Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 7 เดี๋ยวก็หาย - Coggle Diagram
กรณีศึกษาที่ 7 เดี๋ยวก็หาย
ข้อบังคับสภา
5.4 การปฏิบัติการพยาบาลตามแผนการพยาบาล/หรือแผนการรักษาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม การใช้เครื่องมือพิเศษ การติดตามผล รวมทั้งการประสานทีมสุขภาพในการจัดบริการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการพยาบาลที่สภาการพยาบาลประกาศกำหนด
เนื่องด้วยรพ.ไม่ได้ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเพียงแค่ให้ผู้ป่วย on bird’s respiratorโดยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยต่อว่าผู้ป่วยเป็นอะไรจึงส่งผลให้ผู้ป่วยอาการทรุดลงและถึงแก่ความตายในที่สุด
5.1 การกระทำต่อร่างกายและจิตใจของบุคคลการตรวจประเมินภาวะสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและการบาดเจ็บ การควบคุมการเเพร่กระจายโรค การปฐมพยาบาล การบำบัดโรคเบื้องต้น และการฟื้นฟูสุขภาพทั้งรายทั่วไป รายที่ยุ่งยาก ซับซ้อน หรือเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน
เนื่องจาก พยาบาลเล็งเห็นถึงชื่อเสียงเป็นหลักทำให้ การรักษาของผู้ป่วยยุติตามความต้องการของผู้ป่วย โดยที่สามารถป้องกันการเกิดได้แต่พยาบาลเลือกที่จะไม่ทำ
เนื่องจาก พยาบาลประเมินคนไข้และพบว่าคนไข้เสี่ยงต่อการที่จะเลือดออกในสมอง แต่พยาบาลยังคำนึงถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงของตน โดยตามใจคนไข้เพื่อเลี่ยงการฟ้องร้องในอนาคต และไม่กระทำการบำบัดโรคในเบื้องต้นเลย เพียงเเต่ให้ญาติเซ็นยินยอมในการไม่ส่งตัวไปรักษาต่อเท่านั้น จึงทำให้คนไข้ถึงแก่ความตาย
เนื่องจากผู้ป่วยเป็นคนในชุมชนที่พยาบาลรู้จักดีว่าภรรยาของผู้ป่วยเป็คนปากร้าย ก้าวร้าว ชอบโวยวาย กลัวว่าจะมีปัญหาร้องเรียนภายหลัง พยาบาลคิดแล้วจึงตามใจภรรยาผู้ป่วย แต่ได้ให้แพทย์เวรชี้แจงอาการที่เป็นว่ามีโอกาสเกิดเส้นเลือกที่สมองแตกได้ แต่ภรรยายังยืนกรานปฏิเสธการรักษาต่อ แพทย์จึงให้ภรรยาผู้่วยเขียนหนังสือแสดงความจำนงปฎิเสธการส่งต่อไปรักษา
ภรรยาไม่มีสิทธิปฏิเสธการรักษาแทนสามี
กฎหมายอาญาได้บัญญัติบังคับให้บุคคลต้องกระทำการบางอย่างซึ่งหากไม่กระทำก็ถือว่าเป็นความผิด โดยถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยการละเว้น เช่น มาตรา 374 บัญญัติว่า "ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันอันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
การตัดสินใจของพยาบาลไม่เหมาะสม
เนื่องจากพยาบาลใช้ความคิดส่วนตัวในการตัดสินใจและกลัวว่าตนนั้นจะถูกฟ้องร้อง พยาบาลเลยตามใจภรรยาของผู้ป่วยโดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย เพราะมัวแต่คิดถึงแต่ตนเอง
มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
การตัดสินใจของพยาบาลผิดจริยธรรม
ผิดจริยธรรมที่อาจมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา คือ การไม่ช่วยเหลือหรือปฎืเสธการประกอบวิชาชีพ
ผิดหลักการทำประโยชน์คือ ไม่คิดด้วยใจที่เมตตาแต่คิดเพื่อตัวเองจะได้ไม่โดนร้องเรียนภายหลังและไม่ทำการป้องกันหรือขจัดสิ่งที่เป็นอันตรายให้ผู้ป่วย
ผิดหลักการทำหน้าที่แทน คือ ไม่ปกป้องพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย ไม่ทำเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากสิทธิที่พึงได้รับ
แพทย์เวรชี้แจงอาการที่เป็นว่ามีโอกาสที่เส้นเลือดในสมองอาจแตกได้ แต่ภรรยายังยืนกรานปฏิเสธการรักษาต่อที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด การกระทำแบบนี้ถือว่าผิดกฎหมาย
มาตรา ๓๑๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๑ หรือมาตรา ๓๐๐
พยาบาลผิดทางกฎหมายอาญา
มาตรา 308 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 306 หรือมาตรา 307 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 209 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น
โรงพยาบาลละทิ้งผู้ป่วย ไม่ทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย มีความผิดทางอาญา ฐานที่ทำร้ายผู้ป่วยจนถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 308
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 307 บัญญัติว่า “ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญา ต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วย กายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
เนื่องจากพยาบาลทราบข้อมูลอยู่แล้ว ว่าผู้ป่วยอาจมีเลือดออกในสมอง แตพยาบาลก็ยินยอมทำตามความต้องการของผู้ป่วยและภรรยาในเรื่องการส่งตัวไปรักษาไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด จึงถือว่า พยาบาลมีความผิดฐานปล่อยปะละเลยผู้ป่วย
สิทผู้ป่วย
ข้อ 4 ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณีโดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
ข้อ 3 ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลตามที่เป็นจริงและเพียงพอเกี่ยวกับการเจ็บป่วยการตรวจการรักษาผลดีและผลเสียจากการตรวจการรักษาจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจได้ง่ายเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตนเว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินอันจำเป็นเร่งด่วนและเป็นอันตรายแกชีวิต
เนื่องจากพยาบาลไม่ได้แจ้งผู้ป่วยและภรรยาถึงอาการที่แพทย์ตรวจพบอย่างชัดเจนทำให้ส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนในการรักษาเพราะภรรยาและผู้ป่วยคิดว่าไม่ได้อาการหนัก เพราะผู้ป่วยเกิดอาการเช่นนี้บ่อยครั้งจึงทำให้ผู้ป่วยอาการหนักขึ้นและถึงแก่ความตายในที่สุด
พรบ.สุขภาพแห่งชาติพ.ศ.2550
มาตรา8ในการบริการสาธารณสุข บุคคลากรด้านสาธารณสุขต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับการให้ผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจ ในการรับหรือไม่รับบริการใดและในกรณีที่ผู้รับบริการปฏิเสธไม่รับบริการใดจะให้บริการนั้นมิได้
ในกรณีที่เกิดความเสียหายหรืออันตรายเพราะเหตุที่ผู้รับบริการปกปิดข้อเท็จจริงที่ตนรู้และควรบอกให้แจ้งหรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรืออันตรายนั้นเว้นแต่ผู้ให้บริการประมาทอย่างร้ายแรง
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้ คือ ผู้รับบริการอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและมีความจำเป็นต้องให้การช่วยเหลือเป็นการรีบด่วน ผู้ให้บริการไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้และไม่อาจแจ้งให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ปกครอง ผู้ปกครองดูแล ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาลของผู้รับบริการแล้วแต่กรณีรับทราบข้อมูลแทนในขณะนั้น
เนื่องจากพยาบาลไม่อธิบายรายละเอียดให้ชัดเจน เกี่ยวกับโรคของผู้ป่วยที่อาจเกิดอาการอันตรายได้ โดยกลัวว่าจะมีปัญหาร้องเรียนภายหลัง จากการที่ทราบว่าภรรยาผู้ป่วยเป็นคนปากร้าย ก้าวร้าว ชอบโวยวาย ทำให้ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการรักษาจากสถานที่ที่มีสิ่งอำนวยอย่างเพียงพอ ทำให้คิดว่าอาการที่เป็นไม่ร้ายแรง จึงปฏิเสธการรักษาไป
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา19 บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์
ภรรยาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนผู้ป่วยเพราะผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และบรรลุนิติภาวะแล้ว ภรรยาจะมีสิทธิตัดสินใจแทนก็ต่อเมื่อผู้ป่วยหมดสติเท่านั้น
สถานการณ์ตัวอย่าง
เหตุการณ์เกิดขึ้น ณ โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง เวลาประมาณ 17.00 น. ภรรยานำสามีมาส่งห้องฉุกเฉินผู้ป่วยอายุประมาณ 50 ปี มีสภาพสับสน เอะอะ เปะปะ ผลักไสมีกลิ่นสุราตามตัว แพทย์ห้องฉุกเฉินประเมินสภาพแล้วพบว่ามีความดันโลหิตสูงมาก 190/90 mmHg, pulse pressure กว้าง pupil ตอบสนองต่อแสงทั้งสองข้างปกติสงสัยว่าอาจมีเลือดออกในสมองจึงเขียนใบส่งตัวไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด ผู้ป่วยร้องเอะอะ ปัดมือเวรเปล บอกว่าไม่ไป ภรรยาผู้ป่วยจึงบอกกับพยาบาลว่าสามีไม่ต้องการไป คิดอาการที่เกิดคงไม่เป็นไร ไปถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดเอะอะอย่างนี้อายเขา เคยเป็นอย่างนี้แล้ว หลับตื่นมาก็หาย เนื่องจากผู้ป่วยและครอบครัวเป็นคนในชุมชนที่พยาบาลรู้จักดีว่า ภรรยาผู้ป่วยเป็นคนปากร้าย ก้าวร้าว ชอบโวยวาย กลัวว่าจะมีปัญหาร้องเรียนภายหลัง พยาบาลคิดแล้วจึงตามใจภรรยาผู้ป่วย แต่ได้ให้แพทย์เวรชี้แจงอาการที่เป็นว่ามีโอกาสที่เส้นเลือดในสมองอาจแตกได้ แต่ภรรยายังยืนกรานปฏิเสธการรักษาต่อที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แพทย์จึงให้ภรรยาผู้ป่วยเขียนหนังสือแสดงความจำนงปฏิเสธการส่งต่อไปรักษา ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น. วันเดียวกัน ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการหมดสติความดันโลหิต 170/70 mmHg, Pupil ตอบสนองต่อแสงช้า dilate ทั้งสองข้างจึงให้ IV fluid ใส่ท่อทางเดินหายใจให้ออกซิเจนทาง ambu bag คาสายสวนปัสสาวะไว้ และนำส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดทันทีผู้ป่วย on bird's respirator อยู่ 3 วันก็ถึงแก่ความตาย
คำถาม
กรณีนี้พยาบาลผิดต่อจริยธรรมวิชาชีพหรือไม่
ผิดต่อข้อบังคับสภาหรือไม่ อย่างไร
ผิดกฎหมายอาญาหรือไม่ (ประเด็นใด)
พยาบาลมีความผิดในเรื่องของสิทธิ
และหน้าที่ด้านสุขภาพหรือไม่ อย่างไร
ผิดกฎหมายแพ่งหรือไม่ (ประเด็นใด)
พรบ.วิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528
มาตรา 4 วรรค 2 “ การพยาบาล ” หมายความว่า การกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการดูแล และการช่วยเหลือ เมื่อเจ็บป่วย การฟื้นฟูสภาพ การป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพ รวมทั้งการช่วยเหลือแพทย์กระทำ การรักษาโรค ทั้งนี้ โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และศิลปะการพยาบาล
พยาบาลทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วยที่อาจเกิดอันตรายหากไม่ได้รับการรักษา แต่พยาบาลก็ยังทำตามความต้องการของภรรยาผู้ป่วย การตัดสินใจของพยาบาลจึงไม่เหมาะสม