Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคทางคูม (Mumps) w644, Jaotourlek-193, B0JMjLxCEAAzL54, pngtree-cartoon…
โรคทางคูม (Mumps)
สาเหตุ
- เกิดจากเชื้อไวรัส ในกลุ่ม Paramyxovirus
โดยเชื้อนี้จะอยู่ในน้ำลายของผู้ป่วย
- ติดต่อถึงกันผ่านการไอ จามรดกัน
- สัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนน้ำลายของผู้ป่วย
โรคคางทูม เป็นการติดเชื้อและมีการ
อักเสบของต่อมน้ำลายที่อยู่บริเวณกกหูทำให้ที่บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูมพบในเด็กเป็นส่วนใหญ่
พยาธิ
มีการบวมที่แนวแก้ม เป็นสีแดงกำและบวมโต ซึ่งแสดงว่าต่อมน้ำลายมีการ อักเสบมาก ต่อเมื่อ อาการบวมแดงหายไปแล้วจึงจะพ้นระยะติดต่อ
การบวมของตอมต่างๆ บอกให้รู้ว่าเป็นคางทูม อาการของคางทูมก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อต่อมต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการขับน้ำลาย ต่อมพาโรติด ต่อมใต้ขากรรไกรล่าง และต่อมใต้ลิ้น ในธรรมชาติของการบวมของต่อมต่างๆ มักหมายถึงการบวมของต่อมน้ำเหลืองในลำคอด้วย มักจะเกิดขึ้นภายหลังที่เจ็บในคอ
-
-
การรักษา
- ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานยาลดไข้
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว
เพราะกรดในน้ำผลไม้จะทำให้ต่อมน้ำลายเกิดการระคายเคือง และ
ทำให้ปวดบวมมากขึ้นได้
- ประคบร้อนหรือประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการปวดบวมที่บริเวณต่อมน้ำลาย
- รับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลว
การพยาบาล
- รักษาตามอาการ ก็สามารถรักษาให้หายได้เองตามธรรมชาติ โดยจะมีอาการไข้อยู่ 1-6 วันส่วนคางทูมจะยุบเองในไม่เกิน 10 วัน และจะหายสนิทใน 2 สัปดาห์
- ดูแลร่างกายด้วยการพักผ่อนมาก ๆ อย่าทำงานหนัก
- ดื่มน้ำมาก ๆ และทานยาลดไข้ ในเวลาที่มีไข้สูง
- ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบตรงบริเวณที่เป็นคางทูม วันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าปวดให้เปลี่ยนไปใช้น้ำเย็น หรือน้ำแข็งแทน
- ควรเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่เคี้ยวยาก ๆ อาหารรส
เปรี้ยว เพราะจะทำให้ปวดมากขึ้นี่สำคัญควรหยุดพักรักษาตัวอยู่บ้าน เพื่อป้องการการแพร่เชื้อสู่คนอื่น
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวของโรค
-
ระยะติดต่อของโรค
คือระยะที่ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื่อในคนอื่นได้คือตั้งแต่ 7
วันก่อนมีอาการ จนถึง 9นหลังมีอาการคางทูม
-
ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณ
ขากรรไกรต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้
โดยค่อย ๆโตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร
บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตา ประมาณ 1 สัปดาห์
จะค่อยๆลดขนาดลง
ป้องกัน
- ในเด็กทั่วไป การป้องกันแก่เด็กก่อนวัยเรียนนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- ผู้ที่มีอาการของโรคจะมีเชื้ออยู่ในจมูกลำคอเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ ดังนั้นจึงต้องแยกผู้ป่วยจากผู้อื่นอย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ หรือตรวจเพาะเชื้อไม่พบเชื้อแล้ว 2 ครั้ง ผู้ป่วยที่หายจากโรคคอตีบแล้วอาจไม่มีภูมิคุ้มเต็มที่ จึงอาจเป็นโรคคอตีบซ้ำได้อีก ดังนั้นจึงต้องให้วัคซีนป้องกันโรค (DTP หรือdT) แก่ผู้ป่วยที่หายแล้วทุกคน
- เนื่องจากโรคคอตีบติดต่อกันได้ง่าย ดังนั้นผู้สัมผัสโรคใกล้ชิดที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน โรคจะติดเชื้อได้ง่ายจึงควรได้รับการติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยทำการเพาะจากลำคอ และติดตามดูอาการ 7 วันจึงควรได้รับการติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยทำการเพาะจากลำคอ และติดตามดูอาการ 7 วัน
-
-
-
-
-