนได้จัดขึ้น ตื่นตัวในการพัฒนาโรงเรียน รู้จักใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในหมู่บ้านนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนและพยายามให้ชาวบ้านเกิดทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียนและครู
ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (อ้างอิงใน ณรัฐธร ชื่นใจชน และคณะ. 2549, หน้า 10) กล่าวว่า
ความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารผู้บริหารจึงควรมีลักษณะดังนี้คือ
จะต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนว่าเป็นงานสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษา
อุทิศตนทำงานทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการ เป็นคนที่ไวต่อปัญหาและสามารถแก้ไขปัญหาได้ลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว
ทำตนให้เป็นที่รักใคร่นับถือแก่ประชาชน
ต้องค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ทันสมัย และทันต่อเหตุการณ์
เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
พยายามนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะบุคคลในท้องถิ่นย่อมมีความสามารถหลายอย่าง งานใดที่มีผู้เชี่ยวชาญควรมอบหมายให้คนอื่นทำได้
ยึดหลักความเป็นประชาธิปไตยในการทำงาน
กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เกิดจากรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2540(ฉบับที่16 มาตรา 81)
มีทั้งหมด9 หใวด 78 มาตรา
หมวดที่ 1 ทั่วไป
หมวดที่ 2 สิทธิและหน้าที่การศึกษา
หมวดที่ 3 ระบบการศึกษา
หมวดที่ 4 แนวจัดการศึกษา
หมวดที่ 5 การบริหารและจัดการศึกษา
หมวดที่ 6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
หมวดที่ 7 ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
หมวดที่ 8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา
หมวดที่ 9 เทคโนโลยีทางการศึกษา
เหตุผล
ฉบับที่ 1 (2542) เป็นกฏหมายแม่บทในการบริหารและการจัดการการศึกษา
ฉบับที่ 2 (2545) แยกภารกิจเกี่ยวกับงานด้านศิลปะและวัฒนธรรมไปจัดตั้งกระทรวงวัฒนธรรมและประกอบกับสมควรให้มีคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ฉบับที่ 3 (2553) แยกเขตพื้นที่การศึกษาออกเป็นเขตพื้นที่การประถมศึกษาและเขตมัธยมศึกษา
ฉบับที่ 4 (2562) มีการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตรกรรม
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
“เด็กเร่ร่อน” หมายความว่า เด็กที่ไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือมีแต่ไม่เลี้ยงดูหรือไม่สามารถเลี้ยงดูได้ จนเป็นเหตุให้เด็กต้องเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ หรือเด็กที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตเร่ร่อนจนน่าจะเกิดอันตรายต่อสวัสดิภาพของตน
“เด็กกำพร้า” หมายความว่า เด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิต เด็กที่ไม่ปรากฏบิดามารดาหรือไม่สามารถสืบหาบิดามารดาได้
“เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก” หมายความว่า เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือบิดามารดาหย่าร้าง ทิ้งร้าง ถูกคุมขัง หรือแยกกันอยู่และได้รับความลำบาก หรือเด็กที่ต้องรับภาระหน้าที่ในครอบครัวเกินวัยหรือกำลังความสามารถและสติปัญญา หรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
“เด็กพิการ” หมายความว่า เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สมอง สติปัญญา หรือจิตใจ ไม่ว่าความบกพร่องนั้นจะมีมาแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลัง
“เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด” หมายความว่า เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
“นักเรียน” หมายความว่า เด็กซึ่งกำลังรับการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทั้งประเภทสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาหรือเทียบเท่าอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงนั้น
มาตรา ๓๒ เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ ได้แก่
(๑) เด็กเร่ร่อน หรือเด็กกำพร้า
(๒) เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือพลัดหลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง
(๓) เด็กที่ผู้ปกครองไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยเหตุใด ๆ เช่น ถูกจำคุก กักขัง พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง ยากจน เป็นผู้เยาว์ หย่า ถูกทิ้งร้าง เป็นโรคจิตหรือโรคประสาท
(๔) เด็กที่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมหรือประกอบอาชีพไม่เหมาะสมอันอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายหรือจิตใจของเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล
(๕) เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยมิชอบ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ถูกทารุณกรรม หรือตกอยู่ในภาวะอื่นใดอันอาจเป็นเหตุให้เด็กมีความประพฤติเสื่อมเสียในทางศีลธรรมอันดีหรือเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
(๖) เด็กพิการ
(๗) เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก
(๘) เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการสงเคราะห์ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๖
(๑) กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
(๒) จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตหรือรักษาพยาบาลแก่เด็กที่อยู่ในความดูแลของตน จนน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
(๓) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด
มาตรา ๓๐
(๑) เข้าไปในเคหสถาน สถานที่ใด ๆ หรือยานพาหนะใด ๆ ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อตรวจค้น ในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำทารุณกรรมเด็ก มีการกักขังหรือเลี้ยงดูโดยมิชอบ แต่ในกรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการในทันทีเด็กอาจได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ หรือถูกนำพาไปสถานที่อื่นซึ่งยากแก่การติดตามช่วยเหลือ ก็ให้มีอำนาจเข้าไปในเวลาภายหลังพระอาทิตย์ตกได้
(๔) ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ปกครองของเด็ก นายจ้างหรือผู้ประกอบการ เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ที่เด็กทำงานหรือเคยทำงาน อาศัยหรือเคยอาศัยอยู่ เจ้าของหรือผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลสถานศึกษาที่เด็กกำลังศึกษาหรือเคยศึกษา หรือผู้ปกครองสวัสดิภาพ ส่งเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ การศึกษา การทำงาน หรือความประพฤติของเด็กมาให้
(๕) เข้าไปในสถานที่อยู่อาศัยของผู้ปกครอง สถานที่ประกอบการของนายจ้างของเด็ก สถานศึกษาของเด็ก หรือสถานที่ที่เด็กมีความเกี่ยวข้องด้วย ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อสอบถามบุคคลที่อยู่ในที่นั้น ๆ และรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว การเลี้ยงดู อุปนิสัย และความประพฤติของเด็ก
พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการพ.ศ 2551 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ 2556
ฉบับที่ 1 การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากการจัดการการศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไปจึงต้องจัดให้คนพิการมีสิทธิ์และโอกาสได้รับการบริการและความช่วยเหลือทางการศึกษาเป็นตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ
ฉบับที่ 2 ในพรบฉบับที่ 1 ได้บัญญัติให้ครูการศึกษาพิเศษซึ่งทำการสอนคนพิการต้องมีวุฒิทางการศึกษาพิเศษสูงกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป ทำให้ไม่สามารถแต่งตั้งครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีเป็นครูการศึกษาพิเศษได้ มีผลให้ครูการศึกษาพิเศษซึ่งทำการสอนคนพิการมีไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงแก้ไขคำว่าครูการศึกษาพิเศษ ให้มีความหมายให้กว้างขึ้นครอบคลุมครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีรวมทั้งเห็นควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ประเภทความพิการ
บกพร่องทางการมองเห็น
บกพร่องทางการได้ยิน
บกพร่องทางสติปัญญา
บกพร่องทางการเคลื่อนไหว
บกพร่องทางการเรียนรู้
บกพร่องทางการพูด
ออทิสติก
บกพร่องทางพฤติกรรม
พิการซ้อน
หมวด ๑ สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
๑.ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการตลอดชีวิตพร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
๒.เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น
๓.ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล
หมวด 2 การส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ
หมวด 3 กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ
พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ 2545
กำหนดให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในการดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ 7 เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่ 16 เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ
กำหนดให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในการดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปีโดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ 7 เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่ 16 เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ
บุคคลซึ่งมิใช่ผู้ปกครองแต่มีเด็กซึ่งไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาอาศัยอยู่ด้วยมีหน้าที่ต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วแต่กรณีภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่มีเด็กมาอาศัยอยู่
บทกำหนดโทษ
โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6 (ผู้ปกครองไม่ส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา)
โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ผู้ที่กระทำด้วยประการใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรอันเป็นเหตุให้เด็กไม่ได้เรียนในสถานศึกษา
พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยพ.ศ 2551
โดยยึดหลักดังต่อไปนี้
1 การศึกษานอกระบบ
ความเสมอภาคในการเข้าถึงและได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางทั่วถึงเป็นธรรมและมีคุณภาพเหมาะสมกับสภาพชีวิตประชาชน
การกระจายอำนาจแก่สถานศึกษาและการให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้
2 การศึกษาตามอัธยาศัย
การเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจและวิถีชีวิตของผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายทั้งส่วนที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและส่วนที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการเรียนรู้ศึกษา
การจัดกรอบหรือแนวทางการเรียนรู้ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้เรียน
มาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้บริหารการศึกษา/ศึกษานิเทศก์
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ 2542
กำหนดให้มีองค์กรวิชาชีพครูผู้บริหารพัฒนาการศึกษาและผู้บริหารการศึกษา ให้มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
กำหนดให้วิชาชีพทางการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุมประกอบด้วย 1 วิชาชีพครู 2 วิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา 3 วิชาชีพผู้บริหารการศึกษา สีวิชาชีพควบคุมอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง(ศึกษานิเทศก์)
วิชาชีพ
หมายความว่าวิชาชีพทางการศึกษาที่ทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีต่างๆรวมทั้งการรับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาปฐมวัยขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาของรัฐและเอกชน
สถาบัน
หมายความว่า มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบัน บัณฑิตวิทยาลัย คณะ หรือ หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าซึ่งจัดการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาหรือประกาศนียบัตร
ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
หมายความว่า ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพศ 2546
ผู้บริหารสถานศึกษา
หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาอื่นที่จัดการศึกษาปฐมวัยขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน
ผู้บริหารการศึกษา
หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารนอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นที่การศึกษา
บุคลากรทางการศึกษาอื่น
หมายความว่าบุคคลซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนการศึกษา ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหาร การศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ
มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
หมายความว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณภาพที่พึงประสงค์ในการประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องประพฤติปฏิบัติตามประกอบด้วย มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงานและมาตรฐานการปฏิบัติตน
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
จาก มาตราที่ 9 คุรุสภามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1)กำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
(11) ออกข้อบังคับของคุรุสภาว่าด้วย (ฉ) มาตรฐานวิชาชีพ
มาตรา 49 ให้มีข้อบังคับว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ประกอบด้วย
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
มาตรฐานการปฏิบัติงาน
มาตรฐานการปฏิบัติตน
แนวทางบริหารงาน
นางสาวนธิตรา ปิ่ณทะศิริ การบริหารการศึกษา ป.โท แผน ก ห้อง 2 รหัส 64121278032