Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด และไต - Coggle Diagram
ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด และไต
ยาลดความดันโลหิตสูง
Angiotensin Converting Enzyme Inhibitors (ACEIs)
ยาในกลุ่มนี้ไีด้รับความนิยมมากกลุ่มหนี่ง เพราะมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดความดัน
มีผลในการป้องกันการเกิดภาวะหัวใจโต มีผลดีต่อไต และหลอดเลือดที่ไต
สามารถใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงและมีภาวะโรคไตร่วมด้วย
ผลข้างเคียง
ที่พบบ่อย คือ อาการไอแห้งๆ
การรับรสเปลี่ยนไป
ระดับโปตัสเซียมสูง
ความดันโลหิตต่ำ เมื่อใช้ยาเป็นครั้งแรก ต้องระวังผู้ที่ได้รับยาขับปัสสาวะปริมาณสูงหรือผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว
ข้อห้ามใช้
ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดที่ไตตีบเพราะจะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้
ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์เพราะมีความเสี่ยงทำให้ทารกเกิดความผิดปกติ และมีความดันโลหิตลดลง
Angiotensin Receptor Blockers (ARBs)
ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง,Heart Failure,Post-MI
ใช้กลุ่ม ACEIs ไม่ได้ผลเนื่องจากกลุ่ม ACEIs มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการไอแห้ง
ใช้รักษาโรคไตที่เป็นผลแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเบาหวาน
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้ง angiotensin II ที่ receptor AT1
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว
หลอดเลือดขยายตัว
เพิ่มการขับ Sodium และน้ำ
ผลข้างเคียง
ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำได้ หากให้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ
เกิดภาวะ Hyperkalemia
ให้ผลในการรักษาและอาการข้างเคียงจะคล้ายคลึงกับการใช้ ACEIs แต่ไม่เกิดอาการไอเหมือนกับ ACEIs
Beta-blockers
ใช้รักษาความดันโลหิตสูงทุกระดับความรุนแรง
สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มี angina, post-myocardial infarction,tachyarrthymia
ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่มี nephropathy
มีฤทธิ์กดการทำงานของหัวใจ ห้ามใช้ผู้ที่มี second หรือ third degree heart block
กลไกการออกฤทธิ์ลดความดันโลหิตผ่านหลายกลไก
ลดการหลั่งสาร Norepinephrine และ Renin
ยับยั้งที่จำเพาะเจาะลงต่อ Beta-1 receptor ที่หัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลง มีผลลด cardiac output
ขยายหลอดเลือดผ่านการยับยั้ง Beta-2 receptor ส่งผลให้มี vasomotor tone ลดลง
ขยายหลอดเลือดผ่านการยับยั้ง Alpha-1 receptor
ขยายหลอดเลือดผ่านการยับยั้ง Alpha-1 receptor
ขยายหลอดเลือดผ่านการกระตุ้นการหลั่งสาร Nitric oxide
ข้อห้ามใช้
ผู้ป่วยที่มีsevere or active airway diseases เนื่องจากยาไปมีผลยับยั้ง Beta-2 receptor ที่หลอดลม
อาจทำให้เกิด bronchospasm ได้หากผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการทางหลอดลมได้แล้ว
มีความจำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม Beta-blockers ให้พิจารณายาที่จำเพาะเจาะจงต่อ Beta-1 receptor
ผู้ที่มีภาวะ acute decompensated heart failure
ผู้ที่มีภาวะ second- or third-degree atrioventricular block หรือมี sick sinus syndrome
ผู้ป่วยโรคหอบหืด อาจท าให้เกิดอาการมือเท้าเย็น นอนไม่หลับ ฝันร้าย เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้าบางรายอาจเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้
ข้อควรระวัง
มีผลทำให้เกิด glucose tolerance และไขมันในเลือดสูง ในผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง
ตัวอย่างยาได้แก่ Propanolol, Atenolol, Metoprolol
Calcium channel blockers
ออกฤทธิ์เป็นยาขยายหลอดเลือด ทำให้สามารถลดความดันโลหิตได้
ยาในกลุ่มนี้แต่ละตัวอาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจต่างกัน
จะเพิ่มอัตราเต้นของหัวใจ
amlodipine
felodipine
nifedipine
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
verapamil
diltiazem
ผลค้างเคียง
ที่พบบ่อยของยาในกลุ่มนี้ คือ เท้าบวม ปวดศีรษะ หน้าแดง
nifedipine เป็นยาที่ได้รับความนิยมและมีผลข้างเคียงไม่มากนัก
ส่วน verapamil, diltiazem อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก และเกิด heart block ได้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
Diuretics ยาขับปัสสาวะ
เป็นยาที่ได้รับความนิยมสูงในการรักษาความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรง
เป็นยาที่ใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่น เพื่่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความดันโลหิต
ใช้ในการรักษาภาวะ potassium ในเลือดสูง ลดอาการบวมจากสาเหตุต่างๆ การรักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาภาวะปอดบวมน้ำ(pulmonary edema)
กลไกการออกฤทธิ์
ควบคุมความดันโลหิตได้ดีที่ขนาดยาต่ำๆ
การเพิ่มขนาดยาให้สูงขึ้นไม่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น แต่จะเพิ่มอาการไม่พึงประสงค์
แบ่งออกเป็น
กลุ่ม loop diuretics
กลไกการออกฤทธิ์
เพิ่มการขับ potassium ions, magnesium ions, calcium ions และ
sodium ions
ลดการดูดซึมกลับที่บริเวณ proximal tubule
เพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดที่ไต
ยับยั้งการดูดซึมกลับของ NaCl ที่ท่อไตบริเวณ thick ascending limb
ของ henle’s loop
อาการข้างเคียง
ระดับ potassium ในเลือดต่ำ ก่อให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
ระดับ magnesium ในเลือดต่ำ
ระดับน้ําตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
ระดับกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia)
เกิดความเป็นพิษต่อหูได้ถ้าใช้ในขนาดสูง
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงได้ (severe dehydration)
ตับทำงานผิดปกติ
ผื่นคัน ความดันโลหิตต่ำ
กลุ่ม Thiazide diuretics
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการดูดซึมกลับของ NaCl ที่บริเวณ distal tubule มีผลเพิ่มการขับ sodium ions และchloride ions จากไต
เพิ่มการขับ potassium ions ทำให้ร่างกายสูญเสีย potassium ions เพิ่มการดูดซึมกลับของcalcium ions
อาการข้างเคียง
ระดับ K ในเลือดต่ำทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเสียชีวิตได้
ระดับกรดยูริกในเลือดสูง (hyperurecemia)
ระดับน้าตาลในเลือดสูง (hyperglycemia)
มีการเพิ่มระดับไขมันโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในซีรั่ม
เกิดร่างกายอยู่ในภาวะเป็นด่าง
Sodium ในเลือดต่ำ (hyponatremia)
ข้อห้ามใช้
ไม่ควรใช้ยาบ่อยครั้งหรือใช้ยาขนาดสูงในผู้ป่วยตับแข็ง ไตวาย หัวใจล้มเหลว เบาหวานและโรคเก๊าท์
ไม่ใช้ร่วมกับผู้ปวยที่ได้รับยา digitalis เพราะทำให้เกิด digitalis toxicity ได้ง่าย
กลุ่ม potassium-sparing diuretics
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งงการดูดซึมกลับของ sodium ions ที่บริเวณ collecting duct แลกกับ potassium ions มีการเก็บ potassium ions เข้าสู่ร่างกาย
ช่วยลดการสูญเสีย potassium ions
-ยับยั้งการทำงานของ aldosterone โดยปิดกั้นที่ aldosterone receptor
การนำไปใช้ทางคลินิก
มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะอย่างอ่อน นิยมใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น เช่น thiazide และfurosemide เพื่อช่วยลดการสูญเสีย potassium
ใช้ยาอื่นไม่ได้ผลรักษาอาการบวมที่ใช้ยาไม่ได้ผล
ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
ผลข้างเคียง
คลื่นไส ้อาเจียน วิงเวียน ปวดศีรษะ
ตะคริวที่ขา
ยูเรียในเลือดสูง
เต้านมโตในผู้ชาย
ระดับ potassium ในเลือดสูง
ภาวะร่างกายเป็นกรดจากระดับ chloride ในเลือดสูง
ภาวะไตวายเฉียบพลัน
นิ่วในไต
กลุ่ม osmotic diuretics
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการดูดซึมกลับของ sodium และน้ำที่บริเวณ proximal tubule,descending limb of the loop of henle และ collecting tubule ตัวยามีคุณสมบัติในการดูดน้ำจาก
เนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายเข้ามาในกระแสเลือด ทำให้มีปริมาณน้ำและเกลือแร่ผ่านเข้าไตมากขึ้น ขับน้ำและelectrolyte ออกทางปัสสาวะได้มากขึ้น
การนำไปใช้ทางคลินิก
ปวดศีรษะ คลื่นไส ้อาเจียน อาจพบโซเดียมในเลือดต่ำ
การใช้ยาในขนาดสูงอาจให้เกิดภาวะขาดน้ำ
กลุ่ม carbonic anhydrase inhibitors
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทางานของเอนไซม์ carbonic anhydrase พบมากในบริเวณ proximal tubule
ส่งผลยับยั้งการดูดซึมกลับของ NaHCO3 ทำให้เพิ่มการขับปัสสาวะ
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ
ง่วงซึม
การรับความรู้สึกผิดไป
ร้อนวูบวาบ
เบื่ออาหาร (anorexia)
หูอื้อ (tinitus)
เนื้อตับตาย (hepatic necrosis)
นิ่วในไต
ภาวะร่างกายเป็นกรดจากระดับ chloride ในเลือดสูง
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะเจ็บเค้นหน้าอก
Angina pectoris
เป็นอาการเจ็บอกซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลชั่วคราวระหว่าง myocardial oxygen demand กับ myocardial oxygen supply
ยากลุ่มไนเตรท (Nitrates) และไนไตรท์ (Nitrite)
กลไกการออกฤทธิ์
ขยายหลอดเลือดโดยการหลั่ง nitric oxide (NO) เข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
กระตุ้น guanylate cyclase ใน cytoplasm ทำให้เกิดกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดหลอดเลือดดำ
ขยายตัว เลือดไหลกลับหัวใจลดลง ลดปริมาณเลือดในห้องหัวใจ (preload )
แรงในการบีบตัวของหัวใจลดลง
ลดความต้องการออกซิเจนของร่างกาย
หลอดเลือดแดงหัวใจคลายตัว
ความต้านทานของหลอดเลือดปลายทางลดลง (after load )
ออกฤทธิ์ต่อเลือดดำมากกว่าเลือดแดง
ความดันโลหิตลดลงลดการทำงานของหัวใจ
อาการข้างเคียง
หัวใจเต้นเร็ว
ความดันโลหิตลดลงเมื่อเปลี่ยนท่า
เป็นลม (syncope)
หน้าแดง ปวดมึนศีรษะ บางรายพบอาการปวดศีรษะคล้ายปวดไมเกรน เนื่องจากฤทธิ์ขยายหลอดเลือดในสมอง
การใช้ยาชนิดแผ่นแปะ (transdermal) อาจพบผื่นคันบริเวณที่แปะยาได้
การใช้ยาเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการดื้อยา ควรงดใช้ยาเป็นระยะ (nitrate-free peroid)
เพื่อป้องกันการดื้อยา อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง/วัน เช่น อาจงดยา ในช่วงกลางคืน
ยาต้านแคลเซียม (Calcium channel blocking agents)
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์ลดการทำงานของหัวใจได้ดี
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ Nifedipine
ขยายหลอดเลือดได้ดี มีผลต่อการทำงานของหัวใจน้อย
ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเบต้าอะดรีเนอร์จิกรีเซพเตอร์ (beta-blockers)
กลไกการออกฤทธิ์
ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดความดันโลหิต
ลดความแรงในการบีบตัวของหัวใจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจต้องการใช้ออกซิเจนลดลง
นิยมใช้ป้องกันการเกิดอาการเจ็บอก
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเพื่อลดภาวะบวมน้ำ ปริมาตรเลือดกลับสู่ปกติ
ช่วยลด preload ได้โดยไม่มีผลต่อ cardiac output
การนำไปใช้ทางคลินิก
Loop diuretics ใช้รักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังระดับรุนแรงภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดเฉียบพลัน
ใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องได
ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบเรนินแองจิโอเทนซิน
การนำไปใช้ทางคลินิก
ยากลุ่ม ACE Inhibitors
นิยมใช้เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค
เพิ่มคุณภาพชีวิต และอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
ยากลุ่ม ARBs
ใช้ในกรณีผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยาในกลุ่ม
ACEIs
กลุ่มยาขยายหลอดเลือด (Vasodilators)
การนำไปใช้ทางคลินิก
ยา Hydralazine และ Isosorbine dinitrate
นิยมใช้ในกรณีไม่สามารถใช้ยาในกลุ่ม ACEIs ได้
ลดอัตราการตายของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวได้
ยา Glyceryl trinitrate
ใช้ในกรณีเกิดอาการหัวใจล้มเหลวชนิดเฉียบพลัน และมีอาการปอดบวมน้ำร่วมด้วย เพื่อช่วยลดควาดันในช่องปอด
กลุ่ม Blockers
ได้แก่ยา Carvedilol, Metropolol,Bisopolol
กลไกการออกฤทธิ์
ยาทำให้หัวใจเต้นช้าลง นิยมใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม ACEIs หรือ ARBs และ Diuretics
จากการศึกษาพบว่าการเริ่มใช้ยากลุ่มนี้ในขนาดต่างๆ และค่อยๆเพิ่มขนาด ในระยะยาวมี
ผลทำให้การทำหน้าที่ของหัวใจห้อง ventricle ดีขึ้น
ลดความรุนแรงของโรค
ลดอัตราการตายของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวได้
ยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของหัวใจ (Positive innotropics)
ยากลุ่ม Cardiac glycosides
กลไกการออกฤทธิ์
สารสกัดจากใบของ foxglove หรือ Digitalis purpurea Digitalis (Digoxin) เป็นยาตัวเดียวในกลุ่มcardiac glycosides ใช้ในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
ออกฤทธิ์ยับยั้ง Na+,K+-ATPase มีผลให้ sodium ions ในเซลล์มากขึ้น
ส่งผลลดการทำงาน Na+/Ca2+ exchanger
ลดการขับcalcium ions ออก ทาให้ calcium ionsอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
มีผลเพิ่มความแรงในการหดตัวของกล้ามเนือหัวใจ
การรักษา
โดยปกติจะให้ยาแบบ loading dose ก่อน เมื่อผู้ป่วยตอบสนองต่อยา จึงลดระดับยาลง ระดับรักษา 0.5-1.5 ng/ml ระดับที่ก่อให้เกิดพิษ > 2 ng/ml
อาการข้างเคียง
ยา digitalis มีความเป็นพิษค่อนข้างสูง การใช้ยาเกินขนาด รักษาเพียงเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษได้
การเต้นของหัวใจผิดจังหวะ, หัวใจเต้นเร็ว, ใจสั่น คลื่นไส ้อาเจียน
จาก cardiac glycosides
กระตุ้น chemoreceptor trigger zone (CTZ) ในสมอง
ระบบทางเดินอาหาร พบการระคายเคืองทางเดินอาหาร เบื่ออาหาร ท้องเสีย
ระบบประสาทส่วนกลาง ความจำเสื่อม เห็นภาพหลอน (hallucination)
การมองเห็นผิดปกติ (visual disturbance),กระสับกระส่าย(agitation)
ยาออกฤทธิ์กระตุ้นอะดรีเนอจิกรีเซพเตอร์ (Adrenergic agonists)
ได้แก่ dopamine, dobutamine
กลไกการออกฤทธิ์
Dopamine
การใช้ใน low dose ออกฤทธิ์กระตุ้นที่ dopaminergic receptor บนกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดคลายตัว มีผลเพิ่มปริมาณเลือดไปเลี้ยงไต
ส่งผลช่วยคงสภาพอัตราการกรองผ่านที่ไตใช้ในขนาดปานกลาง(intermedium dose)
Dobutamine
ออกฤทธิ์กระตุ้นที่ receptor ที่กล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลเพิ่ม cardiac output
อาการข้างเคียง
อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
ความต้องการ O2 ของกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดอาการเจ็บอก หรือการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ต่อผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือด
ยาออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ฟอสโฟไดเอสเทอเรส (Phosphodiesterase inhibitors)
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase ในหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจ มีการขยายตัว
ของหลอดเลือดแดง เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น
ลด vascular resistance » เพิ่ม cardiac output
อาการข้างเคียง
หัวใจเต้นผิดจังหวะเจ็บอก,ความดันโลหิตต่ำ ,ปวดศีรษะ
ยาที่ใช้ในการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
Class I sodium channel-blockers
Class I subgroup 1A : quinidine,procainamide, disopyramide
ใช้รักษาภาวะ ventricular arrhythmia
ผลข้างเคียง
ท้องเสีย เบื่ออาหาร ขมในปาก วิงเวียน ปวดศีรษะ
Class I subgroup 1B: lidocaine,tocainide, mexiletine
ใช้รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย เฉียบพลัน
ผลข้างเคียง
ความดันโลหิตลดลง อาการใจสั่น คลื่นไส้ การได้ยินผิดปกติ พูดช้า ชัก
Class I subgroup 1C: flecainide,propafenone
Class II blockers : Propanolol,Esmolol
ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ Esmolol ใช้ในการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเฉียบพลัน
Class III Potassium channel blocker : amiodarone, bretylium (IV), sotalol
ทำให้มีระยะ action potential ยาวนาน
Amiodarone ใช้ในภาวะ ventricular arrhythmia รุนแรง และภาวะ supraventricular arrhythmia
atrial fibrillation
ผลข้างเคียง
ทำให้เกิดหัวใจเต้นช้าลงเกิด heart block ได้
การทำงานของตับ ไต ผิดปกติ
ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสแสงแดด
อาจพบภาวะ hypo หรือ hyperthyroidism
ความดันโลหิตลดลงเมื่อเปลี่ยนท่า
Class IV กลุ่มยาต้านแคลเซียม : verapamil
กลไกการออกฤทธิ์
ทำให้หัวใจเต้นช้าลง โดยยับยั้งที่ SA และ AV node
ภาวะ supraventricular tachycardia
ลดอัตราการทำงานของ ventricular ใน atrial fibrillation
รักษาภาวะ ventricular arrhythmia
ผลข้างเคียง
การเต้นของหัวใจช้าลง หัวใจหยุดเต้น หัวใจล้มเหลว
ความดันโลหิตลดลง ปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ ท้องผูก
อาการบวมของอวัยวะส่วนปลาย เช่น ขา เท้า
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
(Anticoagulant drugs)
กลไกการแข็งตัวของเลือดประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1
มีการสร้าง thromboplastin จากปัจจัยภายใน (intrinsic factors) และภายนอก (extrinsic factors)
ขั้นที่ 2
thromboplastin ทําหน้าที่เป็น proteolytic enzyme มาย่อย prothrombin ให้กลายเป็นthrombin
ขั้นที่ 3
thrombin จะทําหน้าที่เป็น proteolytic enzyme มาย่อย fibrinogen เป็น fibrin ซึ่งจะรวมตัวกันกลายเป็น clot
ยาที่มีผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือดออกเป็น 3 กลุ่ม
anticoagulant ยาในกลุ่มนี้จะยับยั้งการแข็งตัวของเลือดและยับยั้งไม่ให้ clot ขยายตัวใหญ่ขึ้น
Heparin
Heparin จะยับยั้งการแข็งตัวของเลือดทั้งภายในและภายนอกร่างกายทันที
Heparin จะจับกับ antithrombin และยับยั้ง clotting factor
Heparin จะไปเร่งอัตราการทําลาย thrombin
Heparin ต้องบริหารโดยการฉีดเข้าสู่ร่างกาย นิยมฉีดเข้าทางหลอดเลือดดําและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ห้ามฉีดเข้ากล้ามเนื้อเนื่องจากการ
ดูดซึมไม่แน่นอนและอาจเกิดเลือดออกเฉพาะที่
Heparin ไม่ผ่านรกและไม่ออกมาทางน้ํานม ดังนั้นหญิงมีครรภ์ที่มีความจําเป็นต้องได้รับ anticoagulant อาจให้ Heparin ได้ หน่วยของยาเป็น unit
Heparin ยังมีชนิดที่เป็น low molecular weight heparin ได้แก่ Enoxaparin,Fraxiparin
กลไกการออกฤทธิ์
เพิ่มฤทธิ์ของ antithrombin III ในการยับยั้งการทำงานของthrombin และ factor Xa, IXa, XIa, XIIa และ Kallikrein (Intrinsicpathway)
โดยทําหน้าที่เป็น catalytic template เร่งให้Thrombin or factor + antithrombin III สารประกอบTherapeutic dose ในพลาสมา = 0.1-1.0 หน่วย/มล.รูปแบบยา 25,000u/vial (5,000u/ml.)
ข้อห้ามใช้ยา
Heparin ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะเกร็ดเลือดตํ่าขั้นรุนแรง
ผู้ป่วยที่มีเลือดออกซึ่งไม่สามารถควบคุมได้
ยกเว้นในรายที่เลือดออกมีสาเหตุจากภาวะเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดกระจายทั่วไป(disseminagted intravascular coagulation)
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ชนิดรับประทาน (Oral anticoagulant )
เป็นยารับประทานเพื่อยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ยาในกลุ่มนี้มีสูตรโครงสร้างคล้าย vitamin K
โดยจะมีผลต่างจาก Heparin ตรงที่ไม่มีผลในการแข็งตัวของเลือดภายนอกร่างกาย
ยาที่นิยมใช้
Warfarin
ยานี้มีฤทธิ์ต้านวิตามิน K ออกฤทธิ ์ โดยยับยั้งขั้นตอนสุดท้ายของการสังเคราะห์ปัจจัยการแข็งตัว
ของเลือดต่าง ๆ ที่ตับ ต้องอาศัยวิตามิน K
ฤทธิ์ยับยั้งการแข็งตัวของเลือดจะเกิดขึ้นสูงสุดภายใน 2-3 วัน
อาการไม่พึงประสงค์
อาการเป็นพิษที่สําคัญคือเลือดออก ถ้าเกิดที่อวัยวะภายในที่สําคัญ
ทําให้เกิดการเสียเลือดในทางเดินอาหาร ภายในเยื่อบุช่องท้องอย่างมาก
ห้ามใช้
ในหญิงตั้งครรภ์ ---> abortion malformationผล/CNS
Drug interaction
ลดฤทธิ์ยา RIFAMPIN, PHENYTOIN, BARBITURATES,ETHANOL, VIT K
เพิ่มฤทธิ์ยา ASA, PHENYLBUTAZONE (NSAIDS),CIMETIDINE,DISULFIRAM (Tx Alcoholism)
ANTIDOTE VITAMIN K
ยาที่กระตุ้นให้เกิดการละลายของ thrombus
ได้แก่ ยาในกลุ่ม thrombolytic drugs ยาจะช่วยละลาย clot ที่เกิดขึ้น เช่นในผู้ป่วยที่มีภาวะ pulmonary embolism, deep vein thrombosis
การให้ยาในกลุ่มนี้ต้องให้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจทําให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ทําให้เลือดออกได้
ได้แก่ Streptokinase, Urokinase, Antistreplase
antiplatelet drug
คือ ยาที่ยับยั้งการจับกลุ๋มกันของเกล็ดเลือด
ได้แก่ ASA, Clipidogrel,Ticlopidine
ยาละลายลิ่มเลือด(Thrombolytic drugs)
Streptokinase
เป็นโปรตีนสร้างจาก β-hemolytic streptococci ไม่มีฤทธิ์เป็นเอนไซม์ Streptokinase จับกับplasminogen ได้เป็นสารประกอบและเปลี่ยน plasminogen ได้เป็น plasmin
สารประกอบ Streptokinase-plasminogen จะไม่ถูกยับยั้งโดย α2-antiplasmin ต้องให้ Streptokinase ขนาดสูงในครั้งแรกฉีดเข้าหลอดเลือดดํา เพื่อไม่ให้แอนตี้บอดี้ต่อ Streptokinase ซึ่งมีอยู่ในเลือดทําลาย Streptokinase
ค่าครึ่งชีวิตของ Streptokinase ประมาณ 80 นาที
อาการไม่ที่พึงประสงค์
เลือดออก
เกิดการแพ้และมีไข้ได้
ยาต้านการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือด
(Antiplatelet drug)
ช่วยป้องกันการเกิดก้อนเลือดอุดตัน และใช้ในการรักษา
ผู้ป่วยที่มีลิ่มเลือดอุดตัน เช่น ผู้ป่วย MI โดยยาที่ใช้ได้แก่ aspirin (ASA), Clopidogrel, Ticlopidine
Aspirin (ASA)
ใช้เป็นยาแก้ปวดลดไข้แล้วยังมีฤทธิ์ในการต้านการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือด
โดยไปมีผลยับยั้งการทํางานของ cyclooxygenase ในเกล็ดเลือดอย่างถาวร ทําให้ arachidonic acid ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น thromboxane A2 ได
ทําให้เกล็ดเลือดมารวมตัวกันไม่ได้ ฤทธิ์ของยาจะเกิดขึ้นทันทีและอยู่ตลอดอายุของเกล็ดเลือดนั้น 10 วัน
อาการข้างเคียง
ที่พบได้บ่อยมีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร
ทําให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก
Clopidogrel, Ticlopidine
ยามีผลยับยั้งการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือดโดยผ่านทาง ADP pathway
กลไกการจับกลุ่มกันของเกล็ดเลือด
เกิดจาก thromboxane A2 และ ADP จับกับ receptor ที่ผิวของเกล็ดเลือดทําให้มีการสร้างสารสื่อต่างๆ และทําให้เกล็ดเลือดจับกลุ่มกันมากขึ้น เมื่อให้ยาจะไปทําให้เกล็ดเลือดไม่สามารถจับกลุ่มกันได้
ฤทธิ์ของยาจะเกิดขึ้นเต็มที่หลังจากได้รับยาไปแล้ว 3-5 วัน และฤทธิ์ยังคงอยู่หลังหยุดยาแล้ว 10 วัน
อาการไม่พึงประสงค์
ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน
ทําให้เกิดภาวะ agranulocutosis จึงต้องมีการติดตามนับจํานวนเม็ดเลือดขาวในระยะ 3 เดือนแรกของการให้ยา
ข้อห้ามใช้
หญิงตั้งครรภ์, ให้นมบุตร
active bleeding
GI bleeding
platelet ต่ำ
leukopenia