Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ - Coggle Diagram
โภชนาการของบุคคลในภาวะปกติ
โภชนาการสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ความต้องการสารอาหารขณะตั้งครรภ์
สารอาหารที่ให้พลังงาน
คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ซึ่งได้จากเนื้อสัตว์ นม ไข่ ข้าว ฯลฯ
ควรหลีกเลี่ยงขนมหวานจัด น้ำอัดลม อาหารที่มีไขมันมาก
โปรตีน
โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนก่อนคลอดถึง 6 เดือนหลังคลอด
โปรตีนควรได้จากสัตว์ประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้ทั้งหมด
แคลเซียม
เพื่อใช้ในการสร้างกระดูกและฟันของทารก
ควรได้รับแคลเซียม วันละ 1,200 มก.
นม กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลือง เต้าหู้
เหล็ก
เพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดงและสะสมไว้ใช้สำหรับ
แม่ในระยะคลอด
ตับ ม้าม ไต เลือด ไข่แดง เนื้อแดงและผักใบเขียวต่างๆ
ไอโอดีน
ถ้าได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอจะทำให้แม่เป็นโรคคอพอก
ควรได้รับไอโอดีนวันละ 175 ไมโครกรัม
อาหารทะเลต่างๆ ควรใช้เกลือชนิดที่มีไอโอดีนในการปรุงอาหาร
โฟเลท
จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ผลไม้และผักใบเขียว ถั่วต่างๆ
ควรได้รับโฟเลทวันละ 500 มคก.
วิตามินบี6
ควรรับเพิ่มจากเดิมวันละ 0.6 มก. เป็นวันละ 2.6 มก.
ช่วยในการเผาผลาญและสังเคราะห์กรดอะมิโน ช่วยสังเคราะห์ heme
วิตามินซี
เพิ่มเป็นวันละ 80 มก.
การขาดวิตามินซีมีความสัมพันธ์กับการเกิดครรภ์เป็นพิษและน้ำเดินก่อน
กำหนด
วิตามินเอ
ควรได้รับวิตามินเอวันละ 800 มคก.RE
ควรหลีกเลี่ยงการเสริมวิตามินเอในระยะ 3 แรกของการตั้งครรภ์
วิตามินดี
ในระยะตั้งครรภ์ร่างกายต้องการวิตามินดีวันละ 10 มก
มารดาที่ขาดวิตามินดีจะมีผลทำให้ทารกในครรภ์เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ
ถ้าได้รับมากเกินไปอาจทำให้ทารกมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอย่างรุนแรงเป็นอันตรายได้
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการตั้งครรภ์
แอลกอฮอล์
ทำให้การเจริญเติบโตของสมองช้า มีการท าลายระบบภูมิคุ้มกัน มีความผิดปกติของกระดูกใบหน้า กะโหลกศีรษะ และแขนขา
คาเฟอีน
ชา กาแฟ น้ำอัดลม ช็อคโกแลต
มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจของทารกในครรภ์
แนวทางการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์
เนื้อสัตว์ต่างๆ
นม
ไข่
ผลไม
ผักชนิดต่างๆ
ถั่วเมล็ดต่างๆ
ไขมันหรือน้ำมัน
น้ำ
โภชนาการสำหรับหญิงหลังคลอดและให้นมบุตร
โภชนาการของหญิงหลังคลอดระยะให้นมบุตร
อาหารของแม่ในระยะให้นมบุตร คล้ายกับระยะตั้งครรภ์ แต่เพิ่มปริมาณขึ้น
ต้องการพลังงานเพื่อการหายใจ การเต้นของหัวใจ การท างานของกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวต่างๆ
ความต้องการวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดเพิ่มขึ้น
วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี6 โฟเลท
การหลั่งน้ำนมของแม่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ควรให้นมลูกทุกๆ 2 ถึง 3 ชม.
แม่ที่ไม่ค่อยให้ลูกดูดนม น้ำนมจะน้อย
ชนิดของน้ำนมแม่หลังคลอด
น้ำนมเหลือง
น้ำนมระยะปรับเปลี่ยน
น้ำนมแท้
ความต้องการสารอาหารในระยะให้นมบุตร
การกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจะช่วยให้มารดาผลิตน้ำนมเลี้ยงทารกได้เพียงพอ
พลังงาน
ต้องใช้พลังงานประมาณ 85kcal ต่อน้ำนม 100 มล
ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 500 kcal
ควรกินอาหารประเภทข้าวหรือแป้งชนิดต่างๆ เนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นส่วนใหญ่
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากและของหวาน กะทิต่างๆ เพราะให้พลังงานสูง
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีนเพิ่มขึ้น 25 กรัม/วัน
ควรเลือกโปรตีนคุณภาพดี ไขมันต่ำ
เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ถั่ว เต้าหู้ ไข่ นม
แคลเซียม
ควรได้รับแคลเซียม 1,200 มก.ต่อวัน
ธาตุเหล็ก
ระยะให้นมบุตรแม่จะต้องการธาตุเหล็กจาอาหารวันละ 15 มก
ได้จากการกินเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่ ผักใบเขียว
ไอโอดีน
แม่ควรได้รับไอโอดีนเพิ่มอีกวันละ 50 ไมโครกรัม
เพื่อป้องกันการขาดและให้ทารกได้รับไอโอดีนที่เพียงพอ
วิตามินชนิดต่างๆ
วิตามินเอ
ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 375 ไมโครกรัม
พบใน ไข่แดง ตับสัตว์ ผักใบเขียว และผักสีเหลือง
วิตามินดี
ควรได้รับในปริมาณที่ปกติเท่ากับก่อนตั้งครรภ์
พบในไข่แดง ตับปลา
วิตามินบี1
ควรได้รับเพิ่มอีก 0.3 มก
พบในเนื้อหมู ถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามินบี2
ควรได้รับเพิ่มอีก 0.5 มก.
พบในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว
วิตามินซึ
ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 มก
พบในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
โฟเลท
ต้องการโฟเลทวันละ 500 มคก
จำป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดงป้องกันโรคโลหิตจาง
พบในตับ ผักใบเขียว บร็อคโครี่ มันเทศและขนมปังที่ทำจากข้าวสาลี
น้ำ
วันละ 8-10 แก้ว
เพื่อให้การหลั่งน้ำนมมากขึ้น
แนวทางการบริโภคอาหารของหญิงให้นมบุตร
ประเภทของอาหาร
เนื้อปลา ไก่ หมู
ควรได้รับประมาณ 180-240 กรัมต่อวัน หรือวันละ 1/2-1 ถ้วยตวง
ไข่ ควรกินวันละ 1 ฟอง
นมสดอย่างน้อยวันละ 2 แก้วหรือมากกว่า
ผักต่างๆ ทั้งชนิดใบเขียวและใบเหลือง ควรรัประทานอย่างน้อย 6 ทัพพี
ผลไม้
อย่างน้อยวันละ 6 ส่วน
ไขมันหรือน้ำมัน
ควรรับประทานวันละ 3 ชต.
น้ าตาลไม่เกินวันละ 5 ชช.
ข้าวและแป้ง
ควรได้รับวันละ 9-10 ทัพพ
ข้อแนะนำเกี่ยวกับอาหารในหญิงให้นมบุตร
กินอาหารครบ 5 หมู่
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
โภชนาการสำหรับวัยทารก
ความต้องการสารอาหารในทารก
พลังงาน800 kcal
แคลเซียม270 mg/วัน
โปรตีน16 g/วัน
ไอโอดีน90 mcg/วัน
เหล็ก9.3 mg/วัน
ฟอสฟอรัส275 mg/วัน
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน
มีคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วน ย่อยง่าย
สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะภูมิแพ้
ทำให้ทารกเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
ช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา
ข้อแนะนำการให้อาหารสำหรับทารก
ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่นแม้แต่น้ำ
เริ่มให้อาหารเสริมเมื่ออายุครบ 6 เดือนเต็มควบคู่ไปกับนมแม่
เพิ่มจำนวนมื้ออาหารเมื่ออายุลูกเพิ่มขึ้น
ให้อาหารที่มีคุณภาพและครบ 5 หมู่ทุกวัน
การแพ้อาหารในทารก
การแพ้โปรตีนในนมวัว มักเกิดในช่วงอายุ 1-4 เดือน
เด็กอายุต่ำกว่าอายุ 7 เดือน พบว่าแพ้ไข่ขาว
พบการแพ้สารกลูเตน ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน
การเลือกอาหารสำหรับทารก
กินผักผลไม้ทุกวันและกินให้หลากหลายชนิด
กินเนื้อสัตว์ทุกวัน
ให้นมแม่ต่อเนื่องถึงอายุ 2 ปี
ให้กินอาหารรสธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งรสอาหาร
โภชนาการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
การสร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีแก่เด็กก่อนวัยเรียน
ควรฝึกให้รับประทานอาหารหลักวันละ 3 มื้อ ให้มีอาหารว่างระหว่างมื้อเช้าและบ่าย
ควรหัดให้เด็กรับประทานอาหารทุกชนิด
ให้เด็กลองรับประทานอาหารใหม่ๆ
ไม่ควรให้รางวัลจูงใจให้เด็กรับประทานอาหาร
หาเทคนิคหรือวิธีการจูงใจให้เด็กรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
จัดอาหารให้น่ารับประทาน
ลักษณะและรสชาติต้องจืดอร่อยไม่เค็มจัดหรือหวานจัดเกินไป
เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการเตรียมโต๊ะอาหาร
•พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี
เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองช้ากว่าในวัยทารก
เด็กวัยนี้เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
เนื่องจากเด็กยังไม่โตพอที่จะเข้าโรงเรียน
พ่อแม่ต้องไป
ทำงาน จึงต้องเตรียมอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการของเด็ก
หากขาดอาหารจะทำให้ความเจริญเติบโตหยุดชะงัก ร่างกายอ่อนแอ
ในระยะแรกๆ ของวัยนี้การเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและจะช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น
โภชนาการสำหรับเด็กวัยเรียน
เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเด็กก่อนวัยเรียน
เพศหญิง เริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่น เมื่ออายุ 10 ปี เร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี
การเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ สมองและระบบประสาทจะไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่มขนาด แต่จะมีพัฒนาการด้านการเสริมสร้างเชาวน์ปัญญา
พฤติกรรมการกินที่เป็นปัญหาของเด็กวัยนี้
จะไม่ลองกินอาหารที่ไม่เคยกิน
กินอาหารไม่เป็นเวลา มัวแต่เล่นจนลืมกิน
เล่นมากจนเพลียไม่อยากกินอาหาร
ข้อปฏิบัติในการจัดอาหารเด็กวัยเรียน
จัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในแต่ละวันโดยมีปริมาณพอเหมาะกับความต้องการ
ควรให้เด็กเป็นผู้เสนอรายการอาหารบ้าง เพื่อให้รู้สึกถึงการมีส่วนร่วม
ฝึกวินัยในการรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่รับประทานอาหารจุบจิบ
ฝึกให้เด็กรู้จักความพอดีในการรับประทานอาหารแต่ละประเภท
ควรมีอาหารสำรองไว้บ้าง เป็นอาหารที่เตรียมได้ง่ายๆ แต่มีประโยชน์
โภชนาการสำหรับวัยรุ่น
ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง
ต่อมไร้ท่อต่างๆ ทำงานมากขึ้น มีการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ มากขึ้น
วัยรุ่นจะรู้สึกหิวบ่อยและรับประทานอาหารมากขึ้น
วัยรุ่นชายจะรับประทานอาหารมากกว่าวัยรุ่นหญิง
ความต้องการสารอาหารของวัยรุ่น
พลังงาน
วัยรุ่นชายควรได้รับพลังงาน 2,300-2,400 kcal/วัน
วัยรุ่นหญิงควรได้รับพลังงาน 1,850-2,000 kcal/วัน
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีนอย่างน้อยวันละ 1-2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
วิตามินและเกลือแร่
วิตามินเอ ใช้ในการเจริญเติบโตและคงสภาพเยื่อบุต่างๆ ควรได้รับอย่างน้อยวันละ 600-700
mcg.RE
วิตามินบี2 ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ในการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย
ควรได้รับวันละ 1.3-1.7 มิลลิกรัม
วิตามินซี เป็นส่วนประกอบของเซลล์ใช้ในการสร้างคอลลาเจน ควรได้รับวันละ 50-60มิลลิกรัม
น้ำต้องการ 6-8 แก้วต่อวัน
แคลเซียมและฟอสฟอรัส มีความต้องการ 1,200 มิลลิกรัม/วัน
เหล็ก วัยนี้ควรได้รับเหล็ก 15 มิลลิกรัมต่อวัน
โอดีน ควรได้รับไอโอดีนวันละ 150 ไมโครกรัม
ความสำคัญของอาหารในเด็กวัยรุ่น
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ
เด็กวัยรุ่นที่ต้องการควบคุมน้ าหนัก ควรกินอาหารทุกมื้อและถูกต้องตามหลักโภชนาการ
โภชนาการสำหรับผู้ใหญ่
วัยนี้ร่างกายจะไม่มีการเสริมสร้างเพื่อการเจริญเติบโต แต่ยังมีการเสริมสร้างเซลล์ต่างๆ
ผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการดี สามารถท าให้อายุขัยยืนยาว มีชีวิตที่มีคุณภาพ และเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีสุขภาพดีสมบูรณ์แข็งแรง
เมื่ออายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน
ความต้องการสารอาหารในวัยผู้ใหญ่
พลังงาน
ผู้ชายต้องการพลังงานมากกว่าผู้หญิงเพราะในผู้หญิงมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าและทำกิจกรรมน้อยกว่าผู้ชาย
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัม
ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
วิตามินและเกลือแร่
วัยนี้มีความต้องการพอๆ กับวัยรุ่น ยกเว้นแคลเซียมและฟอสฟอรัสต้องการน้อยลงเหลือ800 มิลลิกรัมต่อวัน
น้ าต้องการประมาณ 1,500-2,000 มล.ต่อวัน
วัยทอง
อาหารของสตรีวัยทอง
ควรรับประทานอาหารประเภทถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ปลา ผักและผลไม้สด
อาหารประเภทถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการช่องคลอด
แห้งและโรคกระดูกพรุนได้
ถั่วเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม แมกนีเซียม โปตัสเซียม วิตามินบีคอมเพล็กซ์สังกะสีและเหล็ก
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาเฟอีน
เนื้อสัตว์ติดมันทำให้อ้วน เครื่องในสัตว์ท าให้เกิดโรคข้ออักเสบ
แอลกอฮอล์ จะไปกดประสาทส่วนกลาง ทำให้เหนื่อยล้า และซึมเศร้า
วัยหมดประจำเดือน
มีการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์
มีอาการของระบบหัวใจและหลอดเลือดซึ่ง
เป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย
กระดูกพรุน กระดูกเปราะ หักง่าย
โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ
การท างานของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลดลง
มีความไวต่อการรับรสขมและเปรี้ยวเพิ่มขึ้น และการรับรสหวาน
และเค็มลดลง ผู้สูงอายุจึงมักชอบอาหารรสหวานและเค็ม
ภาวะสุขภาพปากและฟัน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีปัญหาฟันผุหรือไม่มีฟัน
การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง
ประสิทธิภาพการเผาผลาญกลูโคสลดลง
การทำงานของระบบไหลเวียนและไตลดลง
ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุ
พลังงาน
ผู้สูงอายุมีความต้องการพลังงานน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว
ผู้สูงอายุชายหญิงได้รับพลังงานจากอาหารไม่เกินวันละ 2,250และ 1,850 kcal หรือ 30 kcal/kg.
โปรตีน
ผู้สูงอายุควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ าหนักตัว 1 กก.ต่อวัน
ผู้สูงอายุควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว รับประทานไข่อาทิตย์ละ 3 ฟอง
ไขมัน
ผู้สูงอายุควรลดปริมาณไขมันที่บริโภคโดยเฉพาะกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอล
เป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานสูง
ความต้องการไขมันในผู้สูงอายุไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
คาร์โบไฮเดรต
ควรได้รับร้อยละ 55 ของพลังงานทั้งหมด
ถ้าได้รับน้อยกว่า 50-100 กรัมต่อวัน อาจทำให้เกิดการคั่งของคีโตนบอด
วิตามินเอ
พบในรูปของเรตินอล ซึ่งพบมากในไขมันจากสัตว์
ความต้องการวิตามินเอในผู้สูงอายุชาย700 และหญิง 600 ไมโครกรัมRE
วิตามินดี
ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำไส้
ผู้สูงอายุชายและหญิงคือวันละ 5 ไมโครกรัมเท่ากัน
วิตามินอี
ผู้สูงอายุชายและหญิงควรได้รับวันละ 10 และ 8 มิลลิกรัม
พบในน้ำมันพืช ผักใบเขียว
ตับ และไข่
วิตามินเค
ผู้สูงอายุชายและหญิงคือ วันละ 80 และ 65 ไมโครกรัม
พบในผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช เนื้อ นม
วิตามินซี
จำเป็นต่อการสร้างกระดูก เลือดและคอลลาเจน
วิตามินบี6
ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง ต้องการวันละ 2.2 และ 2.0 มก.
วิตามินบี12 จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA
โฟเลต จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA ถ้าขาดจะทำให้เกิดภาวะซีด
แคลเซียมสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือนวันละ 1,000-1,500 มก.
เหล็กความต้องการในผู้สูงอายุชายและหญิงคือ วันละ 10 มก.
สังกะสี ช่วยส่งเสริมการได้รับกลิ่น การรับรส ความอยากอาหารดีขึ้น และส่งเสริมหารหายของ
แผล