Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

สรุปก่อนสอบ พบ.343, ระดับการเขียวแบบทั้งตัว (Central cyanosis)…

- - - - อาการบวม (edema) ร้อยละ 70-90 มีอาการบวมบริเวณหนังตา (Periorbital edema) หลังตื่นนอนตอนเช้าจะเห็นได้ชัด บวมทั่วตัวชนิดกดไม่บุ๋ม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการบวม อาจเป็น 2-3 วัน หรืออาจนานถึง 2 สัปดาห์
      - การถ่ายปัสสาวะน้อย (Oliguria) หรือ ไม่ถ่ายปัสสาวะ (Anuria)
      - การถ่ายปัสสาวะมีเลือดปน (Hematuria) ปัสสาวะเป็นเลือด สีโค้ก สีชา สีน้ําปลา สี น้ําตาลแดง อาจหายภายน 2-3 วัน หรืออาจอยู่นานเป็นเดือน
      - การถ่ายปัสสาวะมีโปรตีน (Proteinuria or albuminuria) มีโปรตีนในปัสสาวะ 1-2 + เนื่องจากไตเสียหน้าที่
  - - - ความผิดปกติที่พยาธิสภาพโดยตรง (Primary nephritic syndrome) เช่น เป็นแต่ กําเนิด เกิดความเสียหายที่หน่วยไต (Glomerular injury) หรือ ไม่ทราบสาเหตุ พบในเด็กร้อยละ 90 เป็นต้น
      - มีสาเหตุจากโรคอื่นแล้วทําให้เกิดพยาธิสภาพที่เนื้อไต (Secondary nephritic syndrome) เช่น SLE, DM, Hepatitis, Infectious disease เป็นต้น
      - การได้รับสารพิษและยาจําพวก NSAID, Probenecid, Nephrotoxin
  - - - Prerenal cause เกิดจากภาวะต่าง ๆ ที่มีผลต่อการกรองที่ไต เช่น ภาวะขาดน้ํารุนแรง
      - เสียเลือดมาก แผลไฟไหม้รุนแรง septic shock เป็นต้น ภาวะเหล่านี้ทําให้หัวใจวาย และเกิด Hypoperfusion ของไต ซึ่งทําให้ปัสสาวะออกน้อย มีความถ่วงจําเพาะและความเข้มข้นสูงขึ้น ถ้าแก้ภาวะ Hypoperfusion ของไตได้ในเวลาไม่นานการทํางานของไตจะฟื้นกลับเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว
      - Intrinsic renal cause (true renal cause) โรคหรือการบาดเจ็บของไตมีพยาธิสภาพ เช่น การอักเสบ (AGN) อุดกั้นของหลอดเลือดที่หลอดเลือดแดงและดําของไต โกลเมอรูลัสทิวบูล
      - Postrenal cause สาเหตุเกิดจาก การอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว เนื้องอก ผลึก ยูริค ซึ่งจะทําให้เกิด ARF จะต้องเป็นที่ท่อไตทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นที่ทางออกของกระเพาะปัสสาวะ
    - - ระยะ Onset ระยะเริ่มต้นของการเกิดปัญหา
      - ระยะ Oliguria เป็นระยะที่ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่มีเลย เกิดภาวะน้ําเกิน บวม ความดัน-โลหิตสูง น้ําท่วมปอด หัวใจวาย มีความไม่สมดุลของ Electrolyte กรดด่าง มีการคั่งของของเสียและภูมิ ต้านทานในร่างกายลดลง
      - ระยะ Diuresis เป็นระยะที่ไตเริ่มฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่ยังไม่อยู่ในภาวะปกติจะมีการขับ ปัสสาวะออกมาจํานวนมาก จนอาจเกิดภาวะขาดน้ําได้ เกิดภาวะโซเดียมและโปแตสเซียมในเลือดต่ำยังมีการ คั่งของของเสียในร่างกาย
      - ระยะ Post-diuresis (Recovery) ไตเริ่มฟื้นคืนสู่สภาพปกต
- - - - การประเมินระดับความลึกของบาดแผลไฟไหม้
        
        ความลึก ผิวหนังมีความลึก 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกําพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) เราแบ่งบาดแผลไฟไหม้น้ําร้อนลวก ดีกรีความลึกของบาดแผลไฟไหม้ (Degree of burn wound) แบ่งได้เป็น 3 ระดับ
        
        ระดับแรก (First degree burn) หมายถึง บาดแผลที่มีการทําลายของเซลล์หนัง กําพร้าชั้นผิวนอกเท่านั้น
        
        ระดับที่สอง (Second degree burn) หมายถึงบาดแผลที่มีการทําลายของหนัง กําพร้าตลอดทั้งชั้น (ทั้งชั้นผิวนอกและชั้นในสุด) และหนังแท้ ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ ไม่เกิดเป็นแผลเป็นเช่นกัน (ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้อ) มักเกิดจากถูกของเหลวลวก หรือถูกเปลวไฟ
        
        ระดับที่สาม (Third degree burn) หมายถึง บาดแผลที่มีการทําลายของหนังกําพร้า และหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้ง ต่อมเหงื่อ ขุมขนและเซลล์ประสาท ผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผล ผิวหนังทั้งชั้นจะหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ หรือแดงสลับขาว หรือเป็นเนื้อที่ไหม้เกรียม
        
        2 ตําแหน่ง บาดแผลบริเวณใบหน้า คอ เป็นบริเวณที่ต้องให้ความสําคัญ อาจทําให้เป็น แผลเป็น และเสียโฉมได้มาก ถ้าถูกบริเวณตา อาจทําให้ตาบอดได้ส่วนบาดแผลบริเวณเท้า อวัยวะเพศมี ความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการติดเชื้อตามมาได้สูง แผลที่มือและตามข้อพับต่าง ๆ อาจทําให้ข้อนิ้วมือและ ข้อต่าง ๆ มีแผลเป็นดึงรั้ง ทําให้เหยียดออกไม่ได้
        
        ขนาด หมายถึงบริเวณพื้นที่ของบาดแผล แผลขนาดใหญ่ (กินบริเวณกว้าง) จะมีอันตราย กว่าแผลขนาดเล็ก อาจทําให้ร่างกายสูญเสียน้ํา โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมี โอกาส ติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษถึงตายได้ การประเมินขนาดกว้างของบาดแผล นิยมคิดเป็น เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย
      - แนวทางการรักษา
        
        การรักษาแบบผู้ป่วยนอก บาดเจ็บเล็กน้อย ให้ล้างทําความสะอาดบาดแผลด้วยน้ําเกลือ และสบู่อ่อน ๆ อาจทาด้วยยาชา เพื่อลดการปวดแสบปวดร้อน หรือทาด้วยยาปฏิชีวนะแบบขี้ผึ้ง เพื่อ ป้องกันการติดเชื้อ แล้วปิดทับด้วยผ้าแห้งและสะอาด
        
        การรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล ได้แก่ ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ปานกลางจนถึง รุนแรงสําลักควัน สิ่งสําคัญที่ต้องพิจารณาในการวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีแผลไฟไหม้
    - - การช่วยเอาสิ่งแปลกปลอมออก มี 4 วิธีดังนี้
        
        ในกรณีเป็นเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำอยู่บนตัก และมือของผู้ ช่วยเหลือ ให้ศีรษะตรง และอยู่ต่ํากว่าส่วนของลําตัว แล้วใช้สันมือตบลงไปที่บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะบัก ทั้งสองข้าง (Back blows) ประมาณ 4-5 ครั้งติดกัน
        
        ถ้าเป็นเด็กโต ให้เด็กนอนคว่ำพาดบนตักผู้ใหญ่ โดยให้ศีรษะของเด็กห้อยต่ำกว่าลําตัว แล้วตบบริเวณกลางระหว่างไหล่สองข้าง
        
        3) Abdominal thrusts หรือ Heimlich maneuver เป็นวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่สงสัยมี สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็กที่อายุมากกว่า 1 ปีที่รู้สึกตัวอยู่ โดยกํามือด้านหัวแม่มือวาง บริเวณลิ้นปี่ของเด็กและใช้มืออีกข้างออกแรงกด 4 ครั้งอาจช่วยในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือยืน
        
        4) Finger Sweep การใช้นิ้วล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในปากและคอ (ภาพที่ 8.8) ให้ใช้ เฉพาะในกรณีที่เห็นสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่เท่านั้น ในกรณีที่ไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม ห้ามใช้นิ้วลองควานหาสิ่ง แปลกปลอมในปาก เพราะอาจเป็นการทําให้สิ่งแปลกปลอมที่ติดค้างอยู่ลงในตําแหน่งที่ลึกลงไปและจะทํา ให้เอาออกได้ยากยิ่งขึ้น
      - การป้องกัน
        
        เลือกของเล่นที่มีขนาดใหญ่ ไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆที่ถอดออกจากกันได้
        
        หลีกเลี่ยงการให้อาหารชิ้นใหญ่และกลม เช่น ลูกชิ้นแก่เด็กเล็ก
        
        หลีกเลี่ยงการให้ผลไม้ที่มีเมล็ด เนื้อปลามีก้าง ถั่วแห้ง ลูกอม หมากฝรั่ง ข้าวโพด องุ่น
    - - หลักการปฐมพยาบาลเมื่อเด็กได้รับสารพิษ
        
        ทําให้สารพิษเจือจาง ในกรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวและไม่มีอาการชัก โดยการให้ดื่มน้ําหรือนม ซึ่งหาง่ายที่สุด นมนอกจากจะช่วยเจือจางแล้วยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร
        
        กําจัดสารพิษออกจากร่างกาย ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนําส่งไปโรงพยาบาล ผู้ช่วยเหลือต้องขจัดเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหารที่ยังไม่ได้ดูดซึมเข้าไปทําอันตรายต่อร่างกาย การ ทําให้อาเจียนมีหลายวิธี
        
        2.1 ใช้นิ้วชี้ล้วงกวาดลําคอให้ลึก กระตุ้น Gag reflex
        
        2.2 ให้ Ipecac syrup ซึ่งจะไปออกฤทธิ์กระตุ้นศูนย์อาเจียนที่ Medulla ยานี้จะได้ผล ประมาณ 90% ส่งผลทําให้อาเจียนภายใน 20-30 นาที
        
        2.3 ใช้น้ําเกลือแกง 2 ช้อนชาผสมน้ําอุ่น 1 แก้ว แล้วให้ดื่มให้หมด
        
        ดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร เป็นการลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกายสารที่ใช้ได้ ผลดี คือ Activated charcoal ลักษณะเป็นผงถ่านสีดํา ให้ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ํา 1 แก้ว
        
        ให้ยาแก้พิษ (antidote) จะช่วยลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากสารพิษ เช่น N-Acetylcysteine เป็น Antidote ของ Acetaminophen สารพิษที่พบว่าเด็กได้รับบ่อย
      - การได้รับพิษจากซาลิซัยเลต (Salicylate Poisoning)
        
        อาการและอาการแสดง
        หลังได้รับซาลิซัยเลตเข้าไปภายใน 2 ชั่วโมง เด็กจะมีอาการวิงเวียน หูอื้อ ต่อมาจะมี หายใจหอบ หัวใจเต้นเร็ว อาจมีอาการของภาวะน้ําตาลในเลือดต่ำ มีไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย ทําให้ขาดน้ํา มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง
        
        การรักษา
        
        รักษาประคับประคอง
        
        ทําให้ปริมาณยาในร่างกายต่ำลง
        
        ป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อน
      - การได้รับพิษจากพาราเซตามอล
        
        ระดับของ Acetaminophen ในเลือดที่เป็นอันตรายคือ 150 มิลลิกรัมต่อน้ําหนักตัว (กิโลกรัม) (McCarthy, 2013) ภายใน 2-4 ชั่วโมงเมื่อได้รับยา เด็กจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก หลังจากนั้น 1-2 วัน เด็กจะเริ่มมีอาการทางตับ คือ เจ็บชายโครงขวา หลังจากนั้น 1 สัปดาห์จะมีอาการตัว เหลือง ตาเหลือง เกิดภาวะตับวาย เสียชีวิตได้
      - การได้รับพิษจากสารกัดกร่อน
        เกิดจากการกินน้ํายาล้างห้องน้ํา น้ํายายืดผม เป็นต้น หลังรับประทานสารกัดกร่อนเด็ก จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนในปาก น้ําลายไหลยืด ปากบวม เป็นแผล อาเจียนมีเลือดปน เจ็บหน้าอก
    - - สาเหตุ สาเหตุของอุบัติเหตุเด็กจมน้ํา
        
        เด็กมีทักษะไม่เพียงพอ ที่จะเล่นน้ํา เช่นการว่ายน้ําในสระว่ายน้ํา แม่น้ํา คลอง หนอง บึง น้ําตก ฯลฯ แหล่งน้ําเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เด็กชอบเล่นมาก เมื่อเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย เด็กมี ทักษะการว่ายน้ําไม่เพียงพอจึงได้รับอันตราย
        
        เกิดจากเด็กขาดความรู้ เด็กไม่ทราบว่า การเล่นโลดโผน วิ่งเล่นไล่จับ (โดยเฉพาะ บริเวณน้ําตก) หรือว่ายออกนอกบริเวณ จะทําให้เกิดอันตรายที่ช่วยเหลือไม่ทัน เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ ปลอดภัย
        
        เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น ในแหล่งน้ํามีเศษแก้ว ของมีคม หรือในทะเลบาง ช่วงเวลาจะมีแมงกะพรุนไฟ ในแม่น้ําที่มีพืชน้ํา
      - การช่วยเหลือเบื้องต้น
        
        ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
        
        เด็กเล็กไม่ควรแหงนคอมากเพราะอาจทําให้หลอดลมท่ียังอ่อนอยู่ตีบตันได้
        
        การเป่าปากควรประกบครอบท้ังปากและจมูก
        
        กระตุ้นการเต้นของหัวใจ (chest compressions) ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
        
        ในเด็กโต
        
        กดนวดหัวใจโดยวางส้นมือหนึ่งข้างวางกลางกระดูกหน้าอกระหว่างหัวนมทั้ง 2 ข้าง
        
        นวดหัวใจด้วยอัตราเร็ว 100-120 ครั้ง/นาที โดยนวดหัวใจ 30 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง กด ลึกให้กระดูกหน้าอกยุบลงประมาณ 1-1.5 นิ้ว
    - - การดูแลเมื่อบาดแผลจากของมีคม
        
        ห้ามเลือดโดยการกดบริเวณแผลด้วยผ้าพันแผลหรือผ้าสะอาด หากเป็นไปได้หรือถ้า จําเป็น ให้ยกบริเวณบาดแผลให้อยู่ในตําแหน่งที่สูงกว่าหัวใจเพื่อลดการไหลของเลือด
        
        ปล่อยน้ําสะอาดไหลผ่านแผลเพื่อล้างแผล ใช้มือที่สะอาดนําสิ่งแปลกปลอม เช่น สิ่ง สกปรกออกจากบริเวณบาดแผล
        
        ซับแผลให้แห้ง แล้วฆ่าเชื้อด้วยครีมฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อฆ่าเชื้อบริเวณบาดแผล และลดความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนจากการสัมผัสบาดแผล
        
        ปิดแผลด้วยผ้าพันแผล
      - การพลัดตก หกล้ม หรือตกจากที่สูงทําให้เกิด การบาดเจ็บที่ศีรษะอาจส่งผลต่อการ บาดเจ็บสมองแบบ เฉียบพลัน หรือส่งผลต่อการเรียนรู้ในระยะยาวในกรณี เป็นแบบการบาดเจ็บซ้ําๆ (repetitive brain injury) ความสูงที่มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บเฉียบพลันที่มีอาการ รุนแรงได้แก่ความสูง 120 ซม. หากให้ประวัติการตกที่ สูงต่ํากว่า 120 ซม. และมีการบาดเจ็บสมองรุนแรงให้ คํานึงถึงกรณีการ กระทําทารุณกรรมต่อเด็กด้วย
- - - - พยาธิสรีรวิทยา ผนังกั้นระหว่างหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) และขวา (Right ventricle) มีรูรั่ว ทําให้เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้าย ไหลผ่านรูรั่วไปรวมกับเลือดดําที่หัวใจห้องล่างขวา แล้วออกสู่หลอดเลือดแดงพัลโมนารี ทําให้ปริมาณเลือดที่ไปปอดมากขึ้น ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจห้อง บนซ้าย และล่างซ้ายจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ทําให้หัวใจห้องซ้ายรับเลือดมากขึ้นกว่าปกติ เกิดภาวะหัวใจวายได้ โดยเฉพาะในกรณีที่รูรั่วมีขนาดใหญ่
      - อาการและอาการแสดง
        
        VSD ที่รูรั่วมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ตารางเซนติเมตร เด็กมักไม่มีอาการ เนื่องจากจํานวน เลือดที่ไหลลัดวงจรมีน้อย ภาพรังสีทรวงอกปกติ
        
        VSD ที่รูรั่วมีขนาดกลาง 0.5–1 ตารางเซนติเมตร หรือมีขนาดใหญ่กว่า 1 ตาราง เซนติเมตร จะมีอาการหายใจเร็ว หายใจลําบาก เหนื่อยง่าย ต้องพักบ่อยๆโดยเฉพาะขณะดูดนม เหงื่อออก มาก หน้าอกด้านซ้ายโป่งนูนและเมื่อวางฝ่ามือจะรู้สึกว่ามีการสั่นสะเทือน (Thrill) ได้ยิน เสียงเต้นของหัวใจ ที่ผิดปกติคล้ายเสียง “ฟู่” (Machinery murmur)
    - - พยาธสรีรวิทยา เลือดแดงจากหัวใจห้องบนซ้าย ไหลผ่านรูรั่วมารวมกับเลือดดําที่หัวใจ
        ห้องบนขวา ผ่านลงมายังหัวใจห้องล่างขวา และออกไปยังปอด เลือดส่วนเกินนี้หลังจากถูกฟอกที่ปอดแล้วก็ จะไหลกลับมายังหัวใจห้องบนซ้ายอีกครั้ง ทําให้หัวใจห้องบนซ้ายรับเลือดมากขึ้นกว่าปกติ ทําให้ปริมาณ เลือดที่ไหลลงสู่หัวใจห้องล่างซ้ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้หัวใจห้องล่างต้องทํางานอย่างหนัก
      - อาการและอาการแสดง
        
        ASD ขนาดเล็ก มักไม่ทําให้เกิดอาการ อาจตรวจพบ ASD จากการตรวจสุขภาพ พบ เสียงหัวใจผิดปกติ หรือ เอกซเรย์ปอด พบว่าขนาดหัวใจและหลอดเลือดที่ปอดผิดปกติ เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความดันในหัวใจห้องขวาบนลดต่ำลง ร่วมกับความต้านทานในหลอดเลือดแดงของปอดลดลง
        
        ASD ขนาดกลางและใหญ่ จะทําให้เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก หายใจลําบากขณะออก กําลัง ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจง่าย อาจทําให้หัวใจวายได้ ถ้ามีเลือดไปที่ปอดมากเป็นระยะเวลานานๆ จะทําให้หลอดเลือดที่ปอดหนาตัวขึ้นและตีบมากขึ้น
    - - สาเหตุที่ทําให้หลอดเลือดแดงดักตัสไม่ปิดหลังเกิด
        
        ทารกเกิดก่อนกําหนด
        
        มีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ํา (Hypoxia)
        
        มารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ
      - พยาธิสรีรวิทยา
        
        หลอดเลือดแดงดักตัสไม่ปิดหลังเกิด ทําให้เลือดแดงส่วนหนึ่งจากหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตาไหลผ่านไปยังหลอดเลือดแดงพัลโมนารี ปริมาณเลือดไปปอดเพิ่มขึ้น และไหลกลับเข้าสู่หัวใจห้อง ซ้ายเพิ่มขึ้น คล้ายใน VSD
  - - - พยาธิสรีรวิทยา ประกอบด้วยความผิดปกติ 4 อย่าง
        
        รูรั่วที่ผนังหัวใจห้องล่าง (Ventricular septal defect)
        
        หลอดเลือดพัลโมนารี่ตีบ (Pulmonary stenosis)
        
        หลอดเลือดแดงใหญ่เอียงไปทางขวา (Overriding aorta)
        
        กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาหนา (Right ventricular hypertrophy)
      - อาการและอาการแสดง
        
        เขียวตามริมฝีปาก เล็บ (Central and peripheral cyanosis)
        
        เหนื่อยง่าย
        
        เติบโตช้า (Failure to thrive) เนื่องจากมีเหนื่อยง่าย ทําให้กินน้อยกว่าปกติด้วย
        
        ภาวะสมองขาดออกซิเจนอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน (Hypoxic spells, Bluespells, or Tet spells)
        
        2.ผิวสีคล้ำนิ้วมือนิ้วเท้าปุ้ม(Clubbingfingers)กรณที่มีการขาดออกซิเจนเรื้อรัง)
    - - พยาธิสรีรวิทยา
        เป็นความผิดปกติที่มีการสลับตําแหน่งของหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) กับหลอดหลอด เลือดแดงพัลโมนารี (Pulmonary artery) ที่ออกจากหัวใจ คือ หลอดเลือดแดงใหญ่จะออกจากหัวใจห้อง ล่างขวาซึ่งจะรับเลือดดําไปเลี้ยงร่างกาย แล้วกลับมาเข้าหัวใจซีกขวาใหม่ ส่วนหลอดเลือดแดงพัลโมนารีจะ ออกจากหัวใจห้องล่างซ้ายซึ่งจะรับเลือดแดงไปฟอกที่ปอดแล้วกลับมาสู่หัวใจซีกซ้ายใหม่ ทําให้การ ไหลเวียนของเลือดจะกลายเป็น 2 วงจร คือวงจรของเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกาย (Systemic circulation) และ วงจรของเลือดที่ไปฟอกที่ปอด (Pulmonary circulation) แยกจากกัน
      - อาการและอาการแสดง
        อาการเขียวจะเป็นอาการนําที่สําคัญที่สุด และมักจะเขียวมาก เหนื่อยง่าย อาการเขียว ไม่ตอบสนองต่อการให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูงอาการของภาวะหัวใจวาย จะมีมากน้อยขึ้นกับช่องทาง ปนกันของเลือดดําและแดงว่าขนาดใหญ่ หรือมีหลายระดับแค่ไหน ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะเขียวมากจนถึงกับ เสียชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่าง รวดเร็วและถูกต้องภายในช่วงแรกของชีวิต
      - การรักษา
        
        การรักษาเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิตในระยะแรก คือ การเปิดผนังกั้นระหว่างหัวใจห้องบน ซ้ายและขวา (Atrial septum) ด้วยบอลลูน (Balloon atrial septostomy) เพื่อให้มีการผสมของเลือดทั้ง 2 วงจร คือมีเลือดแดงจากปอดเข้าไปผสมกับเลือดดําจากร่างกาย
        
        การให้ยาพรอสตาแกลนดินอีวัน (Prostaglandin E1) เพื่อเปิดเส้นเลือดให้เลือดดํา กับแดงปนก่อนที่จะทําการรักษาโดยวิธีอื่นต่อไป
        
        การรักษาโดยการผ่าตัด โดยการสลับเส้นเลือดดํากับแดงให้กลับสู่ปกต
  - - - สาเหตุ
        เชื้อที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา ริคเกทเซีย (Rickettsia) หรือไวรัส แต่มักมีสาเหตุ มาจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus viridans, Staphylococcus aureus แบคทีเรียกรัมลบ และเชื้อรา
      - อาการและอาการแสดง
        
        มีไข้ ลักษณะไข้ต่ําๆ โดยไม่ทราบสาเหตุหรืออธิบายไม่ได้ มักจะมีไข้ในช่วงบ่าย
        
        มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ําหนักลด ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย อาจมีอาการปวดข้อ มี ข้ออักเสบบริเวณข้อใหญ่ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
        
        การตรวจพบเสียงฟู่ของหัวใจ (Heart murmur) ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะมีความผิดปกติของ หัวใจร่วม
        
        อาการทางระบบประสาท ที่บ่งชี้ถึงการตายของสมอง (Cerebral infarction) อย่าง เฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการแขนขาอ่อนแรงซีกเดียว ชัก เดินเซ พูดไม่ได้ มีอาการชา และมีการ เปลี่ยนแปลงของระดับสติสัมปชัญญะ
    - - สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อ Group A Beta-Hemolytic streptococcus (GABHS)
      - อาการและอาการแสดง อาการของไข้รูมาติก มักเกิดหลังคออักเสบ หรือต่อมทอนซิล อักเสบ ประมาณ 1-5 สัปดาห์ โดยใช้เกณฑ์ในการวินิจฉัยอาการและอาการแสดงที่ตรวจพบ “Jones criteria update” (Michael, Robert, Lloyd, Craig, Stanford, Bo, et al., 2015) คือ ถ้าพบอาการ สําคัญ 2 อาการ หรือ อาการสําคัญ 1 อาการ ร่วมกับอาการอื่นๆ 2 อาการ และมีหลักฐานบ่งชี้ว่าติดเชื้อ GABHS ถือว่าเป็นไข้รูมาติก
      - การรักษา
        
        ยาปฏิชีวนะ เพื่อกําจัดเชื้อ GABHS ให้หมดไป ป้องกันไม่ให้ลิ้นหัวใจพิการจนกลายเป็น โรคหัวใจรูมาติก โดยให้ฉีดหรือกิน Penicillin อย่างน้อย 10 วัน
        
        ยาลดอาการอักเสบ ให้แอสไพรินครั้งละ 2-4 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง เพื่อลดอาการอักเสบของ ข้อ ในรายที่มีอาการหัวใจอักเสบรุนแรง อาจเพิ่มสเตอรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน จนกว่าการอักเสบจะหาย
        
        ยาลดอาการ chorea ให้กลุ่ม Tranquilizer เช่น Phenobarbital, Haloperidol เป็น
        
        ยารักษาภาวะหัวใจวาย ให้ Digitalis, Diuretic ยาขยายหลอดเลือดแดงเพื่อลด Afterload และให้การรักษาแบบภาวะหัวใจวายร่วมได
    - - อาการและอาการแสดง อาการเริ่มแรกคือ หอบ เหนื่อย และค่อยๆ เริ่มเป็นอย่างช้าๆ และ รุนแรงขึ้น ในรายที่รูรั่วมากจะมีภาวะของความดันเลือดในปอดสูง ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการหัวใจวายได้ เมื่อฟังเสียงหัวใจอาจพบ S2 กว้างกว่าปกติ ได้ยินเสียงฟู่ (Murmur) ตลอดระยะซีสโตร
      - การรักษา
        
        การรักษาทางยา ให้ยาที่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง เช่น Hydralazine เป็นต้น ซึ่งจะ ช่วยลด Systemic vascular resistance เพิ่ม Cardiac index โดยที่อัตราการเต้นของหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง
        
        การรักษาโดยการผ่าตัด การซ่อมแซมลิ้นหัวใจไมตรัลมักได้ผลดีในการรักษา แต่ในรายที่ลิ้นหัวใจเสียหายมากอย่างถาวร จําเป็นต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมให
- - - - ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก คือ ภาวะซีดที่เกิดจากร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือด แดงได้น้อยลง เนื่องจากขาดธาตุเหล็กซึ่งเป็นสารอาหารที่จําเป็นในการสร้างฮีโมโกลบิน ความเข้มข้นของ ฮีโมโกลบินในเลือดต่ำจะกว่าปกติ จะพบว่ามีอาการซีดของเล็บและเปลือกตาด้านในด้วย
      - โดยกําหนดภาวะซีดจําแนกตามอายุ ดังนี้
        
        เด็กอายุ 6 เดือน-5 ปี จะมี Hb < 11 กรัม/เดซิลิตร หรือ Hct < 33 %
        
        เด็กอายุ 6 ปี-14 ปี จะมี Hb < 12 กรัม/เดซิลิตร หรือ Hct < 36 %
      - สาเหตุ สาเหตุของภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กพบได้หลากหลายสาเหตุ อย่างไร ก็ตามสาเหตุทพี่ บบ่อย มีดังนี้
        
        ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กมีความจําเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กจาก อาหารมากกว่าผู้ใหญ่ โดยปกติร่างกายของเด็กจะได้เหล็กมาจากการทําลายของเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ เพียง ร้อยละ 70 อีกร้อยละ 30 เด็กต้องได้รับจากอาหาร
        
        การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอกับภาวะที่ร่างกายต้องการธาตุเหล็กที่ สูงขึ้น หรือการรับประทานอาหารที่มีตัวขัดขวางการดูดธาตุเหล็ก เช่น แคลเซียม ไฟเตท ออกซาเลท
        
        รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีต่ำ เพราะวิตามินซีมีส่วนช่วยในการเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
        
        การมีภาวะสูญเสียเลือดอย่างเรื้อรัง เช่น โรคพยาธิปากขอพบได้มากที่สุด โรคแผลใน กระเพาะอาหาร การมีเนื้องอกในระบบทางเดินอาหาร
      - อาการและอาการแสดง จําแนกตามระบบดังนี้
        
        ระบบผิวหนังและเล็บ เช่น มีอาการซีด ซึ่งสังเกตได้จากสีผิวหนัง ฝ่ามือฝ่าเท้า ริมฝีปาก เหงือก เล็บขรุขระหรือเล็บอ่อนบางแบน หรือแอ่นลงเป็นรูปช้อน (Koilonychial) เป็นต้น
        
        ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หอบเหนื่อย และมีภาวะหัวใจโต และหัวใจวาย เป็นต้น
        
        ระบบประสาทและสมอง เช่น ซึม ไม่ร่าเริง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย การเรียนหนังสือ หรือสมาธิไม่ดี หงุดหงิดง่าย ไม่อยากรับประทานอาหาร ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
        
        ระบบภูมิต้านทาน เช่น ติดเชื้อง่าย ปากเป่ือย ลิ้นเลี่ยนแตก และอักเสบ (Glossitis) ผม แห้ง แตกง่าย และมีแผลเปื่อยตามตัว เป็นต้น
    - - พยาธิสรีรวิทยา
        G–6PD เป็นเอ็นไซม์ที่พบในเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความ คงทนของเซลล์ เมื่อคนที่มีภาวะพร่อง ติดเชื้อ มีไข้ หรือมีภาวะเครียดรวมทั้งการได้รับยา เช่น Sulfonamides, Primaquine เป็นต้น หรือสารเคมีบางชนิด เช่น Naphthalene (ลูกเหม็น)
      - อาการและอาการแสดง
        ผู้มีภาวะ G-6-PD ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เมื่อเจ็บป่วยหรือได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด หรือมีการติดเชื้อเกิดข้ึน จะทําให้เม็ดเลือดแดงแตกอย่างรวดเร็วในหลอดเลือด ทําให้เกิดอาการซีดลงอย่าง รวดเร็ว ปัสสาวะเป็นสีน้ําปลา (Hemoglobinuria) ในทารกแรกเกิดที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6PD จะมี อาการเม็ดเลือดแดงแตกง่ายภายหลังทารกคลอด เม็ดเลือดแดงอายุสั้น ทําให้มีอาการซีด เหลือง
    - - โรคฮีโมฟีเลีย แบ่งเป็น 3 ชนิด
        
        1.ฮีโมฟีเลียเอ(HemophiliaA)โดยโรคฮีโมฟีเลียเอเกิดจากการขาดปัจจัยการแขง็ตัว ของเลือดที่มีชื่อเรียกว่า แฟคเตอร์ VIII
        
        ฮีโมฟีเลีย บี (Hemophilia B) บี เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวในเลือดที่มีชื่อ เรียกว่า แฟคเตอร์ IX
        
        3.ฮีโมฟีเลียซี(HemophiliaC)เกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวในเลือดที่มีชื่อเรยีกว่า แฟคเตอร์ X
      - สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของ เลือด (Coagulation factors) ทําให้ขาดปัจจัยการแข็งตัวในเลือด ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียมีเพียงยีนเดียวที่ไม่ ทํางานหรือทํางานน้อยกว่าคนปกต
      - พยาธิสรีรวิทยา ปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดเป็นโปรตีนที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด เมื่อมีการฉีกขาดของหลอดเลือด ทําให้ไม่สามารถสร้างลิ่มเลือดได้ เลือดจึงหยุดช้า หรือไม่หยุด
      - อาการและอาการแสดง ส่วนใหญ่ในเด็กจะแสดงอาการตั้งแต่อายุต่ำกว่า 6 เดือน
        
        จ้ำเลือดใหญ่ ๆ ตามลําตัวและแขนขา (Large echymosis) เป็นอาการที่พบมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย
        
        เลือดออกในข้อและในกล้ามเนื้อ ตั้งแต่เริ่มคลาน ตั้งไข่ เดิน ข้อที่มักเลือดออกมากที่สุด ได้แก่ ข้อเข่า รองลงมา ข้อเท้า ข้อศอก นิ้ว มักมีอาการปวดรุนแรง มักไม่ยอมเคลื่อนไหวข้อ ทําให้เกิดข้อ พิการ เนื่องจากข้อติดแข็ง
        
        เลือดออกเมื่อฟันน้ํานมหลุด หรือมีบาดแผล
        
        เลือดออกที่อวัยวะอื่น ๆ เช่น ในทางเดินอาหาร สมอง เป็นต้น ซึ่งพบได้ไม่มากนัก แต่ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได
    - - สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งถ่ายทอดต่อๆ กันมาในลักษณการ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย (Autosomal recessive)
      - อาการและอาการแสดง พบทั้งชนิดอัลฟ่า และเบต้า
        
        มีอาการแสดงของเม็ดเลือดแดงแตกอย่างเรื้อรัง (Chronic hemolytic anemia) เช่น ซีดเหลือง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปัสสาวะสีเข้ม เป็นต้น
        
        มี thalassemia faces คือ จมูกแบน โหนกแก้มสูง คางและชากรรไกรกว้าง ฟันยื่น เขยิน กระดูกกะโหลกศีรษะโหนกยื่นเป็นตอนๆ
        
        ตับม้ามโต เนื่องจากสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น และทําหน้าที่กําจัดเม็ดเลือดแดงที่
        
        การเจริญเติบโตช้า ตัวเตี้ยเล็ก น้ําหนักน้อย
        
        ผิวหนังมีสีเทาอมเขียว และจะมีสีคล้ําง่ายเมื่อถูกแสง
        
        หัวใจโต ตับแข็ง เบาหวาน เนื่องจากมีเหล็กจับอวัยวะ
        
        เม็ดเลือดแดงแตกง่าย (Hemolysis crisis) เด็กจะมีอาการซีดอย่างรวดเร็วและรุนแรง
  - - - สาเหตุ
        
        การเจริญผิดปกติของ Neural crest
        
        การได้รับการฉายรังสีที่ศีรษะ
        
        ความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งส่วนมากเกิดจากการขาดหายไปของโครโมโซมบางตำแหน่ง
      - พยาธิสรีรวิทยา เมื่อมีการเจริญผิดปกติของ Neural crest มีการได้รับการฉายรังสีที่ ศีรษะ หรือมีความผิดปกติของโครโมโซม จะทําให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ในสมองที่ผิดปกติ ทําให้เกิดเป็น เนื้องอก ซึ่งลักษณะของการเกิดอาจเริ่มจากเซลล์ใดก็ได้ภายในกะโหลกศีรษะซึ่งได้แก่ Glial cell, Nerve cell, Neuroepithelium cell, Cranium nerve cell, Blood vessel cell, Pineal gland cell และ Hypophysis cell จึงทําให้ลักษณะของการเกิดเนื้องอกสมองมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของเซลล์ ต้นกําเนิด
    - - สาเหตุ
        
        เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ที่พบได้บ่อย คือ ยีน (Gene) ในแขนสั้นของ โครโมโซมคู่ที่ 1 ขาดหายไป
        
        ยีนมีการเพิ่มจํานวนมากกว่าปกติ
        
        เซลล์อ่อนของเซลล์ประสาทมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็ง
    - - สาเหตุ เชื่อว่ามีสาเหตุจากความผิดปกติในการสร้างสายพันธุกรรม ตั้งแต่เป็นตัวอ่อน (Embryo) ในครรภ์มารดา
      - พยาธิสภาพ เนื้อไตชั้นพาเรนไคมา (parenchyma) มีการเจริญเติบโตผิดปกติ จน กลายเป็นก้อนเนื้องอกภายในเนื้อไต ซึ่งการเจริญของก้อนเนื้องอกจะโตเร็ว ทําให้เนื้อหุ้มเนื้องอกบางลง ฉีก ขาดง่าย และลุกลามเข้าไปในเนื้อไตหรือหลอดเลือดในไต
    - - พยาธิสรีรวิทยา เกิดจากเซลล์ต่อมน้ําเหลืองที่ตําแหน่งหนึ่งตําแหน่งใดในร่างกาย มีการ
        แบ่งตัวผิดปกติจนเกิดเป็นก้อน ตําแหน่งที่พบบ่อย คือต่อมน้ําเหลืองที่คอ (Cervical lymph node) ก้อน ที่โตอาจกดเบียดหลอดเลือด เกิดกลุ่มอาการ SVC syndrome (Superior vena cava syndrome) ทําให้ ใบหน้า และแขนทั้งสองข้างบวม เนื่องจากเลือดดําไหลกลับ Vena cava ไม่สะดวก
      - การแบ่งระยะของโรค แบ่งออกเป็น 4 ระยะ
        
        Stage I โรคจํากัดอยู่ที่ต่อมน้ําเหลืองเพียงกลุ่มเดียว
        
        Stage II โรคเกิดที่ต่อมน้ําเหลืองตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป แต่อยู่บริเวณกระบังลมข้างเดียวกัน
        Stage III มีการลุกลามขอบของโรคไปยังต่อมน้ําเหลืองทั้งสองข้างของกระบังลม
        
        Stage IV มีการกระจายออกนอกต่อมน้ําเหลืองไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ไกลออกไป เช่น ตับ
- - - - 1) โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type I diabetes mellitus หรือ Insulin dependent diabetes mellitus; IDDM)
        
        สาเหตุ
        
        เด็กมีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือบิดาหรือมารดาเป็นโรคเบาหวาน
        
        การติดเชื้อไวรัส เช่น คางทูม หัดเยอรมัน สุกใส เป็นต้น
        
        ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune system)
        
        โรคของตับอ่อน เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ มะเร็ง เป็นต้น
        
        เบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็กและวัยรุ่นมากกว่าร้อยละ 90 เกิดจากเบต้าเซลล์ (B-cell) ที่ตับ อ่อนเสื่อมหรือถูกทําลาย จนไม่สามารถผลิตอินซูลินหรือ ผลิตได้น้อย ทําให้การใช้พลังงานจากสารอาหาร ในร่างกายผิดปกติ
        
        อาการและอาการแสดง
        
        ถ่ายปัสาวะบ่อย และมีปริมาณมาก (Polyuria) ในเด็กมักพบปัสสาวะรดที่นอนหรือ ปัสสาวะทิ้งไว้มีมดตอม
        
        กระหายน้ํามาก (Polydipsia) เป็นผลจากการถ่ายปัสสาวะออกมาก
        
        หิวบ่อย รับปประทานมาก (Polyphagia) เกิดจากร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรต หรือน้ําตาล ไม่ได้ หรือใช้ได้น้อย
        
        น้ําหนักลด (Weight loss) อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เนื่องจากร่างกาบใช้ไขมันและโปรตีน สร้างพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต
        
        คันตามผิวหนัง เป็นแผลที่ผิวหนังบ่อย หายช้า และติดเชื้อง่าย เด็กหญิงอาจมีโอกาสติด เชื้อรา ที่อวัยวะสืบพันธุ์
        
        ภาวะกรดคีโตนคั่งในร่างกาย (Diabetic Ketoacidosis) (ระดับน้ําตาลในเลือดสูงกว่า 300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) มีอาการคือ คลื่นใส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ขาดน้ํารุนแรง หายใจหอบลึก
        
        การรักษา
        การรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทีมผู้รักษาจําเป็นต้องจัดการวางแผนการรักษาให้ เหมาะสมในเด็กแต่ละคนที่มีความแตกต่าง เช่น การเปลี่ยนแปลงของ Insulin sensitivity ที่สัมพันธ์กับ การเจริญเติบโตในแต่ละช่วงวัยรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศความสามารถต่อการจัดการดูแล ตนเอง (Self-care) การดูแลสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน ความเปราะบางของการรับรู้ในระบบประสาทต่อภาวะ น้ําตาลในเลือดต่ำหรือน้ําตาลในเลือดสูง (Hypoglycemia/Hyperglycemia) ในเด็กเล็ก
        
        การดูแลรักษาประกอบด้วย
        
        การรักษาด้วยอินซูลิน เข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ทุกวันตลอดชีวิต เพื่อให้ร่างกาย สามารถนํา น้ําตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ และควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดให้เป็นปกติ ชนิดของ อินซูลิน ตามระยะเวลาการออกฤทธิ์ 4 ชนิด
        
        ชนิดออกฤทธิ์สั้น (Short acting insulin) ออกฤทธิ์หลังฉีด 15-30 นาที ออกฤทธิ์ สูงสุด 2–4 ชั่วโมง และออกฤทธิ์นาน 6–8 ชั่วโมง มีลักษณะใส
        
        ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง (Intermediate acting insulin) มีลักษณะขุ่นต้องคลึงขวด เบาๆ ออกฤทธิ์หลังฉีด 2-4 ชั่วโมง ออกฤทธิ์สูงสุด 6-12 ชั่วโมงหลังฉีดยา และออกฤทธิ์นาน 18-24 ชั่วโมง
        
        ชนิดออกฤทธิ์นาน (Long acting insulin) ออกฤทธิ์หลังฉีด 4–6 ชั่วโมง ออกฤทธิ์ สูงสุด 14- 24 ชั่วโมง และออกฤทธิ์ได้นาน 24-36 ชั่วโมง
        
        ชนิดออกฤทธิ์ผสมระหว่างฤทธิ์สั้นและฤทธิ์ยาว (Mixed acting insulin) ออกฤทธิ์ ตามคุณสมบัติของอินซูลินชนิดที่ผสมกัน เช่น Humulin 70/30 เป็นต้น
        
        กําหนดอาหารและพลังงานตามวัย การกําหนดอาหารทั้งปริมาณอาหารและพลังงานขึ้นกับอายุ เพศ น้ําหนัก และกิจวัตร
        ประจําวัน โดยจุดมุ่งหมายเพื่อให้เพียงพอต่อการเจริญเติบโต
        
        การออกกําลังกาย
        
        การออกกําลังกายแต่ละชนิดส่งผลต่อระดับน้ําตาลในเลือดต่างกัน ผู้ป่วยควรเริ่มจากการเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ ของร่างกายติดต่อกันจากเบาจนถึงปานกลาง ประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง เช่น เดินเร็ว มีเหงื่อออก 3–5 วันต่อสัปดาห์ ควรออกกําลังกาย
      - โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type II diabetes mellitus)
        
        สาเหตุ เกิดภาวะดื้ออินสุลิน (insulin resistance) เมื่อรับประทานอาหาร ตับอ่อน พยายามผลิตอินซูลิน เพื่อนําน้ําตาลจากอาหารเข้าเซลล์ไปใช้เป็นพลังงาน แต่ภาวะดื้ออินซูลิน ทําให้ อินซูลินทําหน้าที่ลดน้ําตาลในเลือดได้ไม่ดี ส่งผลให้น้ําตาลในเลือดสูง
        
        อาการและอาการแสดง
        
        เกือบจะทั้งหมดเกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่นที่อ้วนหรือน้ําหนัก
        เกิน และส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการในระยะเข้าสู่วัยรุ่น นอกจากนี้จะพบปื้นดําหนาที่คอ รักแร้ ขาหนีบ บาง รายอาจมีการติดเชื้อราร่วมด้วย เช่น ที่ช่องคลอด ผิวหนัง อาจมีอาการปัสสาวะมาก ดื่มน้ํามาก นอกจากนี้ อาจมีความผิดปกติของระบบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือดสูง นอนกรน ปวด
        ข้อ ไขมันเกาะที่ตับ ประจําเดือนไม่สม่ำเสมอ
        
        การรักษา เป้าหมายการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในวัยรุ่นเหมือนกับเป้าหมายการรักษาชนิดที่ 1 ในวัยรุ่น จําเป็นต้องดูแลโดยทีมสหสาขาชีพ เช่น แพทย์ Diabetes educator นักโภชนาการ นักกําหนด อาหาร เภสัชกร นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น รวมทั้งการรักษา Comorbidities ได้แก่ อ้วน ระดับไขมันในเลือดผิดปกติความดันโลหิตสูง และ Microvascular complications เป็นต้น
    - - สาเหตุ เกิดจาก 2 สาเหตุ
        
        ความผิดปกติของสมอง (Central diabetes insipidus) ทําให้การหลั่ง Antidiuretic hormone (ADH) หรือ Vasopressin ลดลง หรือไม่มีการหลั่ง เช่น เนื้องอกบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง ส่วน หลัง การผ่าตัดบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
        
        ความผิดปกติของไต (Nephrogenic diabetes insipidus) ทําให้ไตไม่ตอบสนองต่อ ADH ไตจึงดูดกลับน้ําลดลง เช่น กรวยไตอักเสบ โรคเรื้อรัง เป็นต้น
      - พยาธิสรีรวิทยา ต่อมใต้สมองส่วนหลัง (Posterior pituitary gland) สร้างและหลั่ง ฮอร์โมน ADH ซึ่งตามปกติ ADH มีฤทธิ์เก็บกักน้ําในร่างกาย ยับยั้งไม่ให้ไตขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ โดยการดูดกลับที่หลอดไตฝอยส่วนปลาย เมื่อร่างกายขาด ADH จึงมีการขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ การ สูญเสียน้ําทางปัสสาวะมากทําให้เกิดภาวะเลือดข้น จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยกระหายน้ํา จึงดื่มน้ํามาก
      - อาการและอาการแสดง ประกอบไปด้วย
        
        ปัสสาวะบ่อยและมาก (Polyuria) ปัสสาวะมากกว่า 4-10 ลิตร/วัน ปัสสาวะใส ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ความถ่วงจําเพาะต่ํา อาจปัสสาวะรดที่นอน
        
        ดื่มน้ํามากและบ่อย (Polydipsia) ชอบดื่มน้ําเย็น
        
        มีภาวะขาดน้ํา (Dehydration) ปาก คอ และผิวหนังแห้ง ความยืดหยุ่นของผิวหนังไม่ดี ในทารกพบกระหม่อมบุ๋ม อ่อนเพลีย ท้องผูก มีไข้
        
        รายที่มีความผิดปกติของสมอง จะปวดศีรษะ ตามัว เดินเซ
        
        เลี้ยงไม่โต น้ําหนักตัวเพิ่มช้า เติบโตช้า เด็กเล็กดื่มน้ํามากกว่านม
      - การรักษา
        
        ให้น้ําชดเชยให้เพียงพอ
        
        ให้ฮอร์โมนที่ทําหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ําที่ไตทดแทน เช่น ฉีด Aqueous vasopressin, Pitressin (Vasopressin) tannate in oil และ Synthetic ADH เช่น 1-deamino-8-D- arginine vasopressin: DDAVP) หรือพ่นในรูจมูก เป็นต้น
        
        ผ่าตัดเนื้องอกในสมองออก รักษาด้วยการฉายแสงหรือเคมีบําบัด
    - - สาเหตุ ภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนสูงกว่าปกติที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กคือ โรคเกรฟ (Graves’ disease)
      - พยาธิสรีรวิทยา ต่อมธัยรอยด์ทํางานมากกว่าปกติ จึงผลิตและหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมนเข้าสู่ กระแสเลือดมากผิดปกติ จึงไปยับยั้งการหลั่ง TRH และTSH ทําให้ร่างกายมีเมตาบอลิซึมสูง ซึ่งธัยรอยด์ ฮอร์โมนที่มีมากขึ้นอาจจะ สร้างขึ้นเองในร่างกายหรือได้รับมาจากภายนอ
      - อาการและอาการแสดง
        
        คอพอก ตาโปน
        
        อาการของเมตาบอลิซึมสูง ทําให้ร่างกายมีการสร้างความร้อนมาก และต้องระบายความ ร้อน ออกทางผิวหนัง
        
        อาการของระบบหัวใจและหลอดเลือด
        
        อาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
      - การรักษา
        
        การผ่าตัดต่อมธัยรอยด์ออกบางส่วน (Subtotal thyroidectomy) ได้ผลเร็วใช้เวลาสั้นดี สําหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล
        
        รักษาด้วยการรับประทานกัมมันตภาพรังสีไอโอดีน (Radioiodine therapy: 131 I) ในรายที่ การให้ยาต้านธัยรอยด์ไม่ได้ผล และทําการผ่าตัดไม่ได้
        
        การให้ยาต้านการทํางานของต่อมธัยรอยด์ (Anti-thyroid drug) เช่น PTU
        (Propylthiouracil) และ Methimazole (Tapazol) เป็นต้น