Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus - Coggle Diagram
โรคเบาหวาน Diabetes Mellitus
ชนิดของเบาหวาน
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM)
เกิดจากภาวะดื้อ insulin ร่วมกับความผิดปกติในการหลั่ง insulin ของตับอ่อน ซึ่งเป็นโรคเบาหวานที่พบได้บ่อย มักเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ความอ้วน การขาดการออกกำลังกาย การดื้อต่อ insulin ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสในเลือดไปใช้ได้
สาเหตุ : เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปสารอาหารจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดร่างกายก็ ขับฮอร์โมนชื่อ insulin เพื่อนำน้ำตาลเข้าเซลล์ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกันได้แก่ ตับ กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมันมีความทนทานต่อ insulin เพิ่ม [insulin resistance] และความผิดปกติเกี่ยวกับการหลั่ง insulin [impaired beta -cell function] ของตับอ่อน
โรคเบาหวานชนิดที่ 3 (gestational diabetes mellitus, GDM)
เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์โดยมีการเพิ่มของฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้าน insulin ได้แก่ human placenta lactogen (HPL),progesterone, cortisol และ prolactin เกิดภาวะ insulin resistance มากขึ้นในไตรมาสท่ี 2 และ 3 ตามลำดับ ส่งผลให้เกิดเป็นเบา หวานขณะตั้งครรภ์ในผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการเกิดเบาหวา
สาเหตุ : การมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน,ความเครียดสูง,ไขมันในเลือดและตับ,ระดับของคอเลสเตอรอลแอลดีสูงและระดับของคอเลสเตอเอชดีแอลต่ำ,การทางานของต่อม ไทรอยด์ผิดปกติ,การทำงานของตับอ่อนที่ผลิต insulin ผิดปกติ
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM)
ชนิดที่เกิดจากการทำลายเบต้าเซลล์ ของตับอ่อนทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิต insulin ได้เลย ส่วนใหญ่เกิดจาก autoimmune ความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อ ไวรัสหรือแบคทีเรีย การได้รับสารพิษบางชนิดหรือการเกิดภาวะเครียด สามารถพบได้ในทุกวัย แต่ส่วนใหญ่พบมักพบในเด็ก
สาเหตุ : เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไปทำลายเซลล์ของตับ จนทำให้ความสามารถในการสร้าง insulin เพื่อลดน้ำตาลในเลือดลดลง
โรคเบาหวานชนิดที่ 4 โรคเบาหวานที่มีสาเหตุอื่นๆ (specific types of diabetes due to other causes)
ทำให้มีการทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนได้รับบาดเจ็บการผ่าตัดตับอ่อน มะเร็ง การได้รับยาหรือสารเคมี ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนก่อให้เกิดภาวะดื้อต่อ insulin
สาเหตุ : เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น โดยการวินิจฉัยเบาหวาน
เป็นกลุ่มโรคของความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตซึ่งเปนผลจากความบกพร่องของการหลั่งง insulin หรือการ ออกฤทธ์ิของ insulin หรือทั้งสองสาเหตุทำให้เกิดระดับนำตาลในเลือดสูงภาวะระดับ น้ำตาลสูงเรื้อรังส่วนเก่ียวข้องกับความเสียหายในระยะยาว การสูญเสียหน้าท่ี และความล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ ประสาท หัวใจและหลอดเลือด
น้ำตาลสะสม หรือ น้าตาลเฉลี่ย
หรือฮีโมโกลบินวันซี (HbA1C) คือ ค่าที่ช่วยบ่งชี้การควบคุมระดับน้ำตาล ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และช่วยแพทย์ในการเฝ้า ติดตามผู้ป่วยเบาหวานว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียง ควบคู่ไปกับการดูระดับน้ำ ตาลหลังงดอาหาร 6-8 ชั่วโมง (Fasting plasma glucose; FPG) โดย แนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
พยาธิสภาพของการเกิดโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักพบว่ามีความผิดปกติที่ตัวรับ (receptor) ของเซลล์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลกลูโคสไปใช้ใด้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง คือภาวะดืออินซูสิน ขณะเดียวกันร่างกายจะปรับให้อยู่ในภาวะที่มีอินซูสินสูงมาก (Hyperinsulinemia) ส่งผลให้เบต้าเชลล์ของตับอ่อนไม่สามารถผลิต insulinในระดับปกติได้ในระยะต่อมาจึงมี insulin น้อยลง เป็นผลให้กลูคากอนเพิ่มขึ้นมีผลไปเร่งการสลายไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง มากขึ้น จนกระทั้งเกิดขีดกักกันของไต (Renal threshold) น้ำตาลจะถูกขับออกมาทาง ปัสสาวะในขณะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก
อาการเริ่มแรกของเบาหวาน
อาการของระดับ
น้ำตาลในเลือดสูง
รับประทานเก่งขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ถ้าระดับน้ำตาลสูงนานๆ และยังไม่ได้รับการรักษาจะมีน้ำหนักตัวลดลงตามมา
อาการของ
ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
เช่น ตามัว ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
อาการของน้ำตาลสูงเฉียบพลัน
เช่น อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หายใจหอบเหนื่อย ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลงหรือหมดสติ
อาการหรือโรคที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน
แผลเรื้อหรือแผลหายช้ากว่าปกติ โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อราที่ช่องคลอด การติดเชื้อที่ผิวหนัง
ตรวจพบการตรวจเช็คสุขภาพหรือก่อนทำการผ่าตัด
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
โรคตา จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจกจากเบาหวาน
โรคไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน ไต อวัยวะซึ่งทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด
โรคความดันโลหิตสูง
โรคผิวหนัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ
โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
ปลายประสาทเสื่อม
โรคในช่องปาก
ภาวะแทรกซ้อนชนิดเฉียบพลัน (Acute complication)
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจรุนแรงเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด ภาวะเลือดเป็นกรดจากสาร คีโตน (Diabetic Ketoacidosis,DKA) ภาวะเลือดข้นจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงมาก (Hyperglycemic Hyperosmolar Non-ketotic Syndrome, HHNS) ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง (Chronic complication)
แทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ตามระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวาน ยิ่งเป็นโรคนานจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้มากขึ้น การเกิดภาวะนี้เป็นผลจากปัจจัยทั้งที่สัมพันธ์กับเบาหวานโดยตรงและปัจจัยที่ไม่สัมพันธ์กับเบาหวาน ได้แก่ ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดและ HbA1c ในเลือด ความดันโลหิต พันธุกรรม ภาวะไขมันสูงในเลือด การสูบบุหรี่ ภาวะ insulin สูงในเลือด และภาวะดื้อ insulin พบมากในผู้เป็นเบาหวานสูงอายุ เพราะมีอายุยืนขึ้น
กลไกการเกิดโรคแทรกข้อนในผู้ป่วยเบาหวาน
Polyal pathway เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง กลูโคสเข้าไปในเซลล์
การกระตุ้น protein kinase C (PKC) และ diacylglycerol (DAG) pathway โดยระดับน้ำตาลเลือดสูงขึ้นอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของหลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด การสร้าง basement membrane และ growth factor ต่างๆ
Neoenzymatic slycation ของโปรตีน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง กลูโคสจะจับกับโปรตีนโดยไม่ต้องอาศัยเอนไซม์
การเกิด artherosclerosis กลไกการเกิดเริ่มจาก small dense LDL (low density lipoprotein) เข้าไปในผนังหลอดเลือดโดยง่าย ถ้ามี endothelia ผิดปกติ
ฮอร์โมนจาก islets of Langerhans
ตับอ่อน (Pancreas) ตั้งอยู่ที่ด้านบนซ้ายของช่องท้อง โดยวางตัวจากส่วนโค้งของลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม (duodenum ) ถึงม้าม (spleen) และด้านหลังของกระเพาะ (stomach) มีลักษณะค่อนข้างแบน มีความยาวประมาณ 12 –15 เซนติเมตร ตับอ่อนทำหน้าที่ทั้งเป็นต่อมมีท่อคือการสร้างน้ำย่อยไปที่ลำไส้เล็กและเป็นต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมนเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนจะรวมกันเป็นกลุ่มมีชื่อว่า ไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ( Islets of Langerhans ) มีปริมาณ
1 – 3 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อตับอ่อนทั้งหมด
ฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin )
สร้างจากเบต้าเซลล์ ( beta cell ) ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่รอบนอกของกลุ่มเซลล์ islets of Langerhans
อวัยวะเป้าหมาย ตับ,กล้ามเนื้อ
หน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด (ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ 80 - 100 มิลลิกรัม / 100 ลบ.ซม. ) โดยเพิ่มการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ตับ กระตุ้นให้เซลล์ตับและเซลล์กล้ามเนื้อเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจน( โมเลกุลของคาร์์โบไฮเดรตที่สร้างจาก
ฮอร์โมนกลูคากอน ( Glucagon )
สร้างจาก แอลฟาเซลล์( alpha cell ) ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ส่วนในและเป็นเซลล์ส่วนใหญ่ของกลุ่มเซลล์ไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์( ดูภาพด้านบน )
อวัยวะเป้าหมาย ตับ,กล้ามเนื้อ
หน้าที่ เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นให้เซลล์้ตับและเซลล์กล้ามเนื้อเปลี่ยนไกลโคเจนให้เป็นกลูโคสปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด เพิ่มการสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนและกรดไขมัน
สาเหตุ
การตั้งครรภ์
เนื่องจากขณะตั้งครรภ์จะมีการสร้างฮอร์โมนจากรกซึ่งมีผลต่อต้านการทำงานของอินซูลิน
ความผิดปกติของตับอ่อน
ตับอ่อนจะทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลินดังนั้นหากตับอ่อนมีการเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติก็ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วย
โรคอ้วน
ไขมันส่วนเกินจะสร้างสารที่ทำให้การตอบสนองตของเนื้อเยื่อร่างกายต่ออินซูลินไม่ดีหรือนัยหนึ่งชึ่งเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
พฤติกรรม
เช่น การไม่ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
ผู้สูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ตับอ่อนจะเสื่อมการทำงานทำให้การสังเคราะห์และการหลังอินซูลินลดลง
พันธุกรรม (Genetic)
เบาหวานมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่งแต่ผู้ที่มีญาติสายตรง
วิธีการป้องกัน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควบคุมน้ำหนักให้คงที่
รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็น
รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
แนวทางการรักษา
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีทางแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ในเบื้องต้นแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรงของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย โดยการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินนั้นผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามแพทย์ สั่ง และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันใหม่นั่นเอง
วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบำบัด
การรักษาโรคเบาหวานด้วยธรรมชาติบำบัดนั้นเป็นวิธีแบบค่อยเป็นคอยไป และเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรก หรือผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก โดยวิธีธรรมชาติบำบัดนั้นจะช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และหากทำควบคู่กับการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินด้วยแล้วก็จะยิ่งได้ผลดีมากทีเดียว
การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวาน
.เฝ้าติดตามประเมินระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการตรวจปัสสาวะก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน บันทึกอย่างต่อเนื่อง
ดูแลอาหารบำบัดให้ได้ตรงกับที่ได้คำนวณและกำหนดไว้ สังเกตจำนวนอาหารที่ผู้ป่วยรับประทานกับอาการของโรคเบาหวาน คอยดูแลปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยโดยที่ผู้ป่วยเข้าใจ มีความตั้งใจ และให้ความร่วมมือ
เฝ้าระวังการติดเชื้อด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการมีไข้อาการคันที่อวัยวะเพศ และผิวหนังทั่วไป
ดูแลกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ การอาบน้ำ แปรงฟัน การขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ช่วยทำความสะอาดให้ในรายช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และสอนให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญในการรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป เพื่อที่จะทำเองได้เมื่อมีอาการดีขึ้นและกลับไปอยู่บ้าน
การดูแลเท้า สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ทำความสะอาดเท้า ซอกนิ้วเท้าและซับให้แห้งทุกครั้งที่อาบน้ำหรือเมื่อล้างเท้า ถ้ามีแผลควรปรึกษาแพทย์มากกว่ารักษาเอง ตัดเล็บให้สั้นระวังเล็บขบ สวมรองเท้าขนาดพอดี และสวมรองเท้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน อย่างวางกระเป๋าน้ำร้อนบริเวณเท้าที่รู้สึกชา ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง
ฉีดยาอินซูลิน หรือให้ยารับประทานตามแผนการรักษา และการสังเกตอาการหลังใช้ยา เช่น ง่วงซึม ไม่รู้สึกตัว ช็อคจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาหารที่ควรบริโภค
อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
ควรได้รับเช่นเดียวกับคนทั่วไป ไม่ควรงดหรือจำกัดมากเกินไป
อาหารจำพวกผัก
ควรรับประทานมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผักใบเขียวที่มีกากใยอาหารสูง เพราะว่าใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในร่างกายได้ดี
อาหารจำพวกเนื้อสัตว์(ไม่ติดมัน)
หากเป็นไปได้ให้ทานแต่น้อย แต่ควรทานทุกมื้อ โดยอาจเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์มาเป็นเนื้อปลาและเต้าหู้แทน
อาหารประเภทไขมัน
การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหารเป็นส่วนสำคัญ ผู้ป่วยเป็นเบาหวานควรใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันถั่วลิสง รวมไปถึงน้ำมันปลามในการประกอบอาหาร และควรงดการใช้น้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าว