Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 - Coggle Diagram
บทที่ 6
Delusion Disorders (โรคจิตหลงผิด)
สาเหตุ
2.ปัจจัยด้านสังคม มักพบโรคนี้ในกลุ่มผู้ป่วยอพยพหรือกลุ่มที่ต้องพบกับสภาวะต่างๆที่มีความเครียดสูง และชนชั้นที่เศรษฐกิจฐานะต่ำ
3.ปัจจัยด้านชีวภาพ เกิดจากสารสื่อประสาทในสมอง คือ สารโปดามีน ซึ่งเป็นสารเกี่ยวข้องกับการได้ยิน การฟัง มีมากเกินไป ทำให้ไม่สมดุลซึ่งจะเกิดอาการหูเเว่ว ตีความหมายผิดๆ คิดว่าจะทำร้ายตัวเอง เช่น คนที่เสพยาบ้ามากๆ ก็จะมีสารโดปามีนมากและมักมีอาการหวาดระเเวง กลัวคนจะมาฆ่ามาทำร้าย
1.ปัจจัยด้านจิตใจ พบว่าคนที่ป่วยเป็นโรคจิตหลงผิดเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูในช่วงวัย้ด็ก ในลักษณะที่ทำให้ขาดความไว้วางใจต่อโลกภายนอก
ชนิดของอาการหลงผิด
3.อาการหลงผิดว่ามีคนอื่นหลงรักหรือเป็นคู่รักของตน ผู้ป่วยเชื่อว่าคนอื่นมาหลงรักตัวเอง หรือเชื่อว่าเป็นคู่รักของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือดูดีกว่าโดยความเชื่อรูปแบบนี้มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและผู้ป่วยมักตีความพฤติกรรมของคนที่เชื่อว่าหลงรักอย่างผิดๆว่าเป็นการมีใจให้
4.อาการหลงผิดว่าร่างกายมีความผิดปกติหรือเป็นโรค ผู้ป่วยเชื่อว่าร่างกายตนเองผิดปกติหรือโรคบางอย่าง ตัวเองที่พบบ่อย เช่นมีพยาธิหรือแมลงบางอย่างอยู่ในผิวหนัง
2.อาการหลงผิดว่ามีคนปองร้าย ผู้ป่วยเชื่อว่าตนเองถูกผู้อื่นโดนทำร้าย คอยติดตาม หรือถูกใส่ร้าย
5.อาการหลงผิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือคนอื่น มีความหยั่งรู้พิเศษ มีอำนาจ มีเงินทองมากมาย หรือหลงผิดว่าตัวเองเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญ
1.อาการหลงผิดว่าคู่ของตนถูกนอกใจ โดยผู้ป่วยจะมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่าคู่ของตนนอกใจหรือมีคนอื่นและเชื่ออย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนรหรือแม้ว่ามีหลักฐานมาแย้งว่าไม่น่าเป็นจริง แต่ผู้ป่วยก็ยังเชื่อไม่เปลี่ยนแปลง
6.มีอาการหลงผิดมากกว่าอาการข้างต้นและไม่มีอาการโดดเด่น
อาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการในช่วงวัยผู้ใหญ่ (เฉลี่ยที่40) ซึ่งแตกต่างจากจิตเภทที่มักมีอสการตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น โดยทั่วไปผู้ป่วยมักดูปกติ ไม่มีพฤคิกรรมที่แปลกประหลาดหรือพูดจาสับสน ไม่มีอาการหูแว่ว แต่จะมีอากาหลงผิดที่เด่นชัด
การรักษา
โรคจิตหลงผิดถือว่าเป็นโรคที่รักษาค่อนข้างยาก เนื่องจากผู้ป่วยเชื่อว่าความเชื่อของตัวเองเป็นสิ่งที่เป็นจริง จึงไม่ไปพบแพทย์ รวมถึงปฎิเสธการรักษาและไม่ร่วมมือ ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มารักษาจึงเกิดจากญาติหรือคนใกล้ชิดเนคนพามา
โรคจิตหลงผิดจัดเป็นกลุ่มโรคจิต (Psychotic disorders) โดยมีอาการเด่น คือ การมีความเชื่อที่ไม่เป็นจริงและไม่สามารถแก้ไข้ได้ จนนำมาซึ่งปัญหาและความเครียดต่อผู้ป่วยเองหรือคนในครอบครัว เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย โดยพบได้ในประชากรเท่านั้น น้อยกว่าโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคในกลุ่มโรคจิตด้วยกันมาก อย่างไรก็ตามความชุกที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้ เพียงแต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ไปพบแพทย์ และไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย
ยารักษาโรคจิต (Antipsychotic) เป็นยาหลักที่ใช้รักษษา ซึ่งสามารถลดความรุนเเรงของอาการหลงผิดลงได้ โดยพบว่าเมื่อรักษาแล้ว ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งอาการหลงผิดหายไป ร้อยละ20 อาการดีขึ้นแต่หลงเหลืออาการอยู่บ้าง ในผู้ป่วยที่หลงผิดไม่หายไปหรือหายไปไม่หมด การทำจิตบำบัดสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นและปรับตัวได้
ออทิสติก(Autism Spectrum Disorder)
แนวทางการดูแลออทิสติก
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
กิจกรรมบําบัด
ส่งเสริมพัฒนาการ
แก้ไขการพูด
ส่งเสริมความสามารถ
ฝึกทักษะสังคม
1.ส่งเสริมพลังครอบครัว
ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ
รักษาด้วยยา
การพยาบาล
กระตุ้นให้เด็กเข้ากลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน
การฝึกให้เด็กพูดและสามารถสื่อความหมายทางภาษาได้พูดโต้ตอบ ปฏิบัติตามคำสั่งได้
การลดพฤติกรรมทีผิดปกติของเด็ก โดยใช้พฤติกรรมบำบัดและกิจกรรมอื่นๆทดแทน
มีการให้ยากรณีที่เด็กมีปัญหาด้านการนอนมีพฤติกรรมที่อยู่ไม่สุข ว่องไว อารมณ์รุนแรง
กระตุ้นพัฒนาการทีหยุดยั้งให้เป็นปกติตามวัย
ฟื้นฟูสมรรถภาพโดยการใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น ละครบําบัด ดนตรี การออกกําลังกาย
เด็กทีมีพฤติกรรมดีขึ้นแล้ว ควรให้เรียนห้องเรียนพิเศษของโรงพยาบาลก่อนเข้าเรียนโรงเรียนปกติ
สาเหตุ
2.ในอดีตเคยเชื่อว่าโรคออทิสติกเกิดจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (refrigerator) แต่จากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบัน
ยืนยันได้ชัดเจนว่า รูปแบบการเลี้ยงดูไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคออทิสติก
3.ปัจจัยทางชีววิทยา (biological factor) พบว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคออทิสติก
1.ในปัจจุบันบันมีหลักฐานสนับสนุนว่าน่าจะเกิดจากการทำงานของสมองผิดปกติ มากกว่าเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม
อาการร่วม
2.ไวต่อการรับรู้สิ่งเร้า เช่น เสียงดัง เสียงแหลม
3.อาจมีภาวะสติปัญญาบกพร่องร่วมด้วย
1.การแสดงออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสม และควบคุมไม่ได้เช่น ร้องโดยไม่มีสาเหตุ
4.จํานวนหนึ่ง อาจมีความสามารถพิเศษ เช่น ความจํา คํานวณ ดนตรี สูงกว่าเด็กปกติ
5.อาจพบปัญหาอยู่ไม่นิ่ง ก้าวร้าว ทําร้ายตนเองปัญหาการกิน การนอน