Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิวิทยาทั่วไป (General pathology), image, image, image - Coggle Diagram
พยาธิวิทยาทั่วไป
(General pathology)
Terminology (คำศัพท์)
Exudation การรั่วของส่วนประกอบของเลือด
Edema การบวม
Effusion ของเหลวภายในช่องต่างๆ ของร่างกาย
Inflammation การอักเสบ
เกล็ดเลือดหลั่งโปรตีนเกิดการแข็งตัวที่บริเวณแผล
Mast cells หลั่งปัจจัยที่เป็นสื่อกลางในการขยายหลอดเลือดและการหดตัวของหลอดเลือด โดยส่งเลือด พลาสมาและเซลล์ไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
แบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ เข้าสู่บาดแผล
Neutrophils หลั่งปัจจัยที่ฆ่าและย่อยสลายเชื้อโรค
Neutrophils และ Macrophages กำจัดเชื้อโรคโดยการทำลายเซลล์
Macrophages หลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า cytokines ซึ่งดึงดูดเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันไปยังเซลล์ใกล้เคียงและกระตุ้นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
การตอบสนองต่อการอักเสบจะดำเนินต่อไปจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะถูกกำจัดและซ่อมแซมบาดแผล
Symptoms อาการ
Signs อาการแสดง
อาการแสดงของการอักเสบ
1.Heat ร้อน
Redness แดง
Swelling บวม
Tenderness บริเวณที่กดเจ็บ
Pain ปวด
Healing การซ่อมแซม
Regeneration การงอกใหม่
Fibrosis การเกิดพังผืด
ย่อยสลาย basement membrane หลอดเลือด
เคลื่อนตัวของเซลล์บุผนังหลอดเลือด (endothelial cell) ไปยังบริเวณที่มีการกระตุ้น
เพิ่มจำนวนเซลล์บุผนังหลอดเลือด (endothelial cell)
การเจริญเติบโต(Maturation) , การจัดเรียงตัว(organization)ของ endothelial cell
Type of inflammation
การอักเสบแบบเฉียบพลัน
(Acute inflammation)
จะเกิดขึ้นรวดเร็วภายในระยะเวลาเป็นวินาทีหรือเป็นนาที หลังจากได้รับสิ่งกระตุ้นและคงอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 วัน แต่มักไม่เกิน 1 สัปดาห์ ลักษณะสำคัญ คือ การบวมของเนื้อเยื่อ (Edema) มีสารน้ำซึ่งมีโปรตีน (Exudate) ภายในเนื้อเยื่อและพบเซลล์อักเสบชนิด Neutrophils
ส่วนการอักเสบแบบเรื้อรัง
(Chronic inflammation)
นั้นจะเกิดนานกว่า อาจเกิดตามหลังการอักเสบแบบเฉียบพลัน หรือเกิดจากร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมบางชนิดก็ได้ ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ ด้าน ลักษณะสำคัญของการอักเสบเรื้อรัง คือ มีการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้น (Fibrosis) มีการสร้างหลอดเลือดขึ้นจำนวนมาก และพบเซลล์อักเสบชนิด Macrophages และ Lymphocytes
การอักเสบแบบปานกลาง
(Sub acute inflammation)
เกิดขึ้นเป็นช่วงระยะเวลา ลักษณะสำคัญของการอักเสบ ไม่มาก
Wound healing (ชนิดของการสมานแผล)
first intention
เป็นการซ่อมแซม บาดแผล ที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค และปากแผลถูกเย็บติดกันด้วยไหมเย็บ การบาดเจ็บที่เกิดแผลจากมีดกรีดนี้ ทำให้เกิดเนื้อตาย จำนวนเล็กน้อย ตรงบริเวณที่ถูกกรีด เยื่อบุผิว และเยื่อ connective tissue รวมทั้งหลอดเลือดถูกตัดขาดจำนวนหนึ่ง บริเวณที่ถูกตัดขาดนี้ ถูกแทนที่ด้วยก้อนเลือดที่แข็งตัว
second intention
แผลมีการทำลายเนื้อเยื่อเป็นจำนวนมากและเป็นบริเวณกว้าง และลึกหรือแผลขนาดใหญ่ที่ ผิวหนัง (skin ulcer) เป็นต้น ทำให้พื้นที่ในการสมานแผล กินบริเวณกว้าง เยื่อบุผิวเจริญเติบโตขึ้นมาปกคลุมได้ไม่เต็มที่มีช่องห่างมากเกินกว่าที่จะสมานแผล ตามแบบแรก ทำให้ต้องสร้าง granulation tissue เป็นจำนวนมาก มาปิดพื้นที่แผลชนิดนี้ เซลล์อักเสบ ต้องทำหน้าที่ในการกำจัดเศษเนื้อตาย เส้นใยไฟบริ้นและน้ำหนองที่พบในบริเวณแผลลึกและกว้างเหล่านี้ การสมานแผลชนิดนี้จะเกิด แรงหดตัว เพื่อให้ขนาดของแผลหดเล็กลง เนื่องจากเป็นเซลล์ไฟโปรปลาส (fibroblast) ชนิดพิเศษมีคุณสมบัติคล้ายเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ เรียกว่า myofibroblast
Neoplasm (เนื้องอก)
Nomenclature
Neoplasia : การเกิดเนื้องอก
Neoplasm : เนื้องอก
Tumor : เนื้องอก
Oncology : เกี่ยวกับเนื้องอก
Benign tumor : เนื้องอกไม่ร้ายแรง
Malignant tumor : มะเร็ง
Cancer : มะเร็งเนื้องอก
เนื้องอกธรรมดา
1.ขอบเขตชัดเจน
ขนาดเล็ก
เติบโตช้า
มีแคปซูล
ไม่รุกราน
ไม่มีเลือดออกและเนื้อร้าย
ไม่แพร่กระจาย
มีลักษณะเซลล์ไม่ต่างจากรุ่นพ่อ แม่
เนื้องอกร้ายแรง
1.ขอบเขตชัดเจน
ขนาดเล็ก
เติบโตช้า
มีแคปซูล
ไม่รุกราน
ไม่มีเลือดออกและเนื้อร้าย
ไม่แพร่กระจาย
มีลักษณะเซลล์ไม่ต่างจากรุ่นพ่อ แม่
ชนิดของมะเร็ง
มะเร็งคาร์ซิโนมา ( Carcinoma )
คือ มะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เยื่อบุ
มะเร็งซาร์โคมา ( Sarcoma )
คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน (Soft Tissue)
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ( Lymphoma )
4.มะเร็งเม็ดเลือดขาว ( Leukemias ) หรือลูคีเมีย
มะเร็งผิวหนัง ( Melanoma )
คือ เป็นมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีผิว
องค์ประกอบ
Differentiation คือลักษณะของเนื้องอกเปรียบเทียบกับเซลล์ปกติ ที่เป็นต้นกำเนิด
1.Well differentiation: รูปร่างลักษณะใกล้เคียงเซลล์ต้นกำเนิด
2.Poorly differentiation: แตกต่างจนแทบจะบอกเซลล์ต้นกำเนิดไม่ได้
3.Moderately differentiation: รูปร่างลักษณะกลาง
Anaplasia เนื้องอกที่รูปร่างและการทำงานแตกต่างจากเซลล์ต้นกำเนิด
▪Pleomorphism: ลักษณะของเซลล์และนิวเคลียสแตกต่างหลากหลายในก้อนเนื้องอก
▪Nuclear hyperchromatism: นิวเคลียสสีเข้มขึ้น จากปริมาณ DNA เพิ่มมากขึ้น
▪ขนาดของนิวเคลียสใหญ่ขึ้
กลไกการเกิดมะเร็ง
ยีนที่เป็นสาเหตุของมะเร็งซึ่งจะเปลี่ยนแปลงมาจากยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย(Proto-oncogenes)
ยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายเกิดการติดเชื้อ ได้รับรังสี สารเคมี จนเกิดเป็นเซลล์ก่อมะเร็ง (Oncogenes)
การแบ่งระยะของมะเร็ง
มะเร็งระยะที่ 0 คือระยะที่มีเซลล์มะเร็งแต่เซลล์ของโรคมะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะบริเวณพื้นผิวของเยื่อบุอวัยวะนั้นๆ
มะเร็งระยะที่ 1 – 2 เรียกว่ามะเร็งระยะต้น
มะเร็งระยะที่ 4 เป็นมะเร็งระยะลุกลามเฉพาะที่ หรือระยะแพร่กระจาย ขึ้นอยู่กับอวัยวะต้นกำเนิด
มะเร็งระยะ 3 เป็นมะเร็งระยะลุกลามเฉพาะที่
อาการและอาการแสดงของมะเร็ง
ตำแหน่งของเนื้องอกและผลกระทบต่อเนื้อเยื่อ(อวัยวะ)ข้างเคียง
การสร้างฮอร์โมนจากเนื้องอกที่ทำลายอวัยวะ
การติดเชื้อแทรกซ้อนหรือเลือดออกในก้อนซึ่งเป็นผลจากเนื้องอก
มีเนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือด เพราะมะเร็งเจริญเติบโตรวดเร็วทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่พอ
การปริแยกของอวัยวะเช่น การปริแยก Hepatic capsule ในมะเร็งตับทำให้เลือดออกในช่องท้อง
Immune System
specific defence mechanism
Lymphocyte มี 2 ชนิดคือ
B-cells
ทำหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำที่เรียกว่า แอนติบอดี โดยที่ B-cell จะถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน แล้วจึงเปลี่ยนเป็น plasma cells เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น(ทำลายสิ่งแปลกปลอมนอกเซลล์)
T-cells
คือ T cells ทำหน้าที่ด้านการตอบสนองทางด้านเซลล์ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือจุลชีพ(ทำลายสิ่งแปลกปลอกในเซลล์)
Active and Passive Immunity
Active immunity คือการเกิดภูมิคุ้มกันภายหลังการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือการให้วัคซีน
Passive immunity คือการเกิดภูมิคุ้มกันจากการได้รับภูมิคุ้มกันโดยตรงโดยที่ไม่ได้สร้างเองและการได้รับแอนติบอดี เช่น เซรุ่ม
Antibody
เป็นสารไกลโคโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองการกระตุ้นของแอนติเจน
มีความจําเพาะเจาะจงกับแอนติเจนมาก
ทําปฏิกิริยากับแอนติเจนที่กระตุ้นให้ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น
Mast Cell, Basophil หลั่ง Histamine
Complement
เป็นกลุ่มของโปรตีนในซีรั่ม ทำให้แบคทีเรียที่ถูก Antibody เกาะอยู่ถูกจับกินได้ง่ายขึ้นและถูกทำให้แตกสลายได้
กลไกป้องกันการรุกล้ำทำลายจากสิ่งแปลกปลอม
Non-specific defence mechanism
▪First line of defense เช่น ผิวหนัง เยื่อบุ สารคัดหลั่ง น้ำตา น้ำลาย Lysosomes เป็นต้น
▪Second line of defense เช่น Phagocytosis Antimicrobial protein Inflammatory response
ABO incompatibility
ภาวะภูมิไวเกิน (Hypersensitivity)
Type I : IgE-Mediated Hypersensitivity
Ag ทำให้ Ab(IgE) จับกับ Mast cell, Basophils หลั่ง Vasoactive mediators ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงอย่างเฉียบพลัน (Systemic Anaphylaxis)
Type II : IgG-Mediated Cytotoxic Hypersensitivity
แอนติบอดีที่ต่อต้านแอนติเจนที่ผิวเซลล์เป็นสื่อกลางในเซลล์
Type III : Immune Complex-Mediated Hypersensitivity
Ag-Ab complex สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ เหนี่ยวนำโดย Neutrophils เช่น ปฎิกิริยาการอักเสบ
Type IV : Cell-Mediated Hypersensitivity
เซลล์ THI ที่ไวต่อการกระตุ้นจะปล่อยไซโตไคน์ ไปกระตุ้น Macrophage, Tc cells
เกิดความเสียหายของเซลล์โดยตรงที่เป็นสื่อกลาง
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลงกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือรุนแรงขึ้น
HIV infection
-Acute infection
การติดเชื้อเฉียบพลัน
-Asymptomatic infection
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการแต่เชื้อ HIV จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคจนมีจำนวนลดลง
-AIDS : CD4 T-cell ลดลง,โรคติดเชื้อฉวยโอกาส
SLE : ภาวะแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
คือ ภาวะที่เม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ โดยปกติเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรค แต่ในคนไข้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิในเม็ดเลือดขาวกลับไปทำลายเซลล์ร่างกาย ตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่างๆที่มันไปทำลาย
คำศัพท์การปลกูถ่ายอวัยวะ(Transplantation)
▪Donor : ผู้ให้อวัยวะ
▪Recipient : ผู้รับ
▪Graft : อวัยวะที่น ามาปลูกถ่าย
▪Autograft (Autologous graft): กราฟท์เนื้อเยื่อของผู้รับเอง
▪Isograft (Syngeneic graft) : ผู้ให้มีพันธุกรรมตรงกับผู้รับ
▪Allograft (Allogeneic graft): ผู้ให้และผู้รับอยู่ใน species เดียวกัน
▪Xenograft (Xenogeneic graft): คนละ species
การสลัดกราฟท์ (GRAFT rejection)
เกิดจากการที่ผู้รับมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อ
แอนติเจนบนเนื้อเยื่อของอวัยวะที่นำมาปลูกถ่ายให้
กระบวนการสลัดกราฟท์
1.Hyperacute rejection การต่อต้านเนื้อเยื่อ/อวัยวะใหม่ ที่เกิดภายใน 2-3นาที หลังการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ/อวัยวะใหม่ เช่น การได้รับเลือดที่มีกลุ่มเลือดต่อต้านกัน ซึ่งจะมีความรุนแรงของปฏิกิริยาสูงสุด
Acute rejection
2.การต่อต้านเนื้อเยื่อ/อวัยวะใหม่ ที่เกิดในสัปดาห์แรก-3เดือน หลังร่างกายที่ได้รับเนื้อเยื่อ/อวัยวะใหม่ เกิดการกระตุ้นที่ NK cell, Macrophage, B lymphocyte
Chronic rejection
3.การต่อต้านเนื้อเยื่อ/อวัยวะใหม่ที่เกิดต่อเนื่อง นานเป็นเดือนๆหรือปี ๆ พบการทำงานของอวัยวะเสื่อมลง โดยไม่พบการสลัดกราฟท์ชัดเจน