Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กระดูกหัก ข้อเคล็ด ข้อเคลื่อน และสิ่งแปลกปลอมเข้าหู ตา คอ จมูก, ขาหัก,…
กระดูกหัก ข้อเคล็ด ข้อเคลื่อน
และสิ่งแปลกปลอมเข้าหู ตา คอ จมูก
กระดูกหัก ข้อเคล็ด ข้อเคลื่อน
กระดูกหัก
ความหมาย ภาวะที่กระดูกได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ส่งผลให้กระดูกไม่สามารถ
รองรับน้ าหนักได้ และเกิดการหักขึ้น
สาเหตุของกระดูกหัก
เกิดจากอุบัติเหตุ
ประสบอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม รถชน รถคว่ำ เป็นต้น ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ได้รับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหว เช่น จากการเล่นกีฬา
ถูกตีหรือได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง
การตกลงมาจากที่สูง หรือการตกลงมากระแทกกับพื้นที่แข็งมาก
ในกรณีของเด็กที่กระดูกหัก อาจเกิดจากการถูกทารุณกรรม
เกิดจากพยาธิสภาพ (pathological fracture)
ในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อถูกแรงกระแทกเพียงเล็กน้อยก็จะมีโอกาสที่กระดูกจะหักได้ง่าย
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
1.ข้อมูลทั่วไป:
2.อาการสำคัญ (Chief complaint: C.C.): อาการสำคัญ 1-3 อาการและระยะเวลาที่มี
อาการ
3 อาการเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present Illness: PI)
4 การเจ็บป่วยในอดีต (Past History: PH)
ตรวจร่างกาย
.1 ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิต และความเข้มข้น
ของออกซิเจนในเลือด (O2 saturation)
2 ดู: อาการบวมที่ได้รับบาดเจ็บ มีรอยช้าและเลือดออกจากผิวหนัง ดูภาวะซีด (pallor) อวัยวะผิดรูป (deformity)
คลำ: จับกระดูกอาจได้ยินเสียงกระดูกหักเสียดสีกันกรอบแกรบ , ประเมินการไหลเวียน
เลือดส่วนปลาย ประเมินอาการชา คล าชีพจรส่วนปลาย
4.ขยับ: ประเมิน ROM ของผู้ป่วย
5 วัด: กรณีที่เป็นกระดูกหักแบบปิด
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การทำ MRI หรือ X-Ray เพื่อดูตำแหน่งที่หัก และประเภทของการหัก
แนวทางการรักษา
ห้ามดึงข้อหรือจัดกระดูกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง
หากจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า ควรใช้กรรไกรตัดตามตะเข็บผ้า
ใช้วัสดุที่พอหาได้หรือดามเฝือกชั่วคราว
ห้ามเลือดผู้ป่วย โดยใช้ผ้าสะอาดปิดแผล หากเลือดยังไม่หยุดไหล ให้กดห้าม เลือด
ประคบบริเวณที่บาดเจ็บด้วยความเย็น และยกอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บให้สูง
ทำความสะอาดแผล โดยใช้หลัก sterile technique หากผิวหนังเปิดออก ควรรินน้ำสะอาดล้างแผลและปิดแผลด้วยผ้าสะอาด
ประเมินการไหลเวียนเลือดของผู้ป่วย โดยกดเบาๆ เหนือบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
ส่งต่อโรงพยาบาลโดยเร็ว
การใส่เฝือกชั่วคราว โดย ควรเลือกใช้วัสดุสำหรับทำเฝือกชั่วคราว มัดเฝือกกับอวัยวะที่หักให้แน่นพอที่จะประคองส่วนที่หักได้ จัดวางตำแหน่งให้เหมาะสม บริเวณที่เข้าเฝือกจะต้องจัดให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด
อาการ
รู้้สึกปวดกระดูกหรือรอบ ๆ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
