Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) - Coggle Diagram
มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
Acute leukemia
อาการ
โลหิตจาง
เม็ดเลือดขาวปกติต่ำลง
เกล็ดเลือดต่ำ
ตรวจพบตุ่มตามผิวหนัง
เหงือกบวม
ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลืองโตได้เล็กน้อย
การวินิจฉัย
ตรวจไขกระดูก เพื่อนับจำนวนเซลล์ตัวอ่อน
ตรวจเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด รวมไปถึงค่าทางชีวเคมี
ตรวจค่าการแข็งตัวของเลือด
ตรวจน้ำไขสันหลังในกรณีที่สงสัยภาวะลุกลามเข้าระบบประสาท
การรักษา
ยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจให้ในรูปยาฉีดหรือยากิน
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเซลล์ผู้อื่น (Allogeneic Stem Cell Transplantation)
การเปลี่ยนถ่ายพลาสมาเพื่อลดจำนวนเม็ดเลือดขาวอย่างรวดเร็ว (Leukapheresis)
การให้ยาเคมีบำบัดทางน้ำไขสันหลัง (Intrathecal Chemotherapy)
การฉายแสง (Radiation)
Chronic leukemia
อาการ
เซลล์เม็ดเลือดขาวมีลักษณะเซลล์ใกล้เคียงกับปกติ
ไข้ เหงื่ออกตอนกลางคืน อ่อนเพลีย มีจุดจ้ำเลือด ปวดท้องแน่นท้อง ม้ามโต น้ำหนักลด ผู้ป่วยจะอยู่ได้ 3-5 ปี
ซีด มีเลือดออก คัน มีผื่นขึ้น
การวินิจฉัย
Myeloblast ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไปในกระแสเลือดหรือในไขกระดูก
ตรวจพบ myeloid sarcoma
ตรวจพบ chromosome ที่มีความจำเพาะต่อ AML โดยจะอาจพบ myeloblast ในกระแสเลือดหรือในไขกระดูกตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป
การรักษา
ยาเคมีบำบัด
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Hematopoietic stem cell transplantation)
การพยาบาล
วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงถ้าพบว่า มีไข้38 องศาเซลเซียส ขึ้นไปรีบรายงานแพทย์ทันที
ถ้าพบ gr.1หรือ gr.2รายงานแพทย์ และจัดผู้ป่วยไว้ห้องแยกรวม
ถ้าพบ gr.3 หรือ gr.4 รายงานแพทย์ทันทีและจัดผู้ป่วยไว้ห้องแยกเดี่ยว
ดูแลให้ Stat dose ATB ภายใน 15- 30 นาที
กรณี Febrile neutropenia
Septic work up
ติดตามเฝ้าระวังภาวะ Pre sepsis sign
Aseptic technique สำหรับ Procedure ทั้งหมด
สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อแต่ละระบบ
สวมเครื่องป้องกันร่างกายก่อนเข้าห้องผู้ป่วย
ให้ยาตามแผนการรักษาของแพทย์
พยาบาลที่สัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อไม่ควรเข้าห้องผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
ญาติที่มีโรคติดเชื้องดเยี่ยม หากมีความ จำเป็นต้องเข้าเยี่ยมควรสวมเครื่องป้องกันร่างกาย ที่เหมาะสม
การป้องกันการติดเชื้อเนื่องจากเม็ดเลือดขาวต่ำ
ควรรับประทานอาหารสุก สะอาด สด ใหม่ หลีกเสี่ยงการรับประทานค้างคืน อาหารเก่าที่ไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนนำมารับประทาน
ควรรับประทานอาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ขาว ปลา ถั่ว เป็นตัน เพื่อส่งเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
หลีกเสี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง ผักสด ผลไม้เปลือกบางที่รับประทานทั้งเปลือก ผลไม้ตากแห้ง
ควรล้างมือก่อนและหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง
5.รักษาความสะอาดปากฟัน และทำความสะอาดร่างกาย
การดูแลทวารหนัก ภายหลังการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะทุกครั้ง ควรล้างทำความสะอาดและซับให้แห้ง โดยใช้ทิชชูซับจากบริเวณด้านหน้าไปด้านหลังทางทวารหนัก ไม่ควรเช็ดถูแรงเพราะอาจทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย
ในช่วงที่เม็ดเลือดขาวต่ำ หากต้องออกไปนอกบ้าน ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลที่เจ็บป่วย หรือป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
การป้องกันภาวะเลือดออกง่ายหยุดยากจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
ระมัดระวังการใช้ของมีคม
สวมรองเท้าหุ้มสันเพื่อป้องกันการชน การกระแทก จนทำให้เกิดบาดแผลได
ควรใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มในการทำความสะอาดปากฟัน
ผู้ป่วยชายควรใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้าแทนการใช้มีดโกนหนวด
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก
มะเร็งมัลติเพิล มัยอิโลมา (Multiple Myeloma: MM)
กลไกการเกิด
เซลล์มะเร็งไปแทนที่เซลล์เม็ดเลือดแดงปกติในไขกระดูก และหลั่งสารซึ่งลดการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะซีด
โปรตีนผิดปกติที่เซลล์มะเร็งหลั่งออกมามีพิษต่อไต ทำให้ไตวาย
เซลล์มะเร็งหลั่งสารเพิ่มสลายกระดูกและลดการสร้างกระดูก นอกจากนี้ทำให้มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง
อาการ
ซีด อ่อนเพลีย
เลือดออกผิดปกติ
ปวดกระดูก
กระดูกหักโดยไม่มีสาเหตุที่เหมาะสม
อาการของแคลเซียมในเลือดสูง ได้แก่ ซึม สับสน ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย ฯลฯ
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
การรักษา
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
การให้ยาสเตียรอยด์
การให้ยาปรับระบบอิมมูน
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด
การฉายแสง ในกรณีที่ก้อนพลาสมาไซโตมา (Plasmacytoma) ใหญ่ไปเบียดกดอวัยวะอื่น ๆ หรือมีอาการปวดรุนแรงจากกระดูกหัก
การรักษาแบบประดับประคอง
การล้างไตหรือการให้สารน้ำ
การให้ยารักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ยาแก้อาการปวดกระดูก
การให้เลือดเมื่อเกิดภาวะโลหิตจาง
การพยาบาล
1.กระตุ้นการดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและไตวาย
2.ระมัดระวังอุบัติเหตุ เนื่องจากผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่าย
3.แนะนำการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม เนย เป็นต้น เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงกว่าปกติได้ง่าย
Non-Hodgkin's Lymphoma (NHL)
อาการ
ต่อมน้ำเหลืองโต
ก้อนในอวัยวะนอกต่อมน้ำเหลือง (extranodal mass)
มีไข้ หนาว สั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน คันทั่วร่างกาย
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ
ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อทอนซิลโต
ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)
การวินิจฉัยโรค
1.lymph node biopsy คือ ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีต่อมน้ำเหลืองขนาด > 1.5-2 ซม. ที่ไม่ยุบหายไปหลังได้ยาปฏิชีวนะ 2-3 สัปดาห์
การตรวจไขกระดูก เพื่อประเมินว่ามีการกระจายเข้าไปในไขกระดูกหรือไม่
เอกชเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การตรวจกระดูก (Bone scan)
การตรวจ PET scan
การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยาเคมีบำบัด
การให้ยาเคมีบำบัดเพื่อหวังผลในการทำลายเชลล์มะเร็งร่างกาย
รังสีรักษา ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะแรกๆ
การปลูกถ่ายเชลล์ต้นกำเนิด (Hematopoietic stem cell transplantation)
การพยาบาล
รับประทานอาหาร ควรเลือกรับประทานอาหารที่สุก สะอาด
ควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง และล้างมือก่อนและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
การออกกำลังกาย ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายที่ไม่ใช้แรงมาก และไม่ต้องออกแรงปะทะ สามารถออกกำลังกายได้แต่ไม่ควรหักโหม
ควรรักษาความสะอาด โดยการอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง
ควรรักษาความสะอาดในช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ แปรงฟันด้วยแปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม และแปรงเบาๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
การดูแลบริเวณทวารหนัก ควรล้างทำความสะอาดหลังการขับถ่ายทุกครั้ง
ควรพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพราะการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยเพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การผ่อนคลายความเครียด
9.ผู้ป่วยอาจมีภาวะโลหิตจางซึ่งจะทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ทำให้มีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ แนะนำให้ผู้ป่วยรับธาตุเหล็กสูงร่วมกับผัก ผลไม้ที่มีวิตามินชีสูง
หากมีอาการผิดปกติควรมาพบแพทย์ก่อนเวลานัดหมาย เช่น ไข้สูงมากกว่า 38.5C
10.ผู้ป่วยอาจมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วยซึ่งจะทำให้มีภาวะเลือดออกง่ายดังนั้นจึงควรระมัดระวังอุบัติเทตุที่อาจเกิดขึ้น หากสังเกตพบจุดเลือดออกใต้ผิวหนังมาก หรือมีเลือดออกตามไรฟัน ให้มาพบแพทย์ก่อนนัด
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
สาเหตุ
สร้างเกล็ดเลือด เป็นผลมาจากไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดได้ไม่เพียงพอ
การทำลายเกร็ดเลือด จากภูมิต้านทานตนเอง ยาควินิน การติดเชื้อไวรัส การได้รับป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
การรักษา
การรักษาด้วยยา
การห้ามเลือดและให้เลือด/เกล็ดเลือดทดแทน
การผ่าตัดม้าม มักผ่าตัดให้ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไอทีพี (Immune thrombocytopenia)
Snake bite
อาการ
ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มาก ได้แก่ งูแมวเซา หรืออาการระยะแรกของงูเห่าและงูจงอาง ในกรณีที่พบมีเลือดออกจากรอยเขี้ยวให้คิดถึงงูแมวเซา
มีอาการเลือดออกผิดปรกติ ได้แก่ เลือดออกจากแผลรอยกัดมาก, มีจ้ำเลือดบริเวณแผล, เลือดออกตามไรฟัน, จุดเลือดตามตัว, ปัสสาวะเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด
ในกรณีงูแมวเซาซึ่งเป็น viper จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อตามตัวได้มาก มีอาการและอาการแสดงของภาวะ DIC และมีอาการของภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
ในกรณีของงูกะปะและงูเขียวหางไหม้ อาการเลือดออกผิดปรกติมักไม่รุนแรง แต่อาการที่บริเวณแผลงูกัดจะรุนแรง
กรณีสงสัยงูพิษต่อระบบเลือด
การตรวจ Complete Blood count จะพบว่าปริมาณเกล็ดเลือดลดลง
การตรวจ Prothrombin time (PT), partial prothromboplastin time (PPT), Thrombin time (TT) จะมีค่านานผิดปรกติ
การรักษาทั่วไป
รักษาภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะช็อค anaphylactic shock การหยุดหายใจ
ปลอบใจและให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย
หยุดการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะบริเวณที่ถูกกัด ในกรณีที่มีอาการบวมมาก ให้ยกบริเวณนั้นสูง
ให้ยาแก้ปวด แอเคตามิโนเฟน ไม่ให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแก่ผู้ที่ถูกงูพิษต่อระบบประสาทกัด และไม่ให้ แอสไพรินในผู้ป่วยที่ถูกงูพิษต่อระบบเลือดกัด
ให้ยาต้านจุลชีพในกรณีถูกงูเห่าและงูจงอางกัด ใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อทั้งแกรมบวก แกรมลบเละเชื้อไม่พึ่งอากาศ
ควรให้ยากันบาดทะยัก ในกรณีงูพิษต่อระบบเลือดควรให้หลังจากอาการเลือดออกผิดปรกติดีขึ้น
การให้เซรุ่ม
งูแมวเซา VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 60 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูกะปะ VCT>20 นาที ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
งูเขียวหางไหม้ ให้เซรุ่ม 50 มล. ให้ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง จนกว่า VCT ลดลงต่ำกว่า 30 นาที
การป้องกันปฏิกิริยาของเซรุ่ม
ต้องเตรียมยาแก้แพ้เซรุ่มแก้พิษงูไว้ก่อนเสมอ โดยใช้ adrenalin 1:1,000 ขนาด 0.5 มล.สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 0.01 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. สำหรับเด็ก ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือเข้ากล้ามเนื้อ
ภาวะลิ่มเลือดแพร่กระจายในหลอดเลือด(Disseminated intravascular coagulation: DIC)
พยาธิสภาพ
DIC เป็นภาวะที่เกิดจากการกระตุ้นระบบการแข็งตัวของเลือดมากผิดปกติจนทําให้เกิด thrombin จํานวนมากและ thrombin เหล่านี้ได้ไปกระตุ้น fibrinogen รวมถึง factor V, factor VIII และเกล็ดเลือด ทําให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดเล็ก ร่วมกับมีการกระตุ้นระบบ fibrinolysis ทําให้มี การทําลายปัจจัยการแข็งตัวของเลือดและเกล็ดเลือด (consumptive coagulopathy) จนเกิดภาวะ เลือดออก
การรักษา
รักษาและกําจัดสาเหตุโรคหรือตัวกระตุ้นที่เป็นสาเหตุของภาวะ DIC ออกโดยรวดเร็ว มิฉะนั้นภาวะ DIC จะไม่หายโดย ถ้ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดก็ต้องเริ่มให้ยาปฏิชีวนะอย่างเต็มที่ และถูกต้อง
การดูแลรักษาประคับประคองทั่วไปในระหว่างที่กําลังรักษาหรือขจัดโรคหรือตัวกระตุ้นออก ภาวะ DIC มักจะมีภาวะพร่องออกซิเจน ภาวะความดันเลือดตํ่า ภาวะกรดเกินและซีดร่วมด้วย โดย ต้องแก้ไขภาวะเหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน
การรักษาเฉพาะ ให้เกล็ดเลือด FFP และ cryoprecipitate เพื่อชดเชยเกล็ดเลือดและปัจจัยการ แข็งตัวของเลือดที่ตํ่า
4.ผู้ป่วยที่มีอาการหรืออาการแสดงของภาวะลิ่มเลือดอุดกั้น เช่น renal vein thrombosis, gangrene, purpura fulminans อาจพิจารณาให้ heparin หรือ low molecular weight heparin อย่างไรก็ตามควรเฝ้าระวังภาวะเลือดออกมากหลังได้รับยา
การพยาบาลผู้ป่วย DIC
หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิด Increase intracranial pressure
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อหน้าที่ของเกร็ดเลือด
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเข้ากล้ามเนื้อและ rectral
Suction โดยใช้ Low pressure
สังเกต Clot รอบ IV site และ Injections sites
Patient and family support