Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กระบวนการพยาบาลสําหรับการดูแลผู้ป่วยจิตเภท - Coggle Diagram
กระบวนการพยาบาลสําหรับการดูแลผู้ป่วยจิตเภท
การประเมินสภาพ (Assessment)
1.1 การสัมภาษณ์/ ซักประวัติเพื่อประเมินอาการผู้ป่วยเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด
1.2 การตรวจสภาพจิต
นอกจากการสัมภาษณ์/ ซักประวัติ ตรวจร่างกายแล้ว การตรวจสภาพจิตก็เป็นสิ่งสําคัญ และเป็นการช่วยประเมินหรือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ในการตั้งข้อวินิจฉัย ต้องวิเคราะห์ว่าอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนนั้นส่งผลกระทบ
อย่างไรกับผู้ป่วยบ้าง
ปัญหาที่จะพบได้ของผู้ป่วยที่มีอาการประสาทหลอน มีความคิดหลงผิด
1) ขาดความไว้วางใจ เมื่อทำผิด ไม่สมหวัง ก็จะกล่าวโทษผู้อื่น มีความกลัว
วิตกกังวล หรือกลัว มีความไม่เป็นมิตร ก้าวร้าว เกลียดชัง
2) มีความเคลือบแคลงสงสัยในการกระทําของผู้อื่น เจ้าคิดเจ้าแค้น ส่งผลให้อาจเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
3) ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย กระสับกระส่าย อาจเกิดปัญหาในด้านการ สื่อสาร สัมพันธภาพ บกพร่อง แยกตนเองการเกิดอุบัติเหตุ การดูแลตนเอง
4) รู้สึกผิด รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า มีความรู้สึกไร้พลัง มีความคิดฆ่าตัวตาย ส่งผลให้เกิดการทําอันตรายตนเองได
5) ไม่ยอมรับประทานอาหาร หมกมุ่น ไม่สามารถทํากิจกรรมในชีวิตประจําวัน
6) ปัญหาการไม่สามารถปฏิบัติตามแผนการรักษา
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยการพยาบาล
1) เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการหลบหนีเนื่องจากมีอาการหลงผิดว่ามีคนตามฆ่า
2) อาจเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากมีอาการสับสนวุ่นวายจากหลงผิดว่าตนเองต้อง จัดการภารกิจสําคัญต่อประเทศชาติ
3) กิจวัตรประจําวันบกพร่องเนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับอาการหลงผิด
4) มีความบกพร่องด้านการสื่อสารเนื่องจากมีความผิดปกติในกระบวนการคิด
5) ขาดอาหารและน้ํา เนื่องจากปฏิเสธอาหารจากระแวงว่ามียาพิษอยู่ในอาหาร
6) พฤติกรรมถดถอยเนื่องจากการรับรู้ผิดปกติ
7) อาจได้รับอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นเนื่องจากผลของสารเสพติด/การรับรู้สิ่งต่างๆลดน้อยลง/ ถูกคุกคามจากเสียง ภาพ หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นอาการของประสาทหลอน
8) การดูแลตนเองบกพร่อง เนื่องจากไม่มีสมาธ
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
3.1 การวางแผนระยะสั้น
3.2 การวางแผนระยะยาว
การกำหนดวัตถุประสงค์การพยาบาล ทุกแผนการพยาบาล ควรระบุเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ในการดูแลไว้ในลักษณะของพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้น และสามารถเป็นไปได้จริง โดย
เน้นที่ความสอดคล้องกับข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การกำหนดกิจกรรมการพยาบาล
5.1 กิจกรรมการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิด
1) สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอวันละ ประมาณ 30 – 45 นาที เพื่อสร้างความไว้วางใจ
2) สื่อถึงการยอมรับของความต้องการของผู้ป่วยสำหรับความเชื่อที่ผิด แต่ชี้ให้เห็นว่าพยาบาลไม่มีความเชื่อนั้น
3) ไม่โต้เถียงหรือปฏิเสธความเชื่อของผู้ป่วย เหตุผล การโต้เถียงหรือปฏิเสธความเชื่อของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และอาจเป็นการขัดขวางการพัฒนาสัมพันธภาพที่ไว้วางใจ
4) ใช้การสงสัยอย่างมีเหตุผล โดยการพูดกับผู้ป่วยว่า
ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่คุณเชื่อเป็นจริงกับคุณ แต่โดยส่วนตัวแล้วมันยากที่จะยอมรับ
5) เสริมสร้างและเน้นที่ความเป็นจริง ไม่ส่งเสริมการครุ่นคิดอย่างยาวนานเกี่ยวกับความคิดที่ไม่มีเหตุผล
6) ควรใช้บุคลากรคนเดิมให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งต้องมีความซื่อตรงและรักษาคำพูดกับผู้ป่วย เหตุผล เพื่อที่จะส่งเสริมการพัฒนาความไว้วางใจ
7) หลีกเลี่ยงการสัมผัสร้างกายผู้ป่วย ควรเตือนผู้ป่วยก่อนการสัมผัสเมื่อให้การพยาบาล