เกิดอาการบวมบริเวณกระดูกที่ได้รับบาดเจ็บ ยังเกิดรอยช้ำและเลือดออกจากผิวหนัง
อวัยวะผิดรูป
เคลื่อนไหวแขนขาได้น้อย หรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
รู้สึกชา และเกิดเหน็บชา
ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดกระดูกทิ่มผิวหนังออกมา
ข้อเคล็ด/ข้อแพลง (Sprain)
หมายถึง การที่ข้อต่อมีการเคลื่อนตัวมากเกินไป ทำให้เนื้ออ่อนๆ ที่อยู่รอบข้อต่อ
สาเหตุ
การหกล้ม ข้อบิด ถูกกระแทก ตกจากที่สูง หรือยกของหนัก หรือจากการเล่นกีฬา
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
1.ข้อมูลทั่วไป
2.อาการสำคัญ (Chief complaint: C.C.):
3 อาการเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present Illness: PI)
4 การเจ็บป่วยในอดีต (Past History: PH)
. ตรวจร่างกาย
1 ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิต และความเข้มข้น
ของออกซิเจนในเลือด (O2 saturation)
2 ดู: อาการบวม หรือรอยฟกช้ าบริเวณที่มีข้อเคล็ด
3 คลำ: ร้อนบริเวณที่มีข้อเคล็ด
4 ขยับ: ประเมิน ROM ของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีข้อเคล็ดจะเคลื่อนไหวข้อไม่ได้จะมีอาการเจ็บ แสดงว่าเส้นประสาทถูกฉีกขาดไปด้วย
. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
X-Ray เพื่อดูต าแหน่ง และความรุนแรงของข้อเคล็ด
การรักษาโรคเบื้องต้นของข้อเคล็ด
พักการใช้ข้อ ให้ข้อนั้นอยู่นิ่งๆ ขยับเขยื้อนให้น้อยที่สุด
ใช้ผ้าพันส่วนที่บวม เพื่อลดการบวม จำกัดการเคลื่อนไหว
ใน 48 ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็น 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง
ถ้าปวดมาก ให้ทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรือIbruprofen
ในหลังบาดเจ็บ 48 ชั่วโมง หรือเมื่อข้อบวมเต็มที่แล้ว ให้ประคบด้วยน้ำอุ่นจัดๆ นาน 15-30 นาที วันละ 3-4 ครั้ง อาจใช้ขี้ผึ้ง น้ำมันระกำ ยาหม่องหรือเจลทาแก้ข้ออักเสบ
การใช้อุปกรณ์ช่วย อาจให้ผู้ป่วยใช้อุปกรณ์แบบสวมพยุง ข้อเท้า (Brace) หรือใช้ไม้เท้าช่วยพยุงร่างกายในขณะเคลื่อนไหว
ถ้าเคลื่อนไหวข้อนั้นไม่ได้ หรือสงสัยกระดูกแตกร้าว หรือเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อขาด หรือดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นให้รีบส่งต่อโรงพยาบาล
อาการ
1.บริเวณที่เป็นจะบวมและร้อน
2.เจ็บปวดมากและถ้ากดดูจะยิ่งเจ็บมาก
3.ข้อต่อบริเวณนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้
4.อาจเกิดอาการชา
ข้อเคลื่อน/ข้อหลุด (Dislocation)
หมายถึงการหลุดของข้อออกจากตำแหน่งปกติ ทำให้เยื่อหุ้มข้อนั้นมีการฉีกขาดหรือมีการยึดของกล้ามเนื้อ การที่ข้อเคลื่อนอาจมีอันตรายต่อเส้นประสาทและหลอดเลือดใกล้เคียง
สาเหตุ
เกิดจากความพิการแต่กำเนิด พยาธิสภาพ หรือการกระแทกที่บริเวณข้อ เอ็นที่หย่อนยาน และมีแนวโน้มที่จะเป็นข้อเคลื่อนหลังจากเกิดอุบัติเหตุ
เกิดจากอุบัติเหตุ
เกิดจากกีฬาที่มีการปะทะกัน
เกิดจากการถูกตี หกล้ม หรือการเหวี่ยง การบิด หรือกระชากอย่างแรงที่ข้อนั้น
การประเมินภาวะสุขภาพ
การซักประวัติ
1 ข้อมูลทั่วไป
2 อาการสำคัญ (Chief complaint: C.C.)
3 อาการเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present Illness: PI)
.4 การเจ็บป่วยในอดีต (Past History: PH)
ตรวจร่างกาย
1 ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ ความดันโลหิต และความเข้มข้น
ของออกซิเจนในเลือด (O2 saturation)
2 ดู: ข้อมีรูปร่างผิดปกติไปจากเดิม สีของบริเวณข้อที่ได้รับบาดเจ็บเปลี่ยนไป มีอาการบวม
3 คลำ: กดเจ็บ จากการฉีกขาดของเอ็น พังผืด และเนื้อเยื่อที่หุ้มรอบข้อต่อตรงตำแหน่งที่หลุด อาจคลำพบปลายหรือหัวกระดูกที่เคลื่อนออกมา หากบาดเจ็บที่เส้นเลือดคลำชีพจรส่วนปลายได้ลดลง หรืออาจคลำไม่ได้ มีอาการชา
.4 ขยับ: ประเมิน ROM ของผู้ป่วย เนื่องจากเคลื่อนไหวข้อไม่ได้ หรือท าได้น้อยมาก ไม่
สามารถเคลื่อนไหวข้อได้ตามปกติ
5 วัด: ความยาวของแขนหรือขา ข้างที่ได้รับบาดเจ็บอาจสั้นหรือยาวกว่าปกต
. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ: MRI หรือ X-Ray เพื่อดูต าแหน่ง และความรุนแรงของข้อเคลื่อนหลุด
การรักษาเบื้องต้นข้อเคลื่อน
ใช้วัสดุที่หาได้หนุนหรือประคองข้อ และกระดูกที่เคลื่อนให้อยู่ในท่าที่สบาย หรือเจ็บน้อยที่สุดก่อน พบแพทย์
ใช้ผ้าพยุงหรือดามไว้ ให้ส่วนนั้นให้อยู่ในท่าพัก ให้ข้อนั้นอยู่นิ่งๆ ในท่าที่เป็นอยู่
ประคบด้วยน้ แข็งบริเวณข้อ
ถ้าเป็นข้อเคลื่อนครั้งแรก อย่าพยายามดึงให้เข้าที่เอง
ถ้าปวดมากให้ทานยา Ibuprofen (Advil) หรือ Acetaminophen (Tylenol)
NPO เผื่อกรณีที่จำเป็นต้องมีการรักษาโดยการผ่าตัด
ส่งต่อโรงพยาบาล
“RICE”
การพัก (Rest)
การใช้ความเย็น (Ice)
การพันผ้ายืด (Compression bandage)
การยก (Elevation)
อาการ
1.บวม, ปวด, กดเจ็บบริเวณข้อ
2.ข้อมีรูปร่างผิดปกติไปจากเดิม
3.การเคลื่อนไหวข้อทำไม่ได้ หรือทำได้น้อยมาก
4.มีการหดสั้นของอวัยวะ เช่น แขน หรือขา
5.อาจคลำพบปลายหรือหัวกระดูกที่เคลื่อนออกมา
6.การที่ข้อเคลื่อน อาจมีอันตรายต่อเส้นประสาท
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา หู คอ จมูก
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
ภาวะที่เศษวัตถุหรือสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น ผงดิน ทราย เส้นใย เศษเหล็ก เศษไม้เล็กๆ แมลง หรือขน
ตา เป็นต้น ปลิวหรือกระเด็นเข้าตา
อาการและอาการแสดง
เคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล ตาแดง
อาจติดเชื้ออักเสบเป็นหนอง
อาจทำให้กลายเป็นแผลที่กระจกตา หรือลุกลามเข้าไปในลูกตา ทำให้ลูกตาอักเสบ ตาเสียได้
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าตา
การระคายเคืองเล็กๆ น้อยๆ
1.ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา
กระพริบตาเร็วๆ เพื่อให้สิ่งที่เข้าตาหลุดออกมา
ล้างตาด้วยน้ าสะอาด
ใช้ส าลีหรือผ้าชุบน้ าหมาดๆ เช็ดตา
ใช้น้ำตาเทียม (Artificial tears)
ถ้าตาแดงอักเสบให้ป้ายหรือหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ
สิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่ หรือที่มีอันตราย
สังเกตสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในตา อย่าพยายามที่จะเอาวัตถุด้วยตัวเอง
ล้างตาด้วยวิธีน้ำไหล (flowing water) ใช้0.9% Normal saline หรือ Boric acid 3%
การเขี่ยเอาสิ่งแปลกปลอมออก
ที่หนังตาบน (upper eye lid) ให้จับหนังตาบนด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ แล้วพับหนังตาขึ้น
ที่หนังตาล่าง (lower eye lid) กดหนังตาล่างด้วยนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้แล้วดึงลงข้างล่าง
พร้อมบอกให้ผู้ป่วยเหลือบตามองสูง
ส่งต่อโรงพยาบาล
ข้อควรระวัง อย่าสะกิดหรือสัมผัสกับตาด าด้วยนิ้ว และควรใช้น้ าดื่มในการล้างตา เพื่อให้แน่ใจว่าน้ าที่
ใช้สะอาด
สิ่งแปลกปลอมเข้าหู
สิ่งแปลกปลอมเข้าหูพบได้ทั่วไป ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กเกิดจากความซุกซน อยากลองและอยากรู้ในผู้ใหญ่ ปัญหาสิ่งแปลกปลอมเกิดจาก นิสัยส่วนตัว และความเคยชินที่ชอบจะปั่นหู แคะหู
อาการและอาการแสดงของสิ่งแปลกปลอมเข้าห
ไม่มีอาการ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต
เศษพืช หรือเมล็ดผลไม้ติดอยู่นานๆ ท าให้ช่องหูอักเสบ ปวด หนองไหล และหูตึง
สิ่งแปลกปลอมชิ้นโต อุดแน่น ท าให้หูตึง
สิ่งมีชีวิตคลานเข้าไปกระแทกช่องหูหรือแก้วหู รู้สึกรำคาญและเจ็บ
สิ่งของกลิ้งไปมา แมลงดิ้น ทำให้มีเสียงในหู เวลาอ้าปาก หุบปาก หรือเคี้ยวอาหารจะมีเสียงดังขลุกขลักในหู
เลือดออก พบในของแหลมเข้าไป หรือจากอุบัติเหตุ เศษเหล็ก เศษลูกระเบิดหรือลูกปืนที่เข้าในหู
อาการที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าควรส่งต่อ
เริ่มมีอาการเจ็บหรือรู้สึกปวดในหูมากขึ้น
ไม่สามารถนำเอาวัตถุแปลกปลอมออกจากหูได้
ได้ยินเสียงผิดปกติในหู
มีอาการแดงหรือบวมบริเวณหู
มีของเหลวไหลออกจากหู
อาการที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงหรือเกิดบ่อย
มีอาการอื่น ๆ ปรากฏเพิ่มเติม เช่น การได้ยินเสียงลดลง มีเลือดออก หรือเวียนศีรษะ
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าหู
ถ้าสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมได้ด้วยตาเปล่าชัดเจน และไม่ได้เป็นของแข็ง ให้ใช้ปากคีบ
แนะนำผู้ป่วยห้ามใช้ไม้พันสำลี ก้านไม้ขีดไฟ หรือวัตถุอื่นใด เขี่ยวัตถุออกเอง
ให้ผู้ป่วยเอียงเอาหูข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมลงต่ำ
หากเป็นแมลงเข้าหู ให้เอาศีรษะข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมขึ้น และใช้น้ำอุ่น น้ำมันทาตัวเด็ก น้ำ
มะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง กลีเซอรีนโบแรกซ์ยาหยอดหู หรือน้ำมันพืชใส่ไปในรูห
ห้ามใช้น้ำหรือน้ำมัน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด
การล้างออกด้วยน้ำ (ear irrigation)
การดูดออก (suction catheter) ส าหรับสิ่งแปลกปลอมที่ไม่มีชีวิต
การเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากหูของเด็กเล็ก ควรพูดปลอบอย่างนุ่มนวลให้เด็กอยู่ใน
ภาวะสงบและไม่ตกใจกลัว
หลีกเลี่ยงการใช้น้ าหรือน้ ามันในการน าเอาวัตถุอื่น ๆ
ถ้าเป็นถ่านใส่นาฬิกาหรืออุปกรณ์ภายในบ้านที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมเล็ก ควรรีบเอาออกให้เร็วที่สุด
สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
อาการและอาการแสดงของสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
น้ำมูกหรือหนองไหลจากจมูกข้างเดียว เป็นๆ หายๆ
จามระคายเคืองจมูก
จมูกมีกลิ่นเหม็น เนื่องจากมีหนองปน
คัดแน่นจมูก
ปวดจมูกข้างเดียวแบบเป็นๆ หายๆ และมักหายใจทางปากตลอดเวลา
มีเสมหะไหลลงคอ ไอบ่อยๆ
สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกพบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกมักจะเป็นสิ่งของที่นุ่มกว่าเช่น เศษกระดาษทิชชู หรือฟองน้ า อย่างไรก็ตามสามารถพบลูกปัดหลากสีในจมูกของผู้ป่วยเด็กได้เช่นกัน
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
ใช้มือปิดรูจมูกอีกข้างแล้วสั่งน้ำมูกแรงๆ ห้าม! ใช้
คีมหรือเครื่องมือต่างๆ
หากสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นมีผิวที่ขรุขระ และหยิบจับด้วยเครื่องมือได้ง่ายก็สามารถใช้ forceps
กรณีที่สั่งน้ำมูกแล้วสิ่งแปลกปลอมไม่หลุดออกมา หรือสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึก ให้รีบส่งต่อทันที
สิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
สิ่งแปลกปลอมที่อุดกั้นทางเดินลมหายใจเกิดขึ้นบ่อย สิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่มักติดค้างที่กล่องเสียงซึ่งเป็น ตำแหน่งแคบที่สุดของทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอุดกั้นอย่างสมบูรณ์และเฉียบพลัน
สาเหตุของการเกิดสิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
ความเผอเรอา กระดูกไก่ กระดูกเป็ด กิน
อาหาร โดยไม่ระวัง
อายุของเด็ก เด็กชอบหยิบ ของทุก
ชนิดที่ไม่ใช่อาหารเข้าปากจึงติดคอได้
อื่นๆ เช่น อุบัติเหตุระหว่างทำฟัน ผ่าตัดในช่องปาก ดมยาสลบ เป็นต้น
อาการและอาการแสดงของสิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
พูดไม่ได้ไปชั่วขณะ
มีอาการเจ็บคอ
ถ้าชิ้นโตจะอุดแน่นหายใจไม่ออก หอบ ริมฝีปากเขียวคล้ำ ตัวเขียว ทุรนทุราย
อาการเริ่มแรกจะส าลัก ไออย่างรุนแรงเสียงดังกังวาน หายใจเสียงดัง หายใจลำบากคล้ายหอบหืดไอมีเสมหะปนเลือดหรือหนอง
การรักษาโรคเบื้องต้นของสิ่งแปลกปลอมเข้าคอ
ซักประวัติเกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอม
ให้ผู้ป่วยอ้าปากกว้าง ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมชัดเจน
ถ้าเป็นก้างหรือกระดูกขนาดเล็ก ให้ดื่มน้ำมากๆ กลืนก้อนข้าวสุก /ขนมปังนุ่มๆ
ห้ามใช้มือแคะ หรือล้วง
วิธีการช่วยเหลือเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าคอชนิดรุนแรง
เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
1.จับเด็กคว่ำไว้บนขา จัดศีรษะต่ำกว่าลำตัว
2) ใช้มือข้างที่ถนัดตบหลังเด็ก ที่กลางสะบักด้วยส้นมืออย่างแรง 5 ครั้ง
3) กลับตัวเด็กมานอนหงาย
4.ใช้ 2นิ้วกดกลางหน้าอก ต่ำกว่าหัวนมเล็กน้อยกระแทก 5 ครั้ง
5) ท าสลับไปมาระหว่างการตบหลัง 5 ครั้งและการกดกระแทกหน้าอก 5 ครั้งจนเด็กร้องได้
เด็กโต หรือผู้ใหญ่
1) ใช้วิธีคุกเข่าในการช่วยเหลือเด็กการยืนในการช่วยเหลือผู้ใหญ่ โอบรอบใต้รักแร้แล้วรัดกระตุกที่หน้าท้อง กำมือไว้เหนือบริเวณสะดือแต่ใต้ลิ้นปี่ แล้วให้รัดกระตุกขึ้น
2) คนอ้วนหรือหญิงมีครรภ์ ให้วางมือที่กลางหน้าอกเหนือลิ้นปี่เล็กน้อย กดแรงๆ บริเวณหน้าอกติดต่อกัน6-10 ครั้ง
3) กรณีหมดสติให้นอนหงาย วางโคนฝ่ามือถัดจากซี่โครงซี่สุดท้าย วางอีกมือข้างบน
กดแรงๆ เข้าด้านในและขึ้นข้างบน 5 ครั้ง
ถ้ามองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมเลย ควรส่งต่อโรงพยาบาลทันที
หลังจากเอาสิ่งแปลกปลอมออก ให้ส่งต่อโรงพยาบาล