Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางเพศ - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ที่มีความผิดปกติทางเพศ
กลุ่มที่ 1 การตอบสนองทางเพศผิดปกติหรือปัญหาทางเพศ (Sexual Dysfunctions)
คือ การตอบสนองทางเพศผิดปกติเป็นปัญหาหรือความผิดปกติตามระยะการตอบสนองทางเพศ ผลการศึกษาความชุกของการตอบสนองทางเพศที่ผิดปกติในกลุ่มประเทศเอเชียพบภาวะองคชาติไม่แข็งตัว (erectile dysfunction) ถึงร้อยละ 7-15 ในอายุ 40-49 ปี และ ร้อยละ 39-49 ในอายุ 60-70 ปี ขณะที่อายุ 60-65 ปี ภาวะนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40-50 และผลการศึกษาทั่วโลกจานวน 20 การศึกษา ซึ่งทาการศึกษาในผู้ชายยังพบความผิดปกติอื่น เช่น ความผิดปกติในความสนใจและความต้องการทางเพศ ภาวะไม่มีความสุขสุดยอด ภาวะถึงจุดสุดยอดช้าเกินไป ภาวะการหลั่งอสุจิเร็วเกินไป ความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น 4. ระยะกลับคืน (resolution phase) เป็นระยะสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายกลับคืนสู่ปกติ กล้ามเนื้อเข้าสู่ระยะผ่อนคลาย ความดันโลหิตลดลง ระยะนี้ใช้เวลาตั้งแต่ 10 นาทีจนถึงเป็นวัน
ระยะการตอบสนองทางเพศของทั้งผู้ชายและผู้หญิงมี 4 ระยะเหมือนกัน แต่ลักษณะและความรุนแรง ของการตอบสนองทางเพศจะแตกต่างกัน
ระยะพลาโต (plateau phase) เป็นระยะการตื่นตัวทางเพศอยู่ในระดับสูงใกล้ถึงจุดสุดยอด มีการคั่งของเลือดดามากที่สุด กล้ามเนื้อเกร็งมาก ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 30 วินาทีถึง 3 นาที
ระยะกลับคืน (resolution phase) เป็นระยะสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายกลับคืนสู่ปกติ กล้ามเนื้อเข้าสู่ระยะผ่อนคลาย ความดันโลหิตลดลง ระยะนี้ใช้เวลาตั้งแต่ 10 นาทีจนถึงเป็นวัน
ระยะการตอบสนองทางเพศของทั้งผู้ชายและผู้หญิงมี 4 ระยะเหมือนกัน แต่ลักษณะและความรุนแรง ของการตอบสนองทางเพศจะแตกต่างกัน
ระยะตื่นตัวทางเพศ (excitement phase or arousal phase) เป็นระยะเริ่มเกิดความรู้สึกทางเพศ ร่างกายทั่วไปจะเกิดความเครียด มีการคั่งของเลือดดา การตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง หายใจแรงถี่ หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ระยะนี้ใช้เวลาตั้งแต่หลายนาทีถึงชั่วโมง
ระยะสุดยอดทางเพศ (orgasmic phase) เป็นระยะมีความสุขมากที่สุด ชีพจรเต้นเร็ว 110-180 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ 40 ครั้งต่อนาที และความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้หญิงส่วนมากจะถึงจุดสุดยอดช้ากว่าผู้ชาย การเกิดความสุขสุดยอดของผู้หญิงแต่ละคนจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิธีการและระยะเวลาการกระตุ้น สภาวะทางจิตใจ รวมถึงในช่วงกลางของรอบประจาเดือน ผู้หญิงมักมีความสุขสุดยอดรุนแรงขึ้น
การวินิจฉัยโรคตามระบบ DSM-5
1.การหลั่งอสุจิช้า (Delayed Ejaculation)
2.ภาวะองคชาติไม่แข็งตัว (Erectice Disorder)
3.ภาวะไม่มีความสุขสุดยอดในผู้หญิง (Female Orgasmic Disorder)
ภาวะไม่ตื่นตัวในเพศหญิง (Female Sexual Interest/Arousal Disorder)
ภาวะเจ็บปวดจากการสอดใส่ (Genito-Pelvic Pain/Penetration Disorder)
ภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไปในเพศชาย (Male Hypoactive Sexual Desire Disorder)
การหลั่งอสุจิเร็วเกินไป (Premature (Early) Ejaculation)
ปัญหาทางเพศที่เกิดจากสารเสพติดหรือยา (Substance/Medication-Induced Sexual Dysfunction)
ปัญหาทางเพศอื่น ๆ (Other Specified Sexual Dysfunction) เป็นปัญหาทางเพศที่ไม่ได้เข้ากับเกณฑ์ การพิจารณาการวินิจฉัยความผิดปกติใด
ปัญหาทางเพศที่ไม่มีลักษณะจำเพาะ (Unspecified Sexual Dysfunction) ใช้ในกรณีที่ผู้รักษาไม่สามารถระบุลักษณะจาเพาะได้ รวมถึงการมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะระบุข้อวินิจฉัยอย่างเฉพาะเจาะจง
กิจกรรมการพยาบาลที่สำคัญในการดูแลบุคคลที่มีความผิดปกติทางเพศ มีดังนี้
รวบรวมข้อมูลสาเหตุและประเมินความผิดปกติโดยการซักประวัติ เช่น ข้อมูลของครอบครัว ประวัติความเจ็บป่วยของผู้มีความผิดปกติและบุคคลในครอบครัว ความเครียด ทัศนคติและความเชื่อเรื่องเพศ บทบาททางเพศ ประสบการณ์ทางเพศที่ผิดปกติ ความสัมพันธ์กับคู่สมรสหรือคู่นอน และปัญหาทางเพศ เป็นต้น รวมถึงผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบาบัดมุ่งเน้นการสร้างความไว้วางใจโดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวของสถานที่พิทักษ์สิทธิของผู้มีความผิดปกติ รวมทั้งรักษาความลับอย่างเคร่งครัด
ขณะให้การพยาบาลต้องให้ความสาคัญอย่างยิ่งกับความตระหนักรู้ในตนเองเรื่องความเชื่อและ ทัศนคติต่อเรื่องเพศ สามารถรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดอคติ ซึ่งจะส่งผลต่อ ความเข้าใจและการยอมรับความเป็นบุคคลของผู้มีความผิดปกติ
ให้ความเข้าใจและยอมรับความเป็นบุคคลของผู้มีความผิดปกติ เปิดโอกาสให้บอกเล่าปัญหาอย่างอิสระ รับฟังปัญหาอย่างตั้งใจ รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลเรื่องทัศนคติ และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ อายุวัฒนธรรม และศาสนา
ให้การดูแลแบบสหวิชาชีพ ให้ความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติเรื่องเพศอย่างถูกต้องแก่ผู้มีความผิดปกติและคู่สมรส
แนะนาการฝึกทักษะการสื่อสาร ทักษะการผ่อนคลายตามหลักการของพฤติกรรมบาบัด เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้มีความผิดปกติและคู่สมรส
แนะนาและให้กาลังใจผู้มีความผิดปกติและคู่สมรสในการทดลองปฏิบัติตามเทคนิควิธีการต่าง ๆ รวมถึงให้คาแนะนาในการดูแลตนเองขณะได้รับยาหรือฮอร์โมนตามแผนการรักษา
ติดตามผลการรักษาและส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญหากมีความจาเป็นต้องได้รับการบาบัดรักษาปัญหา หรือความต้องการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ เพื่อการดูแลผู้มีความผิดปกติอย่างเหมาะสม
กลุ่มที่ 3 ภาวะไม่พอใจในเพศของตนเอง (Gender Dysphoria or Gender Identity Disorder: GID)
คือ ภาวะไม่พอใจในเพศของตนเองพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3-5 เท่า เอกลักษณ์ทางเพศ (gender identity) หมายถึง ความรู้สึกภายในที่บุคคลมีต่อตนเองว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย ภาวะความไม่พอใจในเพศของตนเองคือ การที่บุคคลมีความรู้สึกอึดอัด ไม่พอใจต่อเพศที่แท้จริงหรือบทบาททางเพศ (gender role) ของตนเอง โดยแสดงออกอย่างชัดเจนและเป็นตลอดเวลา คิดว่าตนเองเป็นเพศตรงข้ามมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะรู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนและมีความต้องการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ รวมทั้งมีความต้องการอย่างมากที่จะดาเนินชีวิตแบบเพศตรงข้าม เช่น ผู้ชายคิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง จึงมีพฤติกรรมทางเพศ เช่น จินตนาการทางเพศ การหาความสุขทางเพศ การแสวงหาคู่โดยมีความต้องการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่ตนเองพึงพอใจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สังคมไทยปัจจุบัน ถึงแม้จะมีการยอมรับพฤติกรรมของผู้มีภาวะไม่พอใจในเพศของตนเองมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีความกดดันจากบุคคลส่วนใหญ่ที่มีความคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในแง่ของบทบาททางเพศที่ควรเป็นตามเพศ (Sex) ที่ติดตัวมาตั้งแต่กาเนิด รวมถึงความคาดหวังของครอบครัวและสังคมที่บุคคลต้องมีบทบาททางเพศและการแสดงออกทางเพศสภาพ (gender) ตรงตามเพศของตน
ปัจจัยสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะไม่พอใจในเพศของตนเองดังนี้
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
ปัจจัยด้านกายภาพ
ปัจจัยการเลียงดู
ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมการพยาบาลที่สำคัญในการดูแลผู้มีภาวะไม่พอใจในเพศของตนเอง มีดังนี้
ให้ความรู้แก่บุคคลในครอบครัวในการเลี้ยงดูเด็กให้เหมาะสมกับเพศ รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นใน ครอบครัว อาจต้องทาความเข้าใจและให้คาปรึกษาบิดามารดาที่มีความต้องการบุตรเพศใดเพศหนึ่งอย่างมาก
ให้การดูแลแบบสหวิชาชีพ ให้การรักษาด้วยจิตบาบัดรายบุคคล ให้คาปรึกษา ให้ฝึกทักษะทางสังคม ส่งเสริมความสามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่น และมีทักษะการเผชิญกับปัญหาอย่างเหมาะสม
ขณะให้การพยาบาลต้องให้ความสาคัญอย่างยิ่งกับความตระหนักรู้ในตนเองเรื่องความเชื่อและ ทัศนคติต่อเรื่องเพศ สามารถรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดอคติ ซึ่งจะส่งผลต่อ ความเข้าใจและการยอมรับความเป็นบุคคลของผู้ใช้บริการ
ให้การยอมรับและให้กาลังใจในแต่ละขั้นตอนของการรักษา เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย รวมถึง ระบายความรู้สึกกังวลใจขณะรับการรักษา ให้ความสาคัญกับความเป็นส่วนตัว การพิทักษ์สิทธิและการรักษาความลับ
ให้คาแนะนาเรื่องสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการรักษาและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ผลข้างเคียง ของการรับประทานฮอร์โมนเพศและการรักษา
ครอบครัวบาบัดอาจมีความจาเป็นอย่างมากสาหรับบางครอบครัวและควรเปิดโอกาสให้สมาชิกใน ครอบครัวซักถามข้อสงสัยหรือระบายความรู้สึก
กลุ่มที่ 2 ภาวะเบี่ยงเบนทางเพศหรือความวิปริตทางเพศ (Paraphilias)
ความวิปริตทางเพศคือการที่บุคคลมีความสนใจทางเพศหรือมีความรู้สึกทางเพศต่อวัตถุหรือ สถานการณ์ที่ไม่ปกติหรือผิดธรรมชาติ (unconventional objects or situations) เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไปในสังคม หรือการมีความคิดฝันทางเพศแบบแปลก ๆ ก่อให้เกิดความทุกข์ใจต่อตนเองหรือคู่นอนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ผู้ป่วยบางรายมีความผิดปกติมากกว่า 1 อาการ โดยมีมากที่สุดถึง 4 อาการ รวมทั้งความผิดปกติทางจิตที่พบร่วม ได้แก่ ความผิดปกติด้านอารมณ์ ความผิดปกติจากการใช้สารเสพติด และความวิตกกังวลผิดปกติ
สาเหตุของความผิดปกติเชื่อว่าเกิดจากการเลี้ยงดูที่เข้มงวดอย่างมากและมีประสบการณ์ที่ผิดปกติ คิดว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องเลวร้าย สกปรก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดความ วิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศและภาพลักษณ์ทางร่างกาย และพบมีความสัมพันธ์กับการ เคยถูกทารุณกรรมทางร่างกายและทางเพศ บางรายงานพบความผิดปกตินี้ในผู้ป่วยลมชักหรือในผู้ที่มีอาการ ผิดปกติของสมองเล็กน้อย เช่น ความบกพร่องของความสามารถในการอ่านหนังสือ (dyslexia) คลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติ (abnormal EEG)
การวินิจฉัยโรคตามเกณฑ์ DSM-5
ชอบแอบดูหรือเป็นนักถ้ำมอง (Voyeuristic Disorder)
ชอบอวดหรือโชว์อวัยวะเพศ (Exhibitionistic Disorder)
ชอบถูไถอวัยวะเพศของตนกับเพศตรงข้าม (Frotteuristic Disorder)
มีความสุขทางเพศจากการได้รับความเจ็บปวด (Sexual Masochism Disorder)
มีความสุขทางเพศจากการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด (Sexual Sadism Disorder)
ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่ยังไม่เติบโตเป็นวัยรุ่น (Pedophilic Disorder)
มีความสุขทางเพศกับส่วนของร่างกายหรือสวมวัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศตรงข้าม (Fetishism Disorder)
มีความสุขทางเพศจากการสวมใส่เสื อผ้าของเพศตรงข้าม (Tranvestic Disorder)
9.ความวิปริตทางเพศแบบอื่น ๆ (Other Specified Paraphilic Disorder)
ความวิปริตทางเพศที่ไม่มีลักษณะจำเพาะ (Unspecified Paraphilic Disorder)
เป็นความวิปริตทางเพศที่ไม่ได้เข้ากับเกณฑ์การพิจารณาการวินิจฉัยความผิดปกติใด ใช้ในกรณีที่ผู้รักษาไม่สามารถระบุลักษณะจาเพาะได้ รวมถึงการมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะระบุข้อวินิจฉัยอย่างเฉพาะเจาะจง
เป้าหมายการรักษาและการรักษาที่สาคัญ คือ การทาจิตบาบัดลักษณะลึก จิตบาบัดแบบ ประคับประคองเพื่อให้บุคคลมีความเข้าใจตนเองมากขึ้น การบาบัดทางความคิดและพฤติกรรมเพื่อปรับ ความคิดที่บิดเบือน เพศบาบัด (Sex Therapy) เพื่อแก้ไขให้มีพฤติกรรมทางเพศแบบที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ยาต้านฮอร์โมนเพศชายเพื่อลดความต้องการทางเพศ ยาทางจิตเวชเพื่อรักษาภาวะทางจิตเวชที่อาจเกิดร่วมด้วย และพฤติกรรมบาบัดโดยใช้หลักการเสริมแรงเพื่อลดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เบี่ยงเบน เทคนิคที่ใช้บ่อย เช่น เทคนิค Orgasmic Reconditioning ให้ผู้ป่วยสาเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยจินตนาการถึงสิ่งที่ชอบ แล้วเปลี่ยนจินตนาการเป็นคนเพศตรงข้ามเมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอดทุกครั้ง ต่อมาค่อย ๆ เปลี่ยนจินตนาการก่อนถึงจุดสุดยอดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เทคนิค Covert Sensitization ให้ผู้ป่วยจินตนาการถึงสิ่งที่ชอบแล้วให้นึกถึงสิ่งที่กลัวเข้ามาขัดจังหวะ เทคนิค Olfactory Aversion Conditioning ให้ผู้ป่วยจินตนาการถึงสิ่งที่ชอบแล้วให้ดมกลิ่นเหม็น เช่น แอมโมเนีย เทคนิค Masturbatory Satiation ให้ผู้ป่วยสาเร็จความใคร่ โดยใช้จินตนาการที่เบี่ยงเบน เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วให้สาเร็จความใคร่ โดยใช้จินตนาการนี้ต่อไปอีก 1 ชั่วโมงทันที จนทาให้ไม่มีความรู้สึกมีความสุขในการถึงจุดสุดยอด ด้วยจินตนาการเดิมอีก
เป้าหมายทางการพยาบาลที่สำคัญ คือ ให้ผู้ป่วยยอมรับและเข้าใจปัญหาของตน เพื่อรับการรักษาแต่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กิจกรรมการพยาบาลที่สาคัญมีดังนี้
รวบรวมข้อมูลสาเหตุและประเมินความผิดปกติโดยการซักประวัติ เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ความเครียด ความเจ็บป่วยทางกาย ทัศนคติและความเชื่อเรื่องเพศ ความสัมพันธ์กับคู่สมรสหรือคู่นอน ประสบการณ์ที่ผิดปกติ เป็นต้น
สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบาบัดมุ่งเน้นสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้มีความผิดปกติ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความลับ ให้ความเข้าใจและยอมรับความเป็นบุคคล และส่งเสริมให้ผู้มีความผิดปกติ ให้ความร่วมมือในการรักษา
ขณะให้การพยาบาลต้องให้ความสาคัญอย่างยิ่งกับความตระหนักรู้ในตนเองเรื่องความเชื่อและ ทัศนคติต่อเรื่องเพศ สามารถรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดอคติ ซึ่งจะส่งผลต่อ ความเข้าใจและการยอมรับความเป็นบุคคลของผู้มีความผิดปกติ
ให้การดูแลแบบสหวิชาชีพ ส่งเสริมและให้กาลังใจแก่ผู้มีความผิดปกติ ให้ปฏิบัติตามแผนการรักษา ให้เข้าร่วมกลุ่มบาบัด โดยเฉพาะการฝึกทักษะทางสังคม การจัดการกับความเครียด เพื่อเพิ่มคุณค่าในตัวเอง
ให้ข้อมูลความผิดปกติและการรักษาแก่ญาติและครอบครัวของผู้มีความผิดปกติ เพื่อให้ครอบครัวมี ความเข้าใจและสนับสนุนให้กาลังใจแก่ผู้มีความผิดปกติในการรับการรักษา