Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่8 การพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ -…
บทที่8
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
8.1 ความหมายของอุบัติเหตุ
อุบัติเหตุ (Accident) หมายถึง เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งอุบัติเหตุ อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ อันตรายและเสียชีวิตได้
จากรายงานความปลอดภัยทางถนนขององค์การอนามัยโลก ปี พ.ศ. 2556 พบว่า อัตราผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขี้นเป็นอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (วิทยา ชาติบัญชาชัย, 2556) ส่วนในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมีสถิติผู้เสียชีวิตจาก อุบัติเหตุทางถนนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และะสถิติจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศูนย์ข้อมูล ข่าวสาร ด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย, 2557) พบว่า ในปี พ.ศ. 2557 เด็กไทยมีการบาดเจ็บฉุกเฉินจาก อุบัติเหตุยานยนต์มากที่สุดถึง 318,379 ครั้ง พลัดตกหกล้ม 94,122 ครั้ง และหายใจลําบาก/ติดขัด 91,695 ครั้ง
8.2 ปัจจัยที่ทําให้เด็กและวัยรุ่นได้รับอุบัติเหตุในแต่ละช่วงวัย
ตัวเด็กเอง โดยธรรมชาติเด็กจะมีความอยากรู้ อยากเห็น ตามพัฒนาการของเด็กที่ต้องมีการ เรียนรู้ พัฒนาการของเด็กจะพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และ สติปัญญา ซึ่งแต่ละช่วงวัยจะมี พฤติกรรมแตกต่างกัน อันเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น เด็กวัยเตาะแตะ หรือวัยก่อนเรียน อยู่ ในช่วงวัยที่อยากรู้อยากเห็น เด็กจึง ชอบสํารวจ สัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ อาจหยิบวัตถุเล็กๆ ใส่ปาก ทําให้เกิดอุบัติเหตุได้
ความประมาท เลินเล่อ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ที่ดูแลเด็ก หากผู้ดูแลเด็ก มีความประมาท ขาดความรอบคอบ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่เด็กได้ การวางของมีคมในที่ที่เด็ก สามารถหยิบมาเล่น ได้ การใช้สารเคมีต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหนู เมื่อใช้แล้วไม่เก็บให้พ้น มือเด็ก การเก็บยารักษาโรคต่างๆ ไว้ในตู้เย็น ทําให้เด็กอาจหยิบมารับประทานได้ นอกจากนี้การขาดการ เอาใจใส่เด็กของผู้ดูแลเด็ก เช่น การปล่อยเด็กให้ลงเล่นน้ําในสระว่ายน้ําบ่อน้ํา หรือคลอง ตามลําพัง ทําให้เด็กจมน้ําได้
สิ่งแวดล้อม ทั้งสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพและ สิ่งแวดล้อมด้านสังคม เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ในเด็กได้ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ถนน แม่น้ํา ลําคลอง สระน้ํา สนามเด็กเล่น บริเวณบ้านที่มีอุปกรณ์ เครื่องใช้ที่เก่าชํารุด วางทิ้งไว้ไม่เป็นระเบียบ ของเล่นเด็กที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือสนามเด็กเล่นที่มีอุปกรณ์ ชํารุด สิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุในเด็กได้เสมอ ส่วนสิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น การอยู่ในชุมชนที่เสี่ยง อันตราย ผู้คนรอบข้างที่มีการใช้ความรุนแรง ทําให้เด็กมีโอกาสถูกทําร้ายหรือล่วงละเมิดได้มากขึ้น
วัยทารก – 3 เดือน
เด็กวัยนี้ช่วยเหลือตัวเองและเคลื่อนไหวได้น้อย สามารถยกศีรษะได้เองบ้าง ยังพลิกตะแคงตัวไม่ได้ อุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นได้แก่ หายใจไม่ออกเนื่องจากหน้าจมอยู่ในหมอน ลื่นจมน้ํา สําลักนม ส่วนของร่างกายติดขัดอยู่กับซี่กรงของเตียง การตกจากที่สูง และน้ําร้อนลวก
วัยทารก 3 - 12 เดือน
เด็กวัยนี้กล้ามเนื้อคอเริ่มแข็งแรงขึ้น เริ่มพลิกตะแคงตัวได้ หยิบจับของได้ แน่นและนําเข้าปากตนเอง เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปจะเริ่มนั่งได้เป็นเวลาสั้นๆ เริ่มคลาน และหัดเดิน อุบัติเหตุ ที่มักเกิดขึ้นได้แก่ หกล้ม ตกจากที่สูง น้ําร้อนลวก วัตถุหรือของเล่นติดคอ กลืนวัตถุมีพิษ ไฟดูด
วัยหัดเดิน 1 – 3 ปี
วัยนี้จะเริ่มเป็นอิสระมากขึ้น เดินเก่ง วิ่งคล่อง แต่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับอันตราย จากสิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ หกล้ม ตกบันได กินสารพิษหรือยาเกินขนาด ไฟดูด น้ําร้อนลวก วัตถุติดคอเป็นต้น
วัยก่อนเรียน 3 – 6 ปี
เด็กวัยนี้จะชอบปีนป่าย วิ่งคล่อง เปิด ปิดประตูได้ อาจจะรู้จักอันตราย บางอย่าง แต่ยังมีความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีความระมัดระวัง อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุในถนน จากการวิ่งลงถนน ข้ามถนน ถีบจักรยาน จมน้ํา ไฟดูด อันตรายจากการปีนป่าย สิ่งของหล่นใส่ น้ําร้อนลวก สิ่งแปลกปลอมเข้าหู ตา จมูก กลืนกินสารพิษ หรือแม้กระทั่งการขาดอากาศหายใจจากการเล่นโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์
วัยเรียน 6 – 12 ปี
เด็กวัยนี้มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายมาก เล่นในกลุ่มเพศเดียวกัน เด็กยัง มีความ อยากรู้อยากเห็น อาจเกิดอุบัติเหตุจากการเล่นเช่น เล่นไม้ขีดไฟ เล่นปืนหรือของมีคม อุบัติเหตุบน ถนน การกลืนสารพิษ ตกจากที่สูง เป็นต้น
วัยรุ่น 12 – 18 ปี
เด็กวัยนี้เป็นวัยที่แข็งแรงมีพละกําลังมาก มักจะติดเพื่อน มีพฤติกรรมกิจกรรม ตามกลุ่มเพื่อน อุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นคือ อันตรายจากการใช้พาหนะ เมาสุรา จมน้ํา ใช้อาวุธทําร้ายเป็นต้น
8.3 การพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับอุบัติเหตุ และสารพิษ
8.3.1 อุบัติเหตุไฟไหม้ น้ําร้อนลวก (Burns)
การประเมินระดับความลึกของบาดแผลไฟไหม้
ความลึก ผิวหนังมีความลึก 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกําพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้
1.1 ระดับแรก (First degree burn)
หมายถึง บาดแผลที่มีการทําลายของเซลล์หนัง กําพร้าชั้นผิวนอกเท่านั้น หนังกําพร้าชั้นในยังไม่ถูกทําลาย สามารถเจริญขึ้นมาแทนที่ส่วนผิวนอกได้ จึงมี โอกาสหายได้สนิทและไม่มีแผลเป็น (ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ) มักเกิดจากการถูกแดดเผา (อาบแดด) การถูกน้ําร้อน ไอน้ําเดือด หรือวัตถุที่ร้อนเพียงเฉียด ๆ และไม่นาน
1.2 ระดับที่สอง (Second degree burn)
หมายถึงบาดแผลที่มีการทําลายของหนัง กําพร้าตลอดทั้งชั้น (ทั้งชั้นผิวนอกและชั้นในสุด) และหนังแท้ ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ ไม่เกิดเป็นแผลเป็นเช่นกัน (ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้อ) มักเกิดจากถูกของเหลวลวก หรือถูกเปลวไฟ บาดแผลจะมีลักษณะแดงและพุเป็น ตุ่มน้ําขนาดเล็ก และใหญ่ (Blister) ผิวหนังอาจหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ มีน้ําเหลืองซึม มีอาการ เจ็บปวด อาจทําให้สูญเสียน้ํา โปรตีนและเกลือแร่ และติดเชื้อได้ง่ายแผลจะหายภายใน 2-6 สัปดาห์
1.3 ระดับที่สาม (Third degree burn)
หมายถึง บาดแผลที่มีการทําลายของหนังกําพร้า และหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้ง ต่อมเหงื่อ ขุมขนและเซลล์ประสาท ผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผล ผิวหนังทั้งชั้นจะหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ หรือแดงสลับขาว หรือเป็นเนื้อที่ไหม้เกรียม
ตําแหน่ง บาดแผลบริเวณใบหน้า คอ เป็นบริเวณที่ต้องให้ความสําคัญ อาจทําให้เป็น แผลเป็น และเสียโฉมได้มาก ถ้าถูกบริเวณตา อาจทําให้ตาบอดได้ส่วนบาดแผลบริเวณเท้า อวัยวะเพศมี ความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการติดเชื้อตามมาได้สูง แผลที่มือและตามข้อพับต่าง ๆ อาจทําให้ข้อนิ้วมือและ ข้อต่าง ๆ มีแผลเป็นดึงรั้ง ทําให้เหยียดออกไม่ได้
ขนาด หมายถึงบริเวณพื้นที่ของบาดแผล แผลขนาดใหญ่ (กินบริเวณกว้าง) จะมีอันตราย กว่าแผลขนาดเล็ก อาจทําให้ร่างกายสูญเสียน้ํา โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมี โอกาส ติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษถึงตายได้
แนวทางการรักษา
การรักษาแบบผู้ป่วยนอก บาดเจ็บเล็กน้อย ให้ล้างทําความสะอาดบาดแผลด้วยน้ําเกลือ และสบู่อ่อน ๆ อาจทาด้วยยาชา เพื่อลดการปวดแสบปวดร้อน หรือทาด้วยยาปฏิชีวนะแบบขี้ผึ้ง เพื่อ ป้องกันการติดเชื้อ แล้วปิดทับด้วยผ้าแห้งและสะอาด
การรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล ได้แก่ ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ปานกลางจนถึง รุนแรงสําลักควัน สิ่งสําคัญที่ต้องพิจารณาในการวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีแผลไฟไหม้ คือ มีบาดแผลตําแหน่งที่อันตรายหรือมีอาการอื่นร่วมหรือไม่ ดูแลเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ดูแลระบบ ไหลเวียนเลือด ป้องกันภาวะ Hypothermia ช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การให้เลือด การให้ยา การรักษาบาดแผล
การประเมินสภาพ
ซักประวัติการได้รับอุบัติเหตุ เช่น เวลาที่เกิดเหตุ ระยะเวลาที่เป็น การปฐมพยาบาล เบื้องต้น และประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
ประเมินความรุนแรงของบาดแผลไฟไหม้ น้ําร้อนลวก ได้แก่ ประเมินความลึก ตําแหน่ง บาดแผล และขนาด
8.3.2 อุบัติเหตุจากการกลืนสิ่งแปลกปลอม
การช่วยเอาสิ่งแปลกปลอมออก
ในกรณีเป็นเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำอยู่บนตัก และมือของผู้ ช่วยเหลือ ให้ศีรษะตรง และอยู่ต่ำกว่าส่วนของลําตัว แล้วใช้สันมือตบลงไปที่บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะบัก ทั้งสองข้าง (Back blows) ประมาณ 4-5 ครั้งติดกัน หลังจากนั้นถ้าสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุดออกมา
ถ้าเป็นเด็กโต ให้เด็กนอนคว่ำพาดบนตักผู้ใหญ่ โดยให้ศีรษะของเด็กห้อยต่ำกว่าลําตัว แล้วตบบริเวณกลางระหว่างไหล่สองข้าง
3) Abdominal thrusts หรือ Heimlich maneuver เป็นวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่สงสัยมี สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็กที่อายุมากกว่า 1 ปีที่รู้สึกตัวอยู่ โดยกํามือด้านหัวแม่มือวาง บริเวณลิ้นปี่ของเด็กและใช้มืออีกข้างออกแรงกด 4 ครั้งอาจช่วยในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือยืน (ภาพที่ 8.6) สําหรับผู้ป่วยที่หมดสติให้ทําการช่วยเหลือโดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย วิธีการคือ ใช้แรงกระแทก พอประมาณกดลงตรงกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่กับสะดือ 6-10 ครั้งแรงกระแทกอยู่ในแนวกึ่งกลางของลําตัว และกระแทกขึ้นไปทางด้านบนของลําตัวเท่านั้น
4) Finger Sweep การใช้นิ้วล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในปากและคอให้ใช้ เฉพาะในกรณีที่เห็นสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่เท่านั้น ในกรณีที่ไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม ห้ามใช้นิ้วลองควานหาสิ่ง แปลกปลอมในปาก เพราะอาจเป็นการทําให้สิ่งแปลกปลอมที่ติดค้างอยู่ลงในตําแหน่งที่ลึกลงไปและจะทําให้เอาออกได้ยากยิ่งขึ้น
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการให้อาหารชิ้นใหญ่และกลม เช่น ลูกชิ้นแก่เด็กเล็ก
หลีกเลี่ยงการให้ผลไม้ที่มีเมล็ด เนื้อปลามีก้าง ถั่วแห้ง ลูกอม หมากฝรั่ง ข้าวโพด องุ่น
เลือกของเล่นที่มีขนาดใหญ่ ไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆที่ถอดออกจากกันได้
8.3.3 อุบัติเหตุจากการได้รับสารพิษ
การได้รับสารพิษ หมายความถึง สารพิษเข้าสู่ร่างกาย โดยการรับประทาน สูดหายใจ สัมผัส ทางผิวหนัง หรือ ฉีดผ่านทางผิวหนังเข้าไปในร่างกายทําให้เกิดอันตราย พิการ หรือถึงแก่ชีวิต การได้รับ สารพิษเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กอายุ 2-3 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ ถามว่าเด็กทานสารใด สิ่งต้องสงสัย ปริมาณเท่าใด ใครอยู่กับเด็กเวลาที่ เกิดเหตุ อาการก่อนมาโรงพยาบาล
การตรวจร่างกาย ดูลักษณะทั่วไป ลักษณะผิวหนัง กลิ่นลมหายใจ อาจบ่งชี้ถึงสารพิษได้
อาการและอาการแสดง เช่น หายใจหอบ เหงื่อออก ปากพอง ปวดท้อง หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตผิดปกติอาจช่วยให้ทราบถึงชนิดและความรุนแรงของสารพิษที่ได้รับ
ชนิดของสารพิษ
สารที่ทําให้เกิดพิษต่อมนุษย์มีที่มาจากแหล่งต่างๆ กัน อาจเป็นพิษจากสัตว์ พิษจากแร่ธาตุ ต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว ฟอสฟอรัส สารหนู และสารสังเคราะห์ต่าง ๆเช่น ยา ยาฆ่าแมลง ยาอันตราย รวมทั้งสารสังเคราะห์ ที่ใช้ในครัวเรือนจําพวกน้ํายาฟอกขาว น้ํายาขัดห้องน้ํา
หลักการปฐมพยาบาลเมื่อเด็กได้รับสารพิษ
ทําให้สารพิษเจือจาง ในกรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวและไม่มีอาการชัก โดยการให้ดื่มน้ําหรือนม ซึ่งหาง่ายที่สุด นมนอกจากจะช่วยเจือจางแล้วยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหารถ้า กินสารพิษที่เป็นกรดอย่างแรงเข้าไป ให้ดื่มด่างอ่อนๆ เช่น น้ําปูนใส ผงถ่านละลายน้ํา หรือถ้ากินด่างอย่าง แรงเข้าไป ก็ให้ดื่มกรดอ่อนๆ เช่น น้ําส้มสายชู น้ําส้มคั้น น้ํามะนาว
กําจัดสารพิษออกจากร่างกาย ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนําส่งไปโรงพยาบาล ผู้ช่วยเหลือต้องขจัดเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหารที่ยังไม่ได้ดูดซึมเข้าไปทําอันตรายต่อร่างกาย การทําให้อาเจียน
ดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร เป็นการลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สารที่ใช้ได้ ผลดี คือ Activated charcoal ลักษณะเป็นผงถ่านสีดํา ให้ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ํา 1 แก้ว ให้ เด็กดื่ม หรือ ไข่ขาว 3-4 ฟองตีให้เข้ากัน หรือแป้งสาลีละลายน้ํา หรือ น้ํามันมะกอก หรือ น้ํามันสลัด อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ให้ยาแก้พิษ (antidote) จะช่วยลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากสารพิษ เช่น N-Acetylcysteine เป็น Antidote ของ Acetaminophen สารพิษที่พบว่าเด็กได้รับบ่อย ได้แก่ พิษ จากยาแก้ไข้ ลดปวด และสารกัดกร่อน
การป้องกัน
ไม่ปล่อยเด็กไว้ตามลําพัง
เก็บยา สารเคมีต่างๆที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็ก ไว้ให้พ้นมือเด็ก หรือเก็บใส่ตู้ปิดกุญแจ
ไม่เก็บยา หรือสารเคมีไว้ที่เดียวกับอาหาร และไม่บรรจุสารพิษในภาชนะที่เคยใส่อาหาร
ไม่หลอกเด็กว่ายา คือขนม และอ่านฉลากทุกครั้งก่อนให้ยาเด็ก
8.3.4 การจมน้ํา (Drowning)
สาเหตุ
เด็กมีทักษะไม่เพียงพอ ที่จะเล่นน้ํา เช่นการว่ายน้ําในสระว่ายน้ํา แม่น้ํา คลอง หนอง บึง น้ําตก ฯลฯ แหล่งน้ําเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เด็กชอบเล่นมาก เมื่อเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย เด็กมี ทักษะการว่ายน้ําไม่เพียงพอจึงได้รับอันตราย
เกิดจากเด็กขาดความรู้ เด็กไม่ทราบว่า การเล่นโลดโผน วิ่งเล่นไล่จับ (โดยเฉพาะ บริเวณน้ําตก) หรือว่ายออกนอกบริเวณ จะทําให้เกิดอันตรายที่ช่วยเหลือไม่ทัน เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัย
เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น ในแหล่งน้ํามีเศษแก้ว ของมีคม หรือในทะเลบาง ช่วงเวลาจะมีแมงกะพรุนไฟ ในแม่น้ําที่มีพืชน้ํา
การช่วยเหลือเบื้องต้น
การจมน้ําทําให้เด็กไทยเสียชีวิตกว่าปีละ 1,400 คนต่อปีการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธี จะ ช่วยเหลือเด็กจากการจมน้ําได้เด็ก เมื่อจมน้ําจะขาดอากาศหายใจ และหมดสติน้ําที่สําลักเข้าไปในปอดแล้ว จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที ความพยายามที่จะเอาน้ําออก เช่น การอุ้มพาดบ่า เพื่อกระทุ้งเอาน้ําออก หรือการวางคว่ําบนกระทะใบบัวแล้วรีดน้ําออก ไม่มีความจําเป็นและอาจก่อให้เกิด ผลเสียได้น้ําที่ไหลออกมาจากการกระทุ้งหรือรีดท้องนั้นเป็นน้ําจากกระเพาะอาหาร ไม่ใช่น้ําจากปอด ดังนั้น หลักการปฐมพยาบาลเด็กจมน้ําที่สําคัญที่สุด คือ การช่วยให้เด็กหายใจได้ให้เร็วท่ีสุด
การปฐมพยาบาลเด็กจมน้ําท่ีรู้สึกตัว
หากเด็กรู้สึกตัวหายใจได้เองการปฐมพยาบาลคือการเช็ดตัวเปล่ียนเส้ือผ้าแห้งให้แก่เด็กและ นําส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบอาการแม้เด็กจะหายใจได้ดีในระยะแรกแต่อาจมีอาการหายใจลําบากได้ใน ภายหลังสาเหตุจากถุงลมในปอดถูกทําลายจากการสําลักน้ํา
8.3.5 บาดแผลจากของมีคมบาด การกระแทก หรือตกจากที่สูง
การดูแลเมื่อบาดแผลจากของมีคม
ห้ามเลือดโดยการกดบริเวณแผลด้วยผ้าพันแผลหรือผ้าสะอาด หากเป็นไปได้หรือถ้าจําเป็น ให้ยกบริเวณบาดแผลให้อยู่ในตําแหน่งที่สูงกว่าหัวใจเพื่อลดการไหลของเลือด
ปล่อยน้ําสะอาดไหลผ่านแผลเพื่อล้างแผล ใช้มือที่สะอาดนําสิ่งแปลกปลอม เช่น สิ่งสกปรกออกจากบริเวณบาดแผล
ซับแผลให้แห้ง แล้วฆ่าเชื้อด้วยครีมฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อฆ่าเชื้อบริเวณบาดแผล และลดความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนจากการสัมผัสบาดแผล
ปิดแผลด้วยผ้าพันแผล
การพลัดตก หกล้ม หรือตกจากที่สูง
สาเหตุและการดูแลเด็กที่ได้รับบาดแผลจากของมีคมบาด การกระแทก หรือตกจากที่สูง จําแนกตามช่วงอายุ
เด็กอายุ 0-6 เดือน
เด็กแรกเกิดสามารถถีบขาดันกับสิ่งขวางกั้นต่างๆ ทําให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม ทําให้เด็ก ตกจากที่สูง เช่น เตียง เก้าอี้โซฟาได้
เด็ก 4 เดือนเริ่มคว่ำได้และ 6 เดือนจะสามารถ หงายได้ทําให้เด็กกลิ้งได้เด็กตกจากที่ สูง เช่น เตียง เก้าอี้โซฟาได้
เด็กอายุ 6-12 เดือน
เด็ก 6-12 เดือน จะเริ่มเคลื่อนที่ได้ดีและเร็ว ขึ้นจากกลิ้งได้คืบได้คลานได้เกาะเดินได้ และเดินได้เอง เด็กจะมีความเสี่ยงต่อการตก บันได หกล้ม ชนกระแทก
ควรมีประตูกั้นที่บันได เป็นประตูที่เปิดเข้าหา ตัวได้ทิศทางเดียว และปิดกลอนไว้เสมอ เพื่อป้องกันเด็กไม่ให้ปีนป่ายบันไดได้
เด็กอายุ 1-3 ปี
เด็กวัยนี้จะวิ่งและปีนป่ายได้ดังนั้นเด็กจะมีความ เสี่ยงสูงต่อการตกบันได หกล้ม
ราวบันไดและระเบียงต้องมีช่องห่างไม่เกิน 9 ซม
หน้าต่างต้องอยู่สูงอย่างน้อย 1 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กปีนป่ายได้
เฟอร์นิเจอร์เช่น โต๊ะ ตู้ต้องไม่มีมุมคม หากมีควรใส่อุปกรณ์กันกระแทกที่มุมขอบทุกมุม
เด็กอายุ 3-6 ปี
ความสูงของเครื่องเล่นสนามต้องไม่สูงเกิน 150 ซม. เครื่องเล่นหนักต้องยึดติดฐานเพื่อป้องกันไม่ให้ล้มทับเด็ก
พื้นสนามเด็กเล่นที่มีเครื่องเล่นสูงที่ต้องปีนป่าย ต้องอ่อนนิ่ม ลดการกระแทก เป็นพื้น ยางสังเคราะห์หรือพื้นทรายที่ลึก 30 ซม.ขึ้นไป
เด็กอายุ 6-12 ปี
จัดเตรียมพื้นที่เล่น ลานกีฬา สนามเด็กเล่นใน ชุมชนสําหรับเด็กให้มีความปลอดภัย
ของเล่นมีล้อ (สเก๊ตบอร์ด สกูตเตอร์ร้องเท้าสเก๊ต รถจักรยานสองล้อที่ไม่มีล้อเสริมทรงตัว) ต้องเล่น ในที่ที่ปลอดภัย ไม่ใกล้ถนน และต้องใช้อุปกรณ์ เสริมความปลอดภัยเสมอ
8.4 บทบาทของครอบครัวและชุมชนในการดูแลและป้องกันอุบัติเหตุเบื้องต้นในผู้ป่วยเด็ก และวัยรุ่นที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
ชวนลูกจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านอย่างมีระเบียบและสนทนาแนะนําลูก เช่น ของเล่นเก็บในที่เก็บ หากไปวางขวางระเกะระกะบริเวณทางเดิน หรือบันไดบ้าน จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เหยียบลื่นพลาดตก บันได ทําให้ร่างกายบาดเจ็บ
แสดงสภาพการเกิดอุบัติเหตุจากหุ่น ตุ๊กตา ให้ลูกเห็นผลของการเกิดอุบัติเหตุ มีคําถามให้เด็ก คิดถึงเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญและจะแก้ไขอันตรายที่ประสบอยู่อย่างไร
ชี้แนะให้ลูกรู้จักสิ่งของที่เป็นอันตราย เช่น กระติกน้ําร้อน มีดและของมีคมทั้งหมด ปลั๊กไฟ สารเคมี ยา ให้เด็กเชื่อฟังและมีวินัย จากการที่พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี แต่อย่างไรก็ดี พ่อแม่จะต้องสอน เด็กตามวัยอย่างเหมาะสม อธิบายเหตุผลประกอบข้อห้าม เปรียบเทียบข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติตาม เช่น บอกเด็กวัย 5 ขวบว่า กระติกน้ําร้อนนั้น มีน้ําร้อน หากลูกไปเล่นจะทําให้น้ําร้อนลวก แล้วลูกเจ็บ
แนะนําและสาธิตการเล่นที่ถูกวิธี การเล่นเครื่องเล่นสนาม เช่น การลื่นลงบันไดลื่นไม่ควรปีนป่ายทางด้านลื่น การโล้ชิงช้าให้นั่งไม่ควรยืนและกระโดดลงมา ฯลฯ
เล่าเรื่องธรรมชาติสัตว์เลี้ยงที่ทําร้ายเด็กได้ เช่น ลิง นก ไก่ แมว สุนัข ฯลฯ
ให้ลูกรู้จักสัตว์ดุร้าย มีพิษ และเชื้อโรคจากสื่อประเภทต่างๆ เช่น แผ่นภาพ แถบบันทึกภาพ ภาพยนตร์สารคดี ฯลฯ สัตว์มีพิษ ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบ ผึ้ง ต่อ แตน มด หนูเป็นสัตว์อันตราย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กเกิดจากสภาพแวดล้อมรกรุงรัง มีมุมอับชื้น มักจะมีงู ตะขาบ หนู แมลงสาบมาอยู่ โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนหรือคืนฝนตกจะมีกบ เขียด อึ่งอ่างออกมาหากิน งูก็ออกมาล่าสัตว์เหล่านี้ และซุกตัว อยู่บริเวณอับชื้น จึงควรระมัดระวังเด็กและแนะนําให้เด็กหลีกเลี่ยงไม่เดินบริเวณที่มีหญ้ารกทึบ ให้สวมรองเท้าหุ้มข้อมิดชิด
อ่านหนังสือสารคดีเด็กเรื่องอุบัติเหตุให้ลูกฟัง เช่น เรื่องอุบัติเหตุของช้างน้อยที่เกี่ยวกับช้างน้อยชื่อแชมป์รีบร้อนเพราะอยากกินขนมจึงเสียบปลั๊กไฟทั้งๆ ที่ตัวเปียก จึงเกิดไฟฟ้าดูด หรือ บางครั้งการดูข่าวโทรทัศน์พร้อมลูก มีข่าวอุบัติเหตุ พ่อแม่สนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดกับเด็กได้ด้วยภาษา ง่ายๆ เช่น อุบัติเหตุจากการปีนป่ายเครื่องเล่นสนามจะต้องระมัดระวังอย่างไร เหตุเกิดจากอะไร