Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเบาหวาน Daibetes Mellitus - Coggle Diagram
โรคเบาหวาน
Daibetes Mellitus
ความหมาย
โรคเบาหวานเป็นกลุ่มโรคของความผิดปกติของ
การเผาผลาญไขมัน
โปรตีน
คาร์โบไฮเดรต
ชนิดของเบาหวาน
1.โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 2 diabetes mellitus, T1DM)
โรคเบาหวานชนิดที่เกิดจากการทำลายเบต้าเชลล์ของตับอ่อนทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินชูสินได้เลย ส่วนใหญ่เกิดจากautoimmune ความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การได้รับสารพิษบางชนิดหรือการเกิดภาวะเครียด โรคเบาหวานชนิดที่ 1 นี้สมารถพบได้ในทุกวัย แต่ส่วนใหญ่พบมักพบในเด็ก
สาเหตุ : เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไปทำลายเซลล์ของตับ จนทำให้ความสามารถในการสร้างอินซูลินเพื่อลดน้ำตาลในเลือดลดลง
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM)
โรคเบาหวานที่เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินร่วมกับความผิดปกติในการหสั่งอินซูสินของตับอ่อน ซึ่งเป็นโรคเบาหวานที่พบได้บ่อย มักเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ความอ้วน การขาดการออกกำลังกาย การดื้อต่ออินซูสินทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสในเลือดไปใช้ได้
สาเหตุ : เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปสารอาหารจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดร่างกายก็ขับฮอร์โมนชื่ออินซูลินเพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์ โรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากหลายสาเหตุรวมกันได้แก่ ตับ กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมันมีความทนทานต่ออินซูลินเพิ่ม [insulin resistance] และความผิดปกติเกี่ยวกับการหลั่งอินซูลิน [impaired beta -cell function] ของตับอ่อน
โรคเบาหวานชนิดที่ 3 (gestational diabetes mellitus, GDM)
เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์โดยมีการเพิ่มของฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านอินซูลิน ได้แก่ human placenta lactogen (HPL),progesterone, cortisol และ prolactin เกิดภาวะ insulin resistance มากขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ตามลำตับ ส่งผลให้เกิดเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการเกิดเบาหวาน
สาเหตุ : การมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน,ความเครียดสูง,ไขมันในเลือดและตับ,ระดับของคอเลสเตอรอลแอลดีแอลสูงและระดับของคอเลสเตอรอลเอชดีแอลต่ำ,การทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ,การทำงานของตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินผิดปกติ
โรคเบาหวานชนิดที่4 โรคเบาหวานที่มีสาเหตุอื่นๆ(specific types of diabetes due to other causes)
ที่ทำให้มีการทำลายเบต้าเชลล์ของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนได้รับบาดเจ็บการผ่าตัดตับอ่อน มะเร็ง การได้รับยาหรือสารเมีที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนก่อให้เกิดภาวะตื้อต่ออินซูสิน
สาเหตุ : เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด
เป็นต้น โดยการวินิจฉัยเบาหวาน
น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ยคืออะไร?
น้ำตาลสะสม หรือ น้ำตาลเฉลี่ยหรือฮีโมโกลบินวันซี(HbA1C)คือค่าที่ช่วยบ่งชี้การควบคุมระดับน้ำตาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และช่วยแพทย์ในการเฝ้าติดตามผู้ป่วยเบาหวานว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียงควบคู่ไปกับการดูระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร 6-8 ชั่วโมง(Fasting plasma glucose;FPG)โดยแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
พยาธิสภาพของการเกิดโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักพบว่ามีความผิดปกติที่ตัวรับ (receptor) ของเซลล์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลกลูโคสไปใช้ใด้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง คือภาวะดื้ออินซูสิน ขณะเตียวกันร่างกายจะปรับให้อยู่ในภาวะที่มีอินซูสินสูงมาก
อาการเริ่มแรกของเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก อาการจะไม่เด่นชัดอย่างไรก็ตาม อาจไปพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ ดังนี้
อาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ตามัว ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาด เลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
อาการของน้ำตาลสูงเฉียบพลัน เช่น อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หายใจหอบเหนื่อย ระดับความ รู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง หรือหมดสติ
อาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานเก่งขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ถ้าระดับน้ำตาลสูงนานๆ และยังไม่ได้รับการรักษาจะมีน้ำหนักตัวลดลงตามมา
ตรวจพบจากการตรวจเช็คสุขภาพหรือก่อนทำการผ่าตัด
อาการหรือโรคที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน เช่น แผลเรื้อรังหรือแผลหายช้ากว่าปกติ โรคติดเชื้อบาง ชนิดเช่น การติดเชื้อราที่ช่องคลอด การติดเชื้อที่ผิวหนัง
อาการบ่งชี้ของโรคเบาหวาน
ปัสสาวะบ่อย
หิวบ่อย
น้ำหนักลด
ไม่มีแรง
ตาพร่า
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
โรคตา จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจกจากเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายมีมากขึ้น ร่างกายจะขับน้ำตาลออกมาตามส่วนต่างๆ รวมถึงบริเวณเลนส์ตา ส่งผลให้อาจจะเกิดโรคเกี่ยวกับดวงตาหลายชนิด
โรคผิวหนัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย แผลที่เกิดขึ้นมักจะหายยากและเกิดการอักเสบ ผู้เป็นเบาหวานจึงควรหมั่นดูแลรักษาผิวให้สะอาดอยู่เสมอ
โรคไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน ไต อวัยวะซึ่งทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด มีหลอดเลือดขนาดเล็กจำนวนมากบริเวณไต เมื่อผนังหลอดเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน การทำหน้าที่กรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะผู้เป็นเบาหวานมานานกว่า10 ปี มักเกิดปัญหาไตเสื่อม
แต่ความรุนแรงและระยะการเกิดจะมาก หรือน้อย ขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
โรคความดันโลหิตสูง พบค่อนข้างมากในจำนวนผู้เป็นเบาหวาน และเมื่อเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็มักจะมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วยเป็นเบาหวานควรควบคุมระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ โดยการพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับความดันของเลือด
โรคหลอดเลือดหัวใจ นับเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบ ตัน จะสูงมากขึ้น ในผู้เป็นเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่อ่อนแรงลงไป เกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ผ่านพ้นภาวะอันตรายแล้ว การทำกายภาพบำบัด จะช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของขาที่อ่อนแรงนั้นได้ดียิ่งขึ้น
ปลายประสาทเสื่อม จากเบาหวานลักษณะของโรคนี้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้รู้สึกรำคาญ และทุกข์ทรมาน เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง ความรู้สึกในการรับรู้ต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้า
โรคในช่องปาก โรคในช่องปากมักมีสาเหตุจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผลิตน้ำลายได้น้อย ปากแห้ง มีผลทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก มีอาการเหงือกอักเสบ เกิดหินปูน ฟันผุ
กลไกการเกิดโรคแทรกข้อนในผู้ป่วยเบาหวาน
1.Neoenzymatic slycation ของโปรตีน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง กลูโคสจะจับกับโปรตีนโดยไม่ต้องอาศัยเอนไซม์ เช่น จับกับ hemoglobin เป็น HbA1c, จับกับ albumin เป็น fructosamineเมื่อเกิดปฏิกิริยาตังกล่าวกับโปรตีนทำให้เกิด advanced glycation end products ทำให้หน้าที่ของโปรตีนเสียไป เป็นกลไกสำคัญในการเกิดโรคแทรกซ้อนชนิด microvascular เช่น nephropathyและ retinopathy
2.Polyal pathway เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง กลูโคสเข้าไปในเซลล์ เช่น Schwann's cell หรือเลนส์ โดยไม่ต้องอาศัยอินชูสิน กลูโคสจะถูกเปลี่ยนเป็น sorbitol โดยเอนไซม์ aldose reductase และเป็นฟรุกโตสโดยเฮนไซม์ sorbitol dehydrogenase ซึ่ง sorbitol และ fructose ขนาดโมเสกุลใหญ่ ไม่สามารถผ่านกลับออกมาจากเชลล์ใด้ ทำให้ Swann's cells บวม หรือเลนส์ขุ่นรวมถึง peripheral nephropathy และ cataract ได้
3.การกระตุ้น protein kinase C (PKC) และ diacylglycerol (DAG) pathway โดยระดับน้ำตาลเลือดสูงขึ้นอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของหลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด การสร้าง basement membrane และ growth factor ต่างๆ
4.การเกิด artherosclerosis กลไกการเกิดเริ่มจาก small dense LDL (low density lipoprotein) เข้าไปในผนังหลอดเลือดโดยง่าย ถ้ามี endothelia ผิดปกติ เช่น การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง LDL ผ่านขบวนการ cxidized เป็น oxidized LDLเซลล์แมคโครฟาจจะกิน xidized LDL ทำให้แมคโครฟาจเปลี่ยนเป็น foam cells ก่อให้เกิมีเม็ดเลือดขาว และ smooth muscle cells แบ่งตัวเข้ามาในชั้น subendothelial เกิดเป็น plaque และอุดตันหลอดเลือดของอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ หัวใจ สมอง และปลายเท้า เป็นต้น
ฮอร์โมนจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์
ตับอ่อน (Pancreas) ตั้งอยู่ที่ด้านบนซ้ายของช่องท้อง โดยวางตัวจากส่วนโค้งของลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม (duodenum ) ถึงม้าม (spleen) และด้านหลังของกระเพาะ (stomach) มีลักษณะค่อนข้างแบน มีความยาวประมาณ 12 –15 เซนติเมตร ตับอ่อนทำหน้าที่ทั้งเป็นต่อมมีท่อคือการสร้างน้ำย่อยไปที่ลำไส้เล็กและเป็นต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมนเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนจะรวมกันเป็นกลุ่มมีชื่อว่า ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ( Islets of Langerhans ) มีปริมาณ
1 – 3 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อตับอ่อนทั้งหมด
1) ฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin )
สร้างจากเบต้าเซลล์ ( beta cell ) ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่รอบนอกของกลุ่มเซลล์ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์
อวัยวะเป้าหมาย ตับ,กล้ามเนื้อ
หน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด (ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ 80 - 100 มิลลิกรัม / 100ลบ.ซม. ) โดยเพิ่มการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ตับ กระตุ้นให้เซลล์ตับและเซลล์กล้ามเนื้อเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจน( โมเลกุลของคาร์์โบไฮเดรตที่สร้างจากกลูโคส )เก็บสะสมไว้ภายในเซลล์
2) ฮอร์โมนกลูคากอน( Glucagon )
สร้างจาก แอลฟาเซลล์( alpha cell ) ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ส่วนในและเป็นเซลล์ส่วนใหญ่ของกลุ่มเซลล์ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์( ดูภาพด้านบน )
อวัยวะเป้าหมาย ตับ,กล้ามเนื้อ
หน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นให้เซลล์้ตับและเซลล์กล้ามเนื้อเปลี่ยนไกลโคเจนให้เป็นกลูโคสปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด เพิ่มการสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนและกรดไขมัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
1.ภาวะแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน (Acute complication) หมายถึง ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจรุนแรงเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด ภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (Diabetic Ketoacidosis,DKA) ภาวะเลือดข้นจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมาก (Hyperglycemic Hyperosmolar Non-ketotic Syndrome, HHNS) ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้
2.ภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง (Chronic complication) หมายถึง ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวาน ยิ่งเป็นโรคนานจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้มากขึ้นการเกิดภาวะนี้เป็นผลจากปัจจัยทั้งที่สัมพันธ์กับเบาหวานโดยตรงและปัจจัยที่ไม่สัมพันธ์กับเบาหวานได้แก่ ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดและHbA1cในเลือด ความดันโลหิต พันธุกรรมภาวะไขมันสูงในเลือด
สาเหตุ
-การตั้งครรภ์เนื่องจากขณะตั้งครรภ์จะมีการสร้างฮอร์โมนจากรกซึ่งมีผลต่อต้านการทำงานของอินซูลิน
-ความผิดปกติของตับอ่อนเนื่องจากตับอ่อนจะทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลินดังนั้นหากตับอ่อนมีการเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติก็ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วย
-โรคอ้วนผู้ที่มีน้ำหนักมากไขมันส่วนเกินจะสร้างสารที่ทำให้การตอบสนองตของเนื้อเยื่อร่างกายต่ออินซูลินไม่ดีหรือนัยหนึ่งชึ่งเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
-พฤติกรรมเช่น การไม่ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการรับประทานอาหารพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุรา
-ผู้สูงอายุเมื่ออายุมากขึ้น ตับอ่อนจะเสื่อมการทำงานทำให้การสังเคราะห์และการหลังอินซูลินลดลง
-พันธุกรรม (Genetic)เบาหวานมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่งแต่ผู้ที่มีญาติสายตรงอาทิเช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นเบาหวานก็ไม่จําเป็นต้องป่วยเป็นโรคเบาหวานทุกราย ทั้งนี้ขึ้นกับการควบคุมดูแลปัจจัยเสี่ยง
วิธีการป้องกัน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควบคุมน้ำหนักให้คงที่
รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็น
. รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบำบัด
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบัน
แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบำบัด
การรักษาโรคเบาหวานด้วยธรรมชาติบำบัดนั้นเป็นวิธีแบบค่อยเป็นคอยไป และเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรก หรือผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก โดยวิธีธรรมชาติบำบัดนั้นจะช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และหากทำควบคู่กับการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินด้วยแล้วก็จะยิ่งได้ผลดีมากทีเดียว สำหรับวิธีรักษาก็มีด้วยกัน
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรงของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย โดยการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินนั้นผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามแพทย์สั่ง และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันใหม่นั่นเอง
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวาน
1.เฝ้าติดตามประเมินระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการตรวจปัสสาวะก่อนอาหารเช้ากลางวันเย็น และก่อนนอน บันทึกอย่างต่อเนื่อง
2.ดูแลอาหารบำบัดให้ได้ตรงกับที่ได้คำนวณและกำหนดไว้สังเกตจำนวนอาหารที่ผู้ป่วยรับประทานกับอาการของโรคเบาหวานคอยดูแลปรับเปลี่ยนให้้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยโดยที่ผู้ป่วยเข้าใจ มีความตั้งใจ และให้ความร่วมมือ
3.เฝ้าระวังการติดเชื้อด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการมีไข้อาการคันที่อวัยวะเพศและผิวหนังทั่วไป
4.ดูแลกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ การอาบน้ำ แปรงฟันการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะช่วยทำความสะอาดให้ในรายช่วยเหลือตนเองไม่ได้และสอนให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญในการรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไปเพื่อที่จะทำเองได้เมื่อมีอาการดีขึ้นและกลับไปอยู่บ้านโดยเฉพาะการทำความสะอาดตามซอกรักแร้ใต้ราวนมขาหนีบ อวัยวะเพศให้แห้งอยู่เสมอ
5.การดูแลเท้า สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทำความสะอาดเท้าซอกนิ้วเท้าและซับให้แห้งทุกครั้งที่อาบน้ำหรือเมื่อล้างเท้าถ้ามีแผลควรปรึกษาแพทย์มากกว่ารักษาเอง ตัดเล็บให้สั้นระวังเล็บขบ สวมรองเท้าขนาดพอดีและสวมรองเท้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้านอย่างวางกระเป๋าน้ำร้อนบริเวณเท้าที่รู้สึกชาไม่ควรนั่งไขว่ห้าง
6.ฉีดยาอินซูลิน หรือให้ยารับประทานตามแผนการรักษาและการสังเกตอาการหลังใช้ยาเช่น ง่วงซึม ไม่รู้สึกตัวช็อคจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาหารที่ควรบริโภค
อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
อาหารจำพวกเนื้อสัตว์
(ไม่ติดมัน
อาหารจำพวกผัก
อาหารประเภทไขมัน