Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเอดส์ (AIDS- Acquired Immune Deficiency Syndrome), นางสาวภูริชญา นักสอน…
โรคเอดส์ (AIDS- Acquired Immune Deficiency Syndrome)
ซึ่งเป็นกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร้องอันเกิดจากเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) เข้าไปเจริญและเพิ่มจํานวนในเซลล์ที (T cells) และทําลายเซลล์ทีซึ่งทําให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง โดยเชื้อ HIV มีลักษณะพิเศษ ดังนี้
1.เชื้อ HIV จะทําลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายชนิดเซลล์ทีผู้ช่วย (helper T cell)
เชื้อ HIV เพิ่มจํานวนและมีการกลายพันธุ์ได้ง่าย
เชื้อ HIV เจริญและเพิ่มจํานวนอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเซลล์ทีผู้ช่วย (helper T cell) และใช้องค์ประกอบต่างๆในเซลล์เม็ดเลือดขาวในการเพิ่มปริมาณเชื้อ HIV และแพร่กระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นต่อไป
เชื้อ HIV มีสารพันธุกรรมเป็น RNA ซึ่งเมื่อเข้าสู่เซลล์จะสร้างสารพันธุกรรมในรูป DNA และแทรกเข้าไปใน DNA ของเซลล์ ซึ่งอาจทําหน้าที่สร้างไวรัสหรือแฝงตัวอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะถูกกระตุ้นให้สร้างไวรัส
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการเสาะหา มิได้เกิดโดยกําเนิดไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายใน 4 ระบบ คือ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบหลอดเลือด และระบบประสาท ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้เกิดจากเชื้อไวรัสพวกรีโทรไวรัส ไวรัสนี้คือ Human Immune Deficiency Virus (HIV)เปลือกนอกของไวรัสถูกทําลายได้ง่ายมาก แต่ถ้าเชื้อเข้าไปอยู่ในเซลล์แล้ว ไม่มีอะไรทําลายมันได้เลย ผู้ที่เป็นโรคเอดส์แล้วมีอาการ จะติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่าย
กลุ่มเสี่ยงต่อโรค
กลุ่มรักร่วมเพศ สําส่อนทางเพศ
กลุ่มติดยาเสพติดที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
กลุ่มที่ได้รับเลือด
อาการและอาการแสดง
ไม่ปรากฏอาการ พบแต่เชื้อในกระแสเลือดเท่านั้น ใช้เวลาหลายปีจึงปรากฏอาการ
เป็น Pre-AIDS หรือ ARC (AIDS Related Complex) เป็นไข้เรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุน้ำหนักลดต่อมน้ําเหลืองโต เม็ดเลือดขาวต่ําลง
Classical AIDS คือ พวกที่มี Pre-AIDS และมีการติดเชื้อฉวยโอกาส
การติดต่อถ่ายทอดเชื้อ
ติดต่อทางกระแสเลือด เช่น จากการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับคนที่มีเชื้อโรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับเลือดที่มีเชื้อโรคเอดส์
ผ่านจากรกของมารดาที่มีเลือดมีเชื้อโรคเอดส์ไปสู่ทารก
ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในรักร่วมเพศ โดยการติดติอทางทวารหนัก เยื่อบุของทวารหนักเป็น Collumnar cell บางๆ เพียงชั้นเดียว ซึ่งทนต่อการเสียดสีมากไม่ได้ดังนั้นการเกิดโรคในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
การวินิจฉัยโรค
วินิจฉัยได้จากประวัติ เช่น ประวัติรักร่วมเพศ การติดยาเสพติด การถ่ายเลือด
ตรวจน้ำเหลืองจะพบแอนติบอดีต่อเชื้อ เอช ไอ วี ตรวจเม็ดเลือดขาวจะพบ ที-เฮลเปอร์ (T- helper) ลดลง
การทดสอบภูมิคุ้มกันทางเซลล์บางอย่าง เช่น การทดสอบ
ทูเบอร์คูลิน หรือทดสอบเชื้อคางทูม ถ้าผิวหนังไม่มี
ปฏิกิริยา ตอบสนองแสดงว่า ผู้นั้นมีภูมิคุ้มกันทางเซลล์เสีย
การตรวจหาเชื้อ เอซ ไอ วี ในปัจจุบันมี 3 วิธี
ELISA (Enzyme – Linked Immunosorbent Assay) ใช้เชื้อ เอช ไอ วี ที่มีชีวิตทําให้แตกเป็นแอนติเจน
RIPA (Radio – Immunoprecipitation Assay) ใช้โปรตีนจากแกนของไวรัส เอช ไอ วี เป็นแอนติเจน
WESTERN blot technique ใช้โปรตีนซึ่งแยกจากเชื้อ เอช ไอ วี เป็นแอนติเจน
การรักษา
ยาที่มุ่งทําลายเชื้อไวรัส ขัดขวางการแบ่งตัวของไวรัส
ยาที่มุ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
การพยาบาล
การดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นการดูแลตามปัญหาในระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบหลอดเลือด ระบบประสาท ได้แก่ การดูแลและป้องกัน การได้รับน้ำเกลือแร่ และสารอาหารไม่เพียงพอ การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการสับสน ความจําเสื่อม วิตกกังวล ซึมเศร้า เสียขวัญ และกําลังใจตลอดจนการให้คําแนะนําในการปฏิบัติตนก่อนกลับบ้าน
หลักการพยาบาล
ปัญหาที่ 1 มีการติดเชื้อทางเดินหายใจ เนื่องจากติดเชื้อฉวยโอกาส
ปัญหาที่ 2 มีการติดเชื้อทางผิวหนัง เนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ปัญหาที่ 3 ท้องเดิน เนื่องจากติดเชื้อฉวยโอกาส
ปัญหาที่ 4 มีอาการสับสน สูญเสียความจํา
ปัญหาที่ 5 มีอารมณ์เศร้าโศกจากการถูกปฏิเสธ ถูกทอดทิ้ง
ปัญหาที่ 6 ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากเบื่ออาหาร กลืนลําบากปากเจ็บ
ปัญหาที่ 7 ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
ปัญหาที่ 8 ขาดความรู้ในการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง
นางสาวภูริชญา นักสอน เลขที่ 47 รหัส 62129301540