8) หลีกเลี่ยงการหัวเราะ กระซิบ หรือพูดคุยเบาๆ ในที่ซึ่งผู้ป่วยสามารถมองเห็น แต่ไม่สามารถได้ยินสิ่งที่กำลังพูดคุย
9) จัดกิจกรรมที่สนับสนุนสัมพันธภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับพยาบาลหรือผู้รักษา
10) ควรแสดงความจริงใจ แสดงความเป็นมิตร หรือมีทัศนคติที่ดีกับผู้ป่วย ใน
สถานการณ์ที่เป็นจริง
11) ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมการดูแลตนเอง
5.2 กิจกรรมการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิดแบบหวาดระแวง
1) ประเมินระดับอาการความรุนแรง คอยดูแลช่วยเหลือ ป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุหรืออาการหวาดกลัวขณะที่ผู้ป่วยมีอาการ
2) สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ป่วย โดนเน้นที่การสร้างความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือ โดย สถานที่ที่พูดคุยอย่างเหมาะสม
2) สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ป่วย โดนเน้นที่การสร้างความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือ โดย สถานที่ที่พูดคุยอย่างเหมาะสม
3) การสื่อสารกับผู้ป่วยต้องเปิดเผย จริงใจ รักษาคำพูด ไม่กระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ป่วย ยอมรับในอาการของผู้ป่วย ไม่ปฏิเสธ ไม่เห็นด้วย ไม่ตำหนิสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟัง หรือบอกกับผู้ป่วยอย่างตรงไปตรงมาว่ายอมรับในตัวผู้ป่วยแต่ไม่ยอมรับในพฤติกรรมของผู้ป่วย
4) รับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยเล่า ไม่พูดให้พ้นๆไปหรือปลอบใจผู้ป่วยแบบไม่มีเหตุผลเพื่อให้ผู้ป่วยสบายใจ แต่ต้องพยายามสนองตอบโดยเน้นที่สถานการณ์จริง ความรู้สึก และการให้ข้อเท็จจริงเมื่อมีโอกาส (Present reality) 5) ท่าทีที่สงบ มั่นคง ใช้การชักชวนดีกว่าการออกคำสั่งให้ทำกิจกรรม เพื่อให้ผู้ป่วยทำเพื่อลดอาการครุ้นคิด วิตกกังวล
6) ให้จิตบำบัดแบบประคับประคองแก่ญาติเพื่อการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ป่วย
7) ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา (Antipsychotic)
5.3 กิจกรรมการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการประสาทหลอน
1.การสรา้งสัมพันธภาพหเ้กิดความไวว้างใจ
สรา้งความมั่นใจ
2) เปิดโอกาสและรับฟังสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าโดยให้การยอมรับและไม่ตัดสินผู้ป่วยเหตุผล
3) สังเกตภาวะประสาทหลอนของผู้ป่วย
4) สำรวจช่วงเวลาที่เกิดเสียงบันทึกเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่นำมามาก่อนเหตุผลการ
จำแนกเหตุการณ์ที่เพิ่มความวิตกกังวลและชักนำให้เกิดเสียงและเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งชักนำ
5) สำรวจเนื้อหาของภาวะประสาทหลอนกับผู้ป่วย
6) หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวผู้ป่วยโดยปราศจากการเตือนว่าพยาบาลกำลังจะแตะตัวเขา
7) ไม่เสริมสร้างภาวะประสาทหลอน
8) ขณะที่เกิดภาวะประสาทหลอน ประเมินความสำคัญ
9) ให้ความรู้ผูป่วยเกี่ยวกับธรรมชาติและผลของภาวะประสาทหลอนและวิธีที่จะพิจารณา
10) จัดประสบการณ์และกิจกรรมที่ไม่แข่งขันที่มุ่งเน้นอยู่บนเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้น
11) ร่วมกันค้นหาวิธีจัดการหรือลดภาวะประสาทหลอน
12) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
13) ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมการดูแลตนเองเหตุผล
การประเมินผล
6.1 ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากอันตรายและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในภาวะไม่รู้สติ
6.2 ผู้ป่วยได่รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพในการบำบัดด้วยยา และการบำบัดทางชีวภาพอื่นๆ
6.3 ผู้ป่วยมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นดีขึ้น
6.4 ผู้ป่วยมีสัมพันธภาพกับครอบครัวดีขึ้น
6.5 ผู้ป่วยได้รับการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะการสื่อสารกับบุคคลอื่นและสังคมดีขึ้น
6.6 ผู้ป่วยรับรู้และมุ่งมั่นในการปฏิบัติบทบาทของตนในครอบครัวดีขึ้น
6.7 ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