Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่6 - Coggle Diagram
บทที่6
โรคจิตหลงผิด (Delusional disorder)
สาเหตุ
1.ด้านจิตใจ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูใน่วงวัยเด็ก ในลักษณะที่ทำให้ขาดความความไว้วางใจต่อโลกภายนอก
2.ด้านสังคม มักพบในกลุ่มอพยพหรือกลุ่มที่ต้องพบกับสภาวะต่างๆที่มีต่อความเครียดสูง และชนั้นที่มีเศรษฐฐานะต่ำ
3.ด้านีวภาพ สารสื่อประสาทในสมองคือสารโดปามีน เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน จะเกิดอาการหูแว่ว ตีความหมายผิดๆ คิดว่าคนอื่นจะทำร้ายตนเอง
อาการ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการใน่วงวัยผู้ใหญ่ เฉลี่ยที่40ปี โดยทั่วไปผู้ป่วยมักดูปกติ ไม่มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดหรือพูดจาสับสน ไม่มีอาการหูแว่ว แต่จะมีอาการหลงผิดที่เด่นชัด
ชนิดของอาการหลงผิด
1.อาการหลงผิดว่าคู่ของตนนอกใจ(Jealous type) ผู้ป่วยจะมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่าคู่ของตนเองนอกใจหรือมีคนอื่น และเชื่ออย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนหรือมีหลักฐานว่าไม่เป็นจริง
2.อาการหลงผิดว่ามีคนปองร้าย(Persecutory type) ผู้ป่วยเชื่อว่าตนเองถูกผู้อื่นจ้องทำร้าย คอยติดตามหรือถูกใส่ร้าย
3.อาการหลงผิดว่ามีคนอื่นหลงรักหรือเป็นคู่รักตนเอง(Erotomanic type) ผู้ป่วยจะเชื่อว่าคนอื่นมาหลงรักตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือดูดีกว่า ความเชื่อแบบนี้มักเกิดขึ้นกะทันหัน
4.อาการหลงผิดว่าร่างกายมีความผิดปกติหรือเป็นโรค(Somatic type) ผู้ป่วยเชื่อว่าร่างกายตนเองผิดปกติหรือโรคบางอย่าง
5.อาการหลงผิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น(Grandiose type) มีความหยั่งรู้พิเศษ มีอำนาจ หรือหลงผิดว่าตนเองเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญ เชื้อพระวงศ์ พระอรหันต์
6.Mixed type มีความหลงผิดมากกว่า1อาการข้างต้น และไม่มีอาการใดโดดเด่น
การรักษา
โรคจิตหลงผิดถือว่าเป็นโรคที่รักษาค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ป่วยมีความเชื่อของตัวเองเป็นสิ่งที่เป็นจริง จึงไม่ไปพบแพทย์รวมถึงปฏิเสธการรักษา ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มารักษา เกิดจากญาติหรือคนใกล้ชิดเป็นคนพามา
ยารักษาโรคจิต เป็นยาที่ใช้ในการรักษา ซึ่งสามารถลดความรุนแรงของอาการหลงผิดได้ โดยพบว่าเมื่อรักษาแล้วผู้ป่วยครึ่งหนึ่งอาการหลงผิดหายไป และร้อยละ20 อาการดีขึ้นแต่ยังหลงเหลืออาการอยู่บ้าง
Autistic disorder (ออทิสติก)
อาการร่วม
อาจพบปัญหาอยู่ไม่นิ่ง ก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง ปัญหาการกิน การนอน
จำนวนหนึ่งอาจมีความสามารถพิเศษ เช่น ความจำ คำนวณ ดนตรี สูงกว่าเด็กปกติ
ไวต่อการรับรู้สิ่งเร้า เช่น เสียงดัง เสียงแหลม
อาจมีภาวะสติปัญญาบกพร่องร่วมด้วย
การแสดงออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสมและควบคุมไม่ได้ เช่น ร้องโดยไม่มีสาเหตุ
การพยาบาล
7.เด็กที่มีพฤติกรรมดีขึ้นแล้ว ควรให้เรียนห้องเรียนพิเศษของโรงพยาบาลก่อนเข้าเรียนโรงเรียนปกติ
4.การฝึกให้เด็กพูดและสามารถสื่อสารความหมายทางภาษาได้ พูดโต้ตอบ ปฏิบัติตามคำสั่งได้
2.การลดพฤติกรรมที่ผิดปกติของเด็ก โดยใช้พฤติกรรมบำบัดและกิจกรรมอื่นๆทดแทน
3.กระตุ้นให้เด็กเข้ากลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน เพื่อพัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์
6.ฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยการใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การออกกำลังกาย
5.มีการให้ยากรณีที่เด็กมีปัญหาด้านการนอน มีพฤติกรรมอยู่ไม่สุข ว่องไว อารมณ์รุนแรง
1.กระตุ้นพัฒนาการที่หยุดยั้งให้เป็นปกติตามวัย
แนวทางการดูแล
10.การรักษาด้วยยา
9.ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ
8.ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
7.ฝึกทักษะสังคม
6.แก้ไขการพูด
5.กิจกรรมบำบัด
4.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
3.ส่งเสริมพัฒนาการ
2.ส่งเสริมความสามารถ
1.ส่งเสริมพลังครอบครัว
สาเหตุ
ในอดีตเคยเชื่อว่าโรคออทิสติกเกิดจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (refrigerator) แต่จากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันยืนยันได้ชัดเจนว่า รูปแบบการเลี้ยงดูไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคออทิสติก
ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนว่าน่าจะเกิดจากการทำงานของสมองผิดปกติ มากกว่าเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม