Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การช่วยเหลือเบื้องต้นในเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ - Coggle Diagram
การช่วยเหลือเบื้องต้นในเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
สาเหตุและปัจจัย
วัยของเด็ก เด็กที่อยู่ในวัยต่างกันมีประสบการณ์และพัฒนาการที่แตกต่างกัน
ดังนั้นความสามารถในแต่ละวัยจึงมีความแตกต่างกันไปด้วย ลักษณะของอุบัติเหตุก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน
2.สภาพของครอบครัว ปัจจุบันบิดามารดาต้องทำงานเพื่อหารายได้ จึงมีเวลาดูแลเด็กน้อย
ทำให้เด็กได้รับการดูแลไม่ดีเท่าที่ควร
สิ่งแวดล้อม ลักษณะชุมชนเมืองที่มีบ้านพักแออัด อยู่ใกล้คูคลอง แม่น้ำ หรือติดถนน
ไม่มีบริเวณบ้านหรือสนามให้เด็กเล่นเท่าที่ควร
เมื่อเด็กออกไปนอกบ้านก็อาจได้รับอันตรายจากสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน
อุบัติเหตุ
การจมน้ำ (drowning) เป็นอุบัติเหตุที่พบบ่อยและทำให้เสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของการตายในเด็กสาเหตุเกิดจากตกน้ำในคู คลอง สระว่ายน้ำ อ่างน้ำ
ถังน้ำ กะละมังซักผ้า โอ่งน้ำเล่นน้ำในแม่น้ำลำคลองหรือทะเล เป็นต้น ถ้าจมน้ำแล้วเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า จมน้ำตาย(drowning)
แต่ถ้าจมน้ำแล้วไม่เสียชีวิตและมีชีวิตนานเกิน 24 ชั่วโมง เรียกว่าจมน้ำเกือบตาย (near-drowning)
การป้องกันการจมน้ำ
ดูแลทารกอย่างใกล้ชิดเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น สระว่ายน้ำ แม่น้ำ กะละมังล้างจานที่มีน้ำอยู่เนื่องจากการจมน้ำสามารถเกิดได้เสมอแม้ระดับน้ำตื้น เมื่อเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปควรหัดให้เด็กว่ายน้ำได้ กรณีโดยสารเรือผู้ปกครองควรใส่เสื้อชูชีพพอดีตัวให้แก่เด็ก
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.อุ้มขึ้นจากน้ำ โดยให้ศีรษะเด็กอยู่ต่ำกว่าทรวงอกเพื่อป้องกันการสำลักน้ำเข้าปอด
ถ้าเด็กหายใจเองได้ ให้ถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำออก ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าที่แห้งสะอาดเช็ดตัว
คลุมตัวไว้เพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ
ถ้าเด็กจมน้ำนานเกิน 4 นาที อาจทำให้สมองตายได้ ต้องรีบทำการช่วยคืนชีพ
อย่างต่อเนื่องจนกว่าการหายใจและการไหลเวียนเลือดจะเป็นปกติ
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา หู จมูก คอ หลอดลม สิ่งแปลกปลอมหมายถึง วัตถุชิ้นเล็กๆ ที่ตกเข้าไปในตา หู จมูก ปากหรือหลอดลมทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิตได้ สิ่งแปลกปลอม ได้แก่ เมล็ดผลไม้ต่างๆ ถั่ว กระดุม ลูกปัด เหรียญ ก้างปลา ชิ้นส่วนของเล่น เป็นต้น
การป้องกัน
เก็บอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ให้เรียบร้อย โดยเฉพาะวัตถุที่มีขนาดเล็ก
ไม่ควรให้เด็กรับประทานอาหารที่เสี่ยงจะทำให้ติดคอ เช่น ผลไม้ที่มีเมล็ด ปลาที่มีก้างติด
ไม่ควรเล่นกับเด็ก ทำให้เด็กหัวเราะหรือให้เด็กวิ่งเล่นขณะรับประทานอาหารจะทำให้เด็กสำลักได้ง่าย
ควรเลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัย ของเล่นไม่ควรมีชิ้นส่วนเล็กที่หลุดได้ง่าย
การช่วยเหลือเบื้องต้น
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา อาจเป็นเศษดิน เศษหิน หรือแมลงเข้าตา ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้
1.ห้ามขยี้ตา
2.ใช้น้ำสะอาดราดผ่านตาเบาๆ จากหัวตาไปหางตาโดยเอียงหน้าให้ตาข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้านล่าง ถ้าเป็นเด็กโตให้ลืมตาในน้ำ
3.ถ้าล้างตาแล้วสิ่งแปลกปลอมไม่หลุดออก อาจใช้วิธีเขี่ย โดยถ้าสิ่งแปลกปลอมอยู่ที่หนังตาบนให้จับหนังตาบนด้วยหัวแม่มือและนิ้วชี้ พับหนังตาขึ้นโดยใช้ไม้พันสำลีกดให้เด็กมองต่ำแล้วพลิกหนังตาขึ้นทำให้เห็นเปลือกตาด้านบนและสิ่งแปลกปลอม ใช้มุมผ้าสะอาดเขี่ยออกแต่ถ้าเป็นหนังตาล่างกดหนังตาล่างด้วยนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้ ดึงลงข้างล่างให้เด็กมองขึ้นบนถ้ามีสิ่งแปลกปลอมให้ใช้มุมผ้าสะอาดเขี่ยออก
4.ถ้าเขี่ยสิ่งแปลกปลอมไม่ออก ให้ปิดตาเด็กทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้กรอกลูกตาไปมาปลอบโยนไม่ให้ตกใจ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
ถ้าเป็นสารเคมีเข้าตา จะมีอาการปวดแสบ ลืมตาไม่ขึ้น บริเวณรอบตาบวมแดง น้ำตาไหล
หรือตาบอดได้ ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.ไม่ขยี้ตา
2.ล้างตา โดยตะแคงหน้าให้ตาด้านที่ถูกสารเคมีอยู่ด้านล่าง ใช้น้ำล้างตาอย่างน้อย 10 นาที จากหัวตาไปหางตา ระวังอย่าให้น้ำกระเด็นไปถูกตาอีกข้างหนึ่ง
3.ปิดตาข้างที่ถูกสารเคมีโดยใช้ผ้าก็อซหรือผ้าสะอาด
4.ส่งโรงพยาบาล
สิ่งแปลกปลอมเข้าหู
1.ไม่เอาสิ่งแปลกปลอมออกเอง
2.ส่งโรงพยาบาล โดยให้กำลังใจหรือปลอบโยนเด็กขณะนำส่งโรงพยาบาล
3.ถ้าเป็นแมลงเข้าหู ให้เด็กนั่งลง ตะแคงศีรษะให้หูที่มีแมลงเข้าไปอยู่ด้านบนหยอดน้ำมันพืชหรือน้ำอุ่นลงไปในรูหู แมลงจะลอยขึ้นมา แล้วหยิบแมลงออก ถ้าไม่ได้ผลให้นำส่งโรงพยาบาล
สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
1.ปