Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 7 นโยบายกฎหมาย แผนผู้สูงอายุแห่งชาติและจริยธรรมในการดูแลผู้สูงอาย…
หน่วยที่ 7 นโยบายกฎหมาย แผนผู้สูงอายุแห่งชาติและจริยธรรมในการดูแลผู้สูงอายุ
1. เส้นทางนโยบาย กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุไทย
ภาพลักษณ์ผู้สูงอายุไทย ที่พึงปรารถนาในทศวรรษหน้า
มีสุขภาพกายและจิตที่ดี
อยู่ในครอบครัวอย่างมีความสุข
มีสังคมที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
พึ่งตนเองได้ มีประโยชน์เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของครอบครัวและสังคมและมีศักดิ์ศรี
มีหลักประกันมั่นคงได้รับสวัสดิการและบริการที่เหมาะสม
มีความรู้และมีโอกาสได้เรียนรู้ตลอดชีวิต
มาตรการด้านสุขภาพ
ต้องเน้นบริการที่เข้าถึงตัวผู้สูงอายุในเชิงรุก การบริการระดับชุมชน และการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน (Community base Care, Home Care) แบบบูรณาการและสหสาขา โดยชุมชนมีส่วนร่วมเป็นสําคัญ ทั้งอาสาสมัคร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นและองค์กรทางศาสนา (วัด) โดยคํานึงถึงหลักการเข้าถึง (accessibility) และราคาไม่แพง
1.1 เส้นทาง (timeline) ของนโยบาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุไทย
➪ พ.ศ. 2525
จัดตั้งคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก
จัดทําแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2525 - 2544)
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ วันที่ 13 เมษายน ของทุกปีเป็นวัน “ผู้สูงอายุแห่งชาติ”
2) แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2525 - 2544) ในการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ ในประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดทําแผนผู้สูงอายุฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2525 - 2544) ประกอบด้วยการดําเนินงานใน 5 ด้าน
1) ด้านสุขภาพอนามัย
2) ด้านความ มั่นคงทางรายได้และการทํางาน
3) ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม
4) ด้านสวัสดิการ สังคม
5) ด้านวิจัยและพัฒนา
➪ พ.ศ. 2540
ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งมีมาตราที่เกี่ยวข้อง กับผู้สูงอายุ 2 มาตรา คือ หมวดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทย 2 มาตรา ดังนี้ มาตราที่ 54 บัญญัติว่า “บุคคล ซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่มีรายได้ เพียงพอแก่การยังชีพมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ มาตราที่ 80 วรรค 2 “รัฐต้องสงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้”
➪ พ.ศ. 2541
มีการรับรอง ปฏิญญามาเก๊า โดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมภูมิภาคเอเชีย
และแปซิฟิค-องค์การสหประชาชาติ และจัดทําแผนปฏิบัติการเรื่องผู้สูงอายุในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค
➪ พ.ศ. 2542
เกิด “คณะกรรมการส่งเสริมและ ประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ” เรียกโดยย่อว่า “กสผ.” ภายใต้สํานักนายกรัฐมนตรี
สภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยได้เสนอให้รัฐบาลจัดทํา “ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย” เพื่อเป็นพันธกรณี ที่มุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการคุ้มครองและ พิทักษ์สิทธิ์ และถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สูงอายุ
➪ พ.ศ. 2545
ได้มีการจัดทําแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545 - 2564) ซึ่งเป็นแผนที่ทุก กระทรวง ทบวง กรม ถือปฏิบัติ ในขณะนี้
➪ พ.ศ. 2546
ได้มีการจัดทําและประกาศใช้ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546
➪ พ.ศ. 2550
มาตราที่ 53 บัญญัติว่า “บุคคล ซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ และไม่มีรายได้เพียงพอ แก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับสวัสดิการ สิ่งอํานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่าง สมศักดิ์ศรี และความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ
มาตราที่ 80 วรรค 2 “รัฐต้อง คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาปฐมวัย ส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย เสริมสร้างและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของ สถาบันครอบครัวและชุมชน รวมทั้งต้องสงเคราะห์และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพึ่งพาตนเองได้”
2. กฎหมาย นโยบายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้สูงอายุไทย
กฎหมาย หมายถึง กฎแห่งความประพฤติของมนุษย์ในสังคม ซึ่งทําหน้าที่ควบคุมความประพฤติ ของมนุษย์ และบรรทัดฐานความประพฤติ สําหรับมนุษย์รุ่นต่อ ๆ ไปในอันที่จะต้องปฏิบัติตาม
1) ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย
ข้อที่ 1
ผู้สูงอายุต้องได้รับปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ได้รับการพิทักษ์และ คุ้มครองให้พ้นจากการถูกทอดทิ้ง และละเมิดสิทธิโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ สามารถพึ่งตนเองได้ และผู้พิการที่สูงอายุ
ข้อที่ 2
ผู้สูงอายุควรอยู่กับครอบครัวโดยได้รับความเคารพรัก ความเข้าใจ ความเอื้ออาทร การดูแลเอาใจ ใส่ การยอมรับ บทบาทของกันและกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีในการ อยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ข้อที่ 3
ผู้สูงอายุควรได้รับโอกาสในการศึกษาเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง เข้าถึง ข้อมูลข่าวสารและ บริการทางสังคมอันเป็นประโยชน์ในการดํารงชีวิต เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคม รอบด้าน เพื่อสามารถ ปรับบทบาทของตนให้สมวัย
ข้อที่ 4
ผู้สูงอายุควรได้ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ให้สังคม มีโอกาสได้ทํางานที่เหมาะสมกับวัยและตาม ความสมัครใจ โดยได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเห็นชีวิตมีคุณค่า
ข้อที่ 5
ผู้สูงอายุควรได้เรียนรู้ในการดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง ต้องมีหลักประกันและสามารถเข้าถึง บริการด้าน สุขภาพอนามัยอย่างครบวงจรโดยเท่าเทียมกัน รวมทั้งได้รับการดูแลจนถึงวาระสุดท้ายของ ชีวิตอย่างสงบ ตามคตินิยม
ข้อที่ 6
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่พึ่งพาตนเองได้ สามารถช่วยเหลือครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วมในสังคม เป็น แหล่งภูมิปัญญาของคนรุ่นหลัง มีการเข้าสังคม มีนันทนาการที่ดี และมีเครือข่ายช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชน
ข้อที่ 7
รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน สถาบันสังคมต้องกําหนดนโยบาย และ แผนหลักด้านผู้สูงอายุส่งเสริมและประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องให้บรรลุผลตามเป้าหมาย
ข้อที่ 8
รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน สถาบันสังคมต้องตรากฎหมายว่าด้วย ผู้สูงอายุ เพื่อเป็นหลักประกันและการบังคับใช้ในการพิทักษ์สิทธิ คุ้มครองสวัสดิภาพ และจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ
ข้อที่ 9
รัฐโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ประชาชน สถาบันสังคมต้องรณรงค์ปลูกฝัง ค่านิยม ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุตามวัฒนธรรมไทยที่เน้นความกตัญญูกตเวทีและเอื้ออาทรต่อกัน
2) พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546
สาระสําคัญ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 บุคคลผู้มีสิทธิ ใน พระราชบัญญัติฉบับนี้ กําหนดให้บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปและมีสัญชาติไทยถือเป็น ผู้สูงอายุ (มาตรา 3) จะเห็นได้ว่า ผู้สูงอายุตามความหมายในพระราชบัญญัตินี้พิจารณาจากอายุเป็น เกณฑ์สําคัญ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งบัญญัติ ว่า “บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ จากรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และตามมาตรา 80 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทยซึ่งวางแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐว่า รัฐต้องสงเคราะห์คนชรา ในพระราชบัญญัติฉบับนี้เลือกใช้คํา ว่า “ผู้สูงอายุ” โดยไม่ใช้คําว่า “คนชรา” เหตุผลตามบันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุว่า “สําหรับเหตุผลที่ใช้คําว่า “ผู้สูงอายุ” โดยไม่ใช้คําว่า “คนชรา” นั้น เนื่องจาก ในทางการแพทย์ถือว่าความชราภาพอาจเกิดขึ้นในบุคคลที่มีอายุน้อยหรือบุคคลที่มีอายุยังไม่ถึงหกสิบปีก็ ได้ ดังนั้น จึงใช้คําว่า “ผู้สูงอายุ” โดยถืออายุเป็นเกณฑ์จะมีความชัดเจนและเหมาะสมกว่า
3) แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2525 - 2544
“แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 1 มองว่าผู้สูงอายุ เป็นบุคคลที่ได้ทําคุณประโยชน์ต่อสังคมและสมควรได้รับการตอบแทน”
4) แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545 – พ.ศ.2564
ยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ที่ถูกกําหนดขึ้นมีลักษณะบูรณาการและครอบคลุมในทุกมิติ มุ่งหวังให้ ประชากรทุกคนเตรียมการเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี พึ่งตนเองได้ มี คุณภาพชีวิตและมีหลักประกันที่ครอบคลุมในวัยสูงอายุ ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ 19 มาตรการ 57 ดัชนีชี้วัด และดัชนีรวมของแผน 3 ดัชนี ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ
มาตรการ 1 หลักประกันด้านรายได้เพื่อวัยสูงอายุ
มาตรการ 2 การให้การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
มาตรการ 3 การปลุกจิตสํานึกให้คนในสังคมตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมผู้สูงอายุ
มาตรการ 1 ส่งเสริมความรู้ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ดูแลตนเองเบื้องต้น
มาตรการ 2 จัดบริการให้คําปรึกษาทั่วไปในสถานบริการทางสุขภาพของรัฐและเอกชน
มาตรการ 4 ส่งเสริมด้านการทํางานและการหารายได้ของผู้สูงอายุ
มาตรการ 5 สนับสนุนผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ
มาตรการ 6 ส่งเสริมสนับสนุนสื่อทุกประเภทให้มีรายการเพื่อผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุ ได้รับความรู้และความสามารถเข้าถึงข่าวสารและสื่อ
มาตรการ 7 มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมและปลอดภัย
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยุทธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสําหรับผู้สูงอายุ
มาตรการ 1 คุ้มครองด้านรายได้
มาตรการ 2 หลักประกันสุขภาพ
มาตรการ 3 ด้านครอบครัวผู้ดูแลและการคุ้มครอง
มาตรการ 4 ระบบบริการและเครือข่าย
ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ และการ พัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ โดยมีมาตรการดําเนินการ
มาตรการ 1 การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ
มาตรการ 2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตหรือฝึกอบรมบุคลากรด้านผู้สูงอายุ
ยุทธศาสตร์ที่ 5 ยุทธศาสตร์ด้านการประมวล และพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และการติดตาม ประเมินผล การดําเนินการตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยมีมาตรการดําเนินการ
มาตรการ 1 สนับสนุนและส่งเสริมให้หน่วยงานวิจัยดําเนินการประมวลและพัฒนาองค์ความรู้ ด้านผู้สูงอายุที่จําเป็นสําหรับการกําหนดนโยบาย และการพัฒนาการบริการหรือการดําเนินการที่ เป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ
มาตรการ 2 สนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาวิจัยด้านผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อการ กําหนดนโยบาย การพัฒนาการบริการ การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่าง เหมาะสม
มาตรการ 3 ดําเนินการให้มีการติดตามประเมินผลการดําเนินการตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติที่มี มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง
มาตรการ 4 พัฒนาระบบข้อมูล
ทางด้านผู้สูงอายุให้เป็นระบบและทันสมัย
5) แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2
พ.ศ. 2545 - 2564
ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ.2552
เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการดํารงชีวิตอย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีพึ่งตนเองได้ และมีหลักประกันที่มั่นคง
เพื่อสร้างจิตสํานึกให้สังคมไทยตระหนักถึงผู้สูงอยุในฐานะบุคคลที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม และ ส่งเสริมให้คงคุณค่าไว้ให้นานที่สุด
เพื่อให้ประชากรทุกคนตระหนักถึงความสําคัญของการเตรียมการ และมีการเตรียมความพร้อม เพื่อการเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ
เพื่อให้ประชาชน ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น องค์กรภาครัฐ และเอกชน ตระหนักและมีส่วน ร่วมในภารกิจด้านผู้สูงอายุ
เพื่อให้มีกรอบและแนวทางการปฏิบัติงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุสําหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อัน จะนําไปสู่การบูรณาการงานด้านผู้สูงอายุ
6) สิทธิของผู้สูงอายุตามหลักการขององค์การสหประชาชาติ
6.1) การมีอิสระภาพในการพึ่งตนเอง
6.2) การมีส่วนร่วม
6.3) การอุปการะเลี้ยงดู
6.4) การบรรลุความต้องการ
6.5) ความมีศักดิ์ศรี
3. กฎหมาย นโยบายอื่นๆ ของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมของประชากรในการ เข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ
1) นโยบาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหลักประกันด้านสุขภาพและหลักประกันด้าน รายได้
1.1) ปี พ.ศ. 2471 พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471
1.2) ปี พ.ศ. 2530 พระราชบัญญัติกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
1.3) ปี พ.ศ.2533 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533
1.4) ปี พ.ศ.2539 พระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
1.5) ปี พ.ศ.2554 พระราชบัญญัติการออมแห่งชาติ (กอช.) พ.ศ. 2554
1.6) ปี พ.ศ. 2544 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund ; RMF) (สํานักงาน ก.ล.ต.2557)
1.7) ปี พ.ศ.2547 กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) (ตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2557)
4. ปัญหาจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลผู้สูงอายุ
การพยาบาลและองค์ประกอบทางจริยธรรมในการช่วยเหลือผู้สูงอายุ
1) ให้ความเคารพยกย่อง คํานึงถึงคุณค่าของความสูงอายุที่สั่งสมความรู้ความสามารถ และ ประสบการณ์มายาวนาน
2) ยอมรับความสูงอายุว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวงจรชีวิตมนุษย์ ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
3) ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ คงความสามารถในการทําหน้าที่ของร่างกายและดูแลตนเอง ยอมรับ ความคิดเห็น ความต้องการของผู้สูงอายุ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาตนเอง
4) ปฏิบัติการพยาบาลต่อผู้สูงอายุอย่างเท่าเทียมกับบุคคลในวัยอื่น ๆ
5) ปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลัก เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
6) ศึกษาหาความรู้ และติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการ เพื่อให้มีความรู้ในการดูแลและให้ คําแนะนําผู้สูงอายุ
7) รักและศรัทธาในวิชาชีพ เห็นคุณค่าของวิชาชีพว่าเป็นวิชาชีพที่มีประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อพยาบาลจะได้มีอารมณ์ที่มั่นคงเมื่อต้องพบกับปัญหาจากผู้สูงอายุ ญาติหรือเพื่อนร่วมงาน
ประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ
4.1 พินัยกรรม
1) พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ผู้ทําพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือตนเองทั้งฉบับ ไม่ต้องมีพยานรับรอง
2) พินัยกรรมแบบธรรมดา ต้องทําเป็นหนังสือ มีการลงลายมือผู้ทําพินัยกรรม พยาน 2 คน
3) พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง ผู้ทําพินัยกรรมต้องไปทําที่อําเภอแจ้งความประสงค์ว่าตนต้องการทําพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินให้แก่ใคร
4) พินัยกรรมแบบเอกสารลับ ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรมบรรจุไว้ในซองและคาบรอยผนึกบนซอง และเก็บเอกสารไว้ที่อําเภอ
5) พินัยกรรมแบบวาจา มักทําเมื่อไม่สามารถทําพินัยกรรมแบบอื่นได้ มีพยาน 2 คน และพยานแจ้งความประสงค์ของผู้ทําพินัยกรรมต่อนายอําเภอ
พินัยกรรมชีวิต (Living wil) คือ เอกสารที่จัดทําขึ้นเพื่อแสดงเจตจํานงว่าเมื่ออยู่ในสภาพที่ ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เช่น ในสภาวะเจ็บป่วยหนักไม่รู้สึกตัวและใกล้ตาย ว่าจะเลือกให้การ ดําเนินการรักษาในระยะสุดท้ายของชีวิตอย่างไร
4.2 การพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (End of Life care)
พยาบาลมีบทบาทสําคัญในการประเมินความพร้อมในการ รับรู้ความพร้อมที่จะตาย ผู้สูงอายุอาจพร้อมหรือไม่พร้อมที่จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต หากยังไม่พร้อมต้องมีเทคนิคในการ สนทนาอย่างรอบคอบในการบอกข้อมูลแก่ผู้ป่วยสูงอายุ การแนะนําให้เตรียมทําพินัยกรรม บางกรณี ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยถึงระยะสุดท้ายของชีวิตบางรายไม่กลัวที่จะต้องตาย แต่ต้องการจากโลกนี้ไปอย่าง อบอุ่นท่ามกลางคนที่ตนรัก ได้รับการดูแลรักษาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทรมานอย่างเต็มที่ ได้ประกอบ พิธีทางศาสนาตามความเชื่อของตน หากพยาบาลไม่เข้าใจมุ่งจะรักษาโรคเพียงอย่างเดียว อาจทําให้ละเลยความต้องการของผู้ป่วยซึ่งเป็นสิทธิการตายซึ่งผู้ป่วยควรได้รับ และผู้สูงอายุต้องจากโลกนี้ไปอย่าง ว้าเหว่ โดดเดี่ยว กลัว ญาติไม่ได้ให้การดูแลตอบแทนบุญคุณในวาระสุดท้ายของชีวิต
4.3 เมตตามรณะ (Euthanasia)
หมายถึง การให้ผู้ป่วยที่สิ้นหวังที่ทนทุกข์ทรมานจากโรคที่ รักษาไม่หายได้ตายลงโดยไม่เจ็บปวด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
Active Euthanasia
คือ การที่แพทย์ฉีดยา ให้ยา หรือกระทําโดยวิธีการอื่นๆ ที่ทําให้ผู้ป่วย ตายโดยตรง มีในเนเธอร์แลนด์ประเทศเดียว
Passive Euthanasia
คือ การที่แพทย์ปล่อยให้ผู้ป่วยที่สิ้นหวังตายโดยไม่ให้การรักษา มีใน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรีย แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน อิสราเอง และ เยอรมัน
4.4 การทําทารุณกรรมในผู้สูงอายุ (Elderly Abuse)
คําว่า abuse ได้มีการเปลี่ยนเป็นภาษาไทยอยู่หลายคํา เช่น ทารุณกรรรม การละเมิด และความรุนแรง ในที่นี้จะขอใช้คําว่า “ทารุณกรรม” เนื่องจากเป็นที่นิยม ใช้ในเอกสารวิชาการทั่วไป
สาเหตุของการทารุณกรรม
แบ่งออกได้ 2 สถานที่ใหญ่ คือ
การทารุณกรรมในบ้านและ การทารุณกรรมในสถานบริการ
ปัจจัยเสี่ยงทําให้เกิดการทารุณกรรมในผู้สูงอายุ
แบ่งออกเป็น ตัวผู้สูงอายุ ผู้ดูแล และ สิ่งแวดล้อม
ประเภทของการทารุณกรรม
1) การทารุณกรรมทางร่างกาย (physical abuse)
2) การทารุณกรรมทางเพศ (Sexual abuse)
3) การทารุณกรรมทางด้านจิตใจ (Emotional abuse/psychological abuse)
การทอดทิ้ง (Neglect)
การละทิ้ง (Abandonment)
การแสวงหาผลประโยชน์ทางด้านการเงิน (Financial exploitation)
การประเมินภาวะทารุณกรรม
1) มีใครทําให้คุณได้รับบาทเจ็บไหม ?
2) มีใครบางคนทํากับคุณใช่ไหม ?
3) มีใครเคยแตะต้องคุณโดยไม่ยินยอมไหม ?
4) มีใครเคย ตวาดคุณหรือคุกคามคุณไหม ?
5) ใครดูแลคุณที่บ้าน ?
6) คุณกลัวผู้ดูแลคุณไหม ?
คําถามเพื่อระบุแนวโน้มการละเลยไม่เอาใจใส่และการทารุณกรรมทางการเงิน
1) คุณพึงพอใจกับสถานการณ์ความเป็นอยู่ไหม ?
2) ชีวิตของคุณในแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้าง ?
3) มีใครที่ช่วยคุณ อาบน้ำ และทานอาหาร ?
4) มีใครบ้างที่ไม่ยอมให้อาหารหรือไม่ยอมให้ยาคุณรับประทาน ?
5) มีอะไรเกิดขึ้นบ้างหากคุณและผู้ดูแลมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ?
6) คุณรู้สึกปลอดภัยในสถานที่อยู่อาศัยในปัจจุบันไหม ?
7) คุณเคยถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเป็นระยะเวลานานๆ ไหม ?
8) ใครจัดการเรื่องการเงินให้คุณ ?
9) มีใครที่เอาทรัพย์สินหรือเงินของคุณไปโดยไม่ได้รับอนุญาตบ้าง ?
คําถามผู้ป่วยและผู้ดูแลแต่ละคนเพื่อประเมินการได้รับบาดเจ็บ
1) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ?
2) เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
3) คุณได้รับบาดเจ็บมานานเท่าไรและไปรับการรักษาหรือไม่ ?
4) เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยมากน้อยแค่ไหน ?
การป้องกันการทารุณกรรม
1 การป้องกันการทารุณกรรมตามแนวคิดของ Bunmhover and Beau (1996) แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
1) การป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) มุ่งเป้าหมายไปที่ประชาชน ทั่วไป โดยประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องการทารุณกรรม สร้างความตระหนักสังคม และการรณรงค์ทางสื่อ เพื่อให้ประชาชนรู้วิธีและสถานที่ที่สามารถรายงานหากสงสัยว่ามีการทารุณกรรมเกิดขึ้น
2) การป้องกัน ทุติยภูมิ (secondary prevention) ให้บริการแก่ครอบครัวหรือบุคคลที่มีภาวะเสี่ยงสูงในการทารุณ กรรม โดยให้โปรแกรมการให้ความรู้ การทํากลุ่มสนับสนุน และแหล่งประโยชน์
สรุป : นโยบาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในประเทศไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 และมีการ พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการสิทธิและสวัสดิการที่ดี ได้แก่ ปฏิญญาผู้สูงอายุไทย แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 1 , ฉบับที่ 2 , พระราชบัญญัติผู้สูงอายุแห่งชาติ พ.ศ. 2546 , รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 นอกจากนั้นยังมีพัฒนาการทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนที่ กําลังจะเข้าสู่วัยสูงอายุได้มีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่ พรบ.ข้าราชการพลเรือน พรบ. ประกันสังคม แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ การมีความเข้าใจในนโยบาย กฎหมายของ ประเทศ ช่วยให้พยาบาลสามารถให้คําแนะนํากับผู้สูงอายุเพื่อให้เข้าถึงสวัสดิการได้อย่างเหมาะสม
นางสาวหงส์สุดา นพรัตน์ 621201176 ชั้นปีที่ 3