Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การรักษาโรคเบื้องต้น, นางสาวจีรกานต์ ทุยหล่อน Sec.2 รหัสนักศึกษา61101614 -…
การรักษาโรคเบื้องต้น
กระดูกหัก (Bone Fracture)
กระดูกหัก (Fracture) คือ ภาวะที่กระดูกได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ส่งผลให้กระดูกไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้และเกิดการหักขึ้น โดยการหักอาจเป็นเพียงรอยร้าว (crack) หรือหักเคลื่อนออกจากกัน(displacement) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุ
**สาเหตุของกระดูกหัก
1.เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุจราจร รถชน ถูกตีหรือได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง
2.pathological fracture เช่น osteoporosis,primary bone tumor,metastatic bone tumor,osteomyelitis
อาการและอาการแสดง
1.เจ็บปวด บวมบริเวณที่มีกระดูกหัก
2.สีของผิวหนัง รูปร่างของอวัยวะนั้นๆมีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
3.ไม่สามรถเคลื่อนไหวบริเวณนั้นได้
ตรวจร่างกาย
ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิต และความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (O2 saturation) เพื่อประเมินภาวะช็อกจากการเสียเลือด
-ดู: อาการบวมบริเวณกระดูกที่ได้รับบาดเจ็บ
-คลำ: จับกระดูกอาจได้ยินเสียงกระดูกหักเสียดสีกันกรอบแกรบ
-ขยับ: ประเมิน ROMของผู้ป่วยเนื่องจากผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกหักจะเคลื่อนไหวข้อได้น้อย
-วัด: กรณีที่เป็นกระดูกหักแบบปิด รยางค์ที่หักจะสั้นกว่าข้างที่ปกติ
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: การทำ MRI หรือ X-Ray เพื่อดูตำแหน่งที่หัก และประเภทของการหัก
การรักษาโรคเบื้องต้นของกระดูกหัก
-ห้ามดึงข้อหรือจัดกระดูกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง
-หากจ าเป็นต้องถอดเสื้อผ้า ควรใช้กรรไกรตัดตามตะเข็บผ้า
-ใช้วัสดุที่พอหาได้หรือดามเฝือกชั่วคราว เพื่อให้บริเวณที่บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ ในท่าที่สบาย
-ห้ามเลือดผู้ป่วย โดยใช้ผ้าขนหนูแห้งสะอาดวางปิดแผล หากเลือดยังไม่หยุดไหล ให้กดห้ามเลือดไปตรงบริเวณที่เลือดไหลออกมา
-ประคบบริเวณที่บาดเจ็บด้วยความเย็น และยกอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บให้สูง เพื่อลดอาการปวดบวม
-ทำความสะอาดแผล โดยใช้หลัก sterile technique ในกรณีที่เข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนผิวหนังเปิดออกและมีอุปกรณ์การแพทย์ไม่เพียงพอ ควรรินน้ าสะอาดล้างแผลและปิดแผลด้วยผ้าสะอาดให้เรียบร้อย
-ประเมินการไหลเวียนเลือดของผู้ป่วย โดยกดเบาๆเหนือบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
-ส่งต่อโรงพยาบาลโดยเร็ว
-การใส่เฝือกชั่วคราว
ข้อเคล็ด/ข้อแพลง (Sprain)
หมายถึง ข้อต่อมีการเคลื่อนตัวมากเกินไปทำให้เนื้ออ่อนๆที่อยู่รอบข้อต่อ เช่นเยื่อเอ็นหุ้มข้อหรือกล้ามเนื้อรอบๆมีการฉีดขาด มักได้พบเสมอทุกข้อต่อแต่ที่พบบ่อยคือข้อเท้า
มักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น เดินข้อพลิก
ข้อบิดหรือสะดุด หกล้ม เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง สามารถให้การดูแลรักษาด้วยตนเอง
สาเหตุของข้อเคล็ด
การหกล้ม ข้อบิด ถูกกระแทก ตกจากที่สูงหรือการยกของหนักอาจทำให้เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อที่ยึดอยู่รอบๆ ข้อต่อฉีกขาด นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น เช่น การเล่นกีฬา/การออกกำลังกายหรือน้ำหนักเกิน
การสวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ไม่เหมาะสม
อาการ/อาการแสดง
-เจ็บปวดบริเวณข้อเท้าที่แพลง ข้อเท้าบวม
-บริเวณข้อเท้าแพลงมีรอยช้ำเลือดหรือผิวหนังบริเวณนั้นมีสีที่เปลี่ยนไป
ตรวจร่างกาย
-ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิตและความเข้มข้น
ของออกซิเจนในเลือด(O2 saturation)
-ดู: อาการบวมหรือรอยฟกช้ำบริเวณที่มีข้อเคล็ด
-คลำ: ร้อนบริเวณที่มีข้อเคล็ด
-ขยับ: ประเมิน ROM ของผู้ป่วยเนื่องจากผู้ป่วยที่มีข้อเคล็ดจะเคลื่อนไหวข้อไม่ได้ เพราะจะมีอาการเจ็บ อาจเกิดการชาไปทั่วบริเวณนั้น แสดงว่าเส้นประสาทถูกฉีกขาดไปด้วย
-ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: X-Ray เพื่อดูตำแหน่งและความรุนแรงของข้อเคล็ด
การรักษาโรคเบื้องต้นของข้อเคล็ด
1.พักการใช้ข้อให้ข้อนั้นอยู่นิ่งๆ ขยับเขยื้อนให้น้อยที่สุด
2.ใช้ผ้าพันส่วนที่บวม เพื่อลดการบวมจำกัดการเคลื่อนไหว
3.ในกรณีที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บในระยะ 48 ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็น นาน15-30 นาที
วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมและปวด
4.ถ้าปวดมากให้ทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลหรือIbruprofen เพื่อบรรเทาปวด
5.ในระยะหลังบาดเจ็บ 48 ชั่วโมงหรือเมื่อข้อบวมเต็มที่แล้วให้ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ
นาน 15-30นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อลดอาการอักเสบ
6.การใช้อุปกรณ์ช่วยนอกจากการใช้ผ้ายืดพันยึดรอบข้อเท้า
7.ถ้าเป็นมากจนเคลื่อนไหวข้อนั้นไม่ได้เลยหรือสงสัยกระดูกแตกร้าวหรือเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อขาด
หรือดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นให้รีบส่งต่อโรงพยาบาล
ข้อเคลื่อน/ข้อหลุด (Dislocation)
ภาวะที่หัวกระดูกหรือปลายกระดูกสองอัน ที่มาชนกันเป็นข้อเคลื่อนหรือหลุดออกจากตำแหน่งปกติโดยอาจเคลื่อนบางส่วน (subluxation) หรือเคลื่อนหลุดโดยสมบูรณ์ (dislocation) เกิดจากมีแรงมากระทำที่ข้อนั้นอย่างรุนแรง จนทำให้เยื่อหุ้มข้อ (joint capsule) หรือเส้นเอ็นยึดข้อ (ligament) ซึ่งมีหน้าที่ในการให้ความแข็งแรงของข้อต่อนั้นๆ ฉีกขาดจนข้อเคลื่อนหรือหลุดออกจากกัน
สาเหตุของข้อเคลื่อน/หลุด
-เกิดจากความพิการแต่กำเนิด พยาธิสภาพหรือการกระแทกที่บริเวณข้อ
-เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ รถจักรยานยนต์
-เกิดจากกีฬาที่มีการปะทะกัน
-เกิดจากการถูกตี หกล้มหรือการเหวี่ยง การบิดหรือกระชากอย่างแรงที่ข้อนั้น
อาการ/อาการแสดง
เจ็บปวด บวมบริเวณที่มีข้อเคลื่อนสีของผิวหนัง รูปร่างของอวัยวะนั้นๆเปลี่ยนแปลงไปจากรูปร่างปกติไม่สามารถเคลื่อนไหวบริเวณนั้นได้หรือเคลื่อนไหวแล้วเกิดการเจ็บปวดมาก
ตรวจร่างกาย
-ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิตและความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (O2 saturation)
-ดู: ข้อมีรูปร่างผิดปกติไปจากเดิมสีของบริเวณข้อที่ได้รับบาดเจ็บเปลี่ยนไป
-คลำ: กดเจ็บจากการฉีกขาดของเอ็น พังผืดและเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบข้อต่อตรงตำแหน่งที่หลุด อาจคลำพบปลายหรือหัวกระดูกที่เคลื่อนออกมา
-ขยับ: ประเมิน ROM ของผู้ป่วยเนื่องจากเคลื่อนไหวข้อไม่ได้หรือ
ทำได้น้อยมากไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อได้ตามปกติ
-วัด: ความยาวของแขนหรือขา ข้างที่ได้รับบาดเจ็บอาจสั้นหรือยาวกว่าปกติ
-ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: MRI หรือ X-Ray เพื่อดูตำแหน่งและความรุนแรงของข้อเคลื่อนหลุด
การรักษาโรคเบื้องต้นข้อเคลื่อน/ ข้อหลุด
1.ใช้วัสดุที่หาได้หนุนหรือประคองข้อ และกระดูกที่เคลื่อนให้อยู่ในท่าที่สบาย หรือเจ็บน้อยที่สุดก่อนพบแพทย์ โดยให้พักข้ออยู่นิ่งๆ
2.ใช้ผ้าพยุงหรือดามไว้ให้ส่วนนั้นให้อยู่ในท่าพัก ให้ข้อนั้นอยู่นิ่งๆในท่าที่เป็นอยู่
เช่น ถ้าข้อเคลื่อนที่ไหล่ ให้ใช้ที่คล้องแขนหรือsling เพื่อยึดไว้ให้ข้ออยู่กับที่
3.ประคบด้วยน้ำแข็งบริเวณข้อ เพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด
4.ถ้าเป็นข้อเคลื่อนครั้งแรก อย่าพยายามดึงให้เข้าที่เองเพราะอาจเกิดอันตรายถึงกระดูกหักได้
5.ถ้าปวดมากให้ทานยา Ibuprofen (Advil) หรือ Acetaminophen (Tylenol)
6.NPO เผื่อกรณีที่จำเป็นต้องมีการรักษาโดยการผ่าตัด
7.ส่งต่อโรงพยาบาล การทิ้งไว้นานจะทำให้การดึงเข้าที่ลำบากและถ้านานเกินไปอาจต้องทำการผ่าตัด
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา หู คอ จมูก
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
ภาวะที่เศษวัตถุหรือสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น ผงดิน ทราย เส้นใย เศษเหล็ก เศษไม้เล็กๆ แมลง หรือขนตาปลิวหรือกระเด็นเข้าตา
อาการและอาการแสดง
1.เคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล ตาแดง
2.อาจติดเชื้ออักเสบเป็นหนอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
3.อาจทำให้กลายเป็นแผลที่กระจกตา หรือเชื้อโรคอาจลุกลามเข้าไปในลูกตา ทำให้ลูกตาอักเสบทั่วไป (Panophthalmitis) ตาเสียได้
การรักษาโรคเบื้องต้น
-การระคายเคืองเล็กๆ น้อยๆ
ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะการขยี้ตาจะทำให้สิ่งแปลกปลอมที่เข้าตาสัมผัสกับข้างในตามากขึ้น
กระพริบตาเร็วๆเมื่อมีฝุ่นผง เศษผมหรือบางสิ่งที่มีขนาดเล็กเข้าไปติดในตา จะช่วยให้เศษต่างๆ หลุดออกมาพร้อมกับน้ำตา
ล้างตาด้วยน้ำสะอาด ลืมตาและปล่อยให้น้ำจากก๊อกไหลผ่านตาเบาๆเพื่อล้างสิ่งแปลกปลอมออก
ใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดตา ถ้ามองเห็นสิ่งแปลกปลอมได้
ใช้น้ำตาเทียม (Artificial tears) เพื่อการล้างตาในกรณีที่ไม่มีน้ำตาหรือน้ำ
ถ้าตาแดงอักเสบให้ป้ายหรือหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ
-สิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ หรือที่มีอันตราย
สังเกตสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในตา ถ้าสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่แทรกอยู่ในตาหรือเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายถ้ามีอาการปวดอย่างรุนแรงหรือเกิดการระคายเคืองนานกว่า 30 นาทีให้ส่งต่อทันที
ล้างตาด้วยวิธีน้ำไหล (flowing water) ใช้0.9% Normal saline หรือ Boric acid 3% เป็นเวลา15-30 นาที
การเขี่ยเอาสิ่งแปลกปลอมออก
ส่งต่อโรงพยาบาล วัตถุที่มีขนาดใหญ่ปักค้างอยู่ที่ดวงตาหรือที่เนื้อเยื่ออ่อนรอบๆตา ควรจะถูกกำจัดออกจากตาโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
สิ่งแปลกปลอมเข้าหู
1.สิ่งแปลกปลอมที่ไม่มีชีวิต สิ่งแปลกปลอมประเภทนี้ขึ้นอยู่กับว่าวัตถุเหล่านั้นเป็นอะไร ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ใช้อยู่รอบตัว
2.สิ่งแปลกปลอมที่มีชีวิต สิ่งแปลกปลอมประเภทนี้อาจจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยได้ขึ้นอยู่กับชนิด และขนาดของสิ่งมีชีวิตนั้น
อาการและอาการแสดง
ไม่มีอาการ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เศษพืชหรือเมล็ดผลไม้ติดอยู่นานๆ ทำให้ช่องหูอักเสบ ปวด หนองไหลและหูตึง
สิ่งแปลกปลอมชิ้นโต อุดแน่น ทำให้หูตึง
สิ่งมีชีวิตคลานเข้าไปกระแทกช่องหูหรือแก้วหู รู้สึกรำคาญและเจ็บหมัดสุนัขที่เกาะติดแน่นจะปวดมาก
สิ่งของอาจกลิ้งไปมาหรือแมลงดิ้นไปมา ทำให้มีเสียงในหูเวลาอ้าปากหุบปากหรือเคี้ยวอาหารจะมีเสียงดังขลุกขลักในหู
เลือดออก พบในพวกที่ใส่ของแหลมเข้าไปหรือเกิดจากอุบัติเหตุ เศษเหล็ก เศษลูกระเบิดหรือลูกปืนที่เข้าในหูจะมีเลือดออกได้มาก
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าหู
ให้ใช้ปากคีบ คีบสิ่งแปลกปลอมนั้นออกอย่างเบามือ ภายใต้แสงสว่างอย่างพอเพียง
แนะนำผู้ป่วยห้ามใช้ไม้พันสำลี ก้านไม้ขีดไฟหรือวัตถุอื่นใด เขี่ยวัตถุออกเองเพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดลึกลงไปมากขึ้น
ให้ผู้ป่วยเอียงเอาหูข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมลงต่ำและค่อยๆโยกหรือเคาะศีรษะในแนวดิ่งเบาๆเพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาเอง
หากเป็นแมลงเข้าหู ให้เอาศีรษะข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมขึ้นและใช้น้ำอุ่น น้ำมันทาตัวเด็ก น้ำมะพร้าวเพื่อให้แมลงหนีขึ้นมาหรือตายและอาจลอยขึ้นมาได้เอง
สิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
สิ่งแปลกปลอมที่อุดกั้นทางเดินลมหายใจเกิดขึ้นบ่อย ในเด็กเล็กๆ ท าให้เกิดการอุดกั้นอย่างสมบูรณ์และเฉียบพลัน หากช่วยเหลือไม่ทันอาจเสี่ยงเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
สาเหตุของการเกิดสิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
ความเผอเรอ เป็นต้นเหตุที่พบบ่อยที่สุด
อายุของเด็ก สิ่งแปลกปลอมติดมากที่สุดในเด็กช่วงอายุ 1-10 ปี เป็นระยะที่เด็กชอบหยิบ ของทุกชนิดที่ไม่ใช่อาหารเข้าปากจึงติดคอได้
อาการและอาการแสดง
พูดไม่ได้ไปชั่วขณะ ทำให้อาจจะสื่อสารกับคนรอบตัวลำบาก
มีอาการเจ็บคอ โดยเฉพาะเวลาพูดหรือกลืนอาหารจะเจ็บมาก
ถ้าชิ้นโตจะอุดแน่นหายใจไม่ออก หอบ ริมฝีปากเขียวคล้ำ ตัวเขียว
อาการเริ่มแรกจะสำลัก
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
ซักประวัติเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอม ว่าคืออะไร
ให้ผู้ป่วยอ้าปากกว้าง ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมชัดเจน ให้ใช้ไม้กดลิ้นที่พันผ้าก็อซหรือผ้าสะอาดกดที่โคนลิ้นแล้วใช้ปากคีบ (forceps) คีบสิ่ง
แปลกปลอมออกมาส่วนมากมักจะติดอยู่ที่ข้างๆ ต่อมทอนซิล
ถ้าเป็นก้างหรือกระดูกขนาดเล็ก ให้ดื่มน้ำมากๆกลืนก้อนข้าวสุกหรือกลืนขนมปังนุ่มๆ สิ่งแปลกปลอมจะหลุดไปในกระเพาะอาหาร
ห้ามใช้มือแคะหรือล้วง เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่บวม แดง และเอาออกยากขึ้น อาจมีการอักเสบและติดเชื้อตามมาได้
นางสาวจีรกานต์ ทุยหล่อน Sec.2 รหัสนักศึกษา61101614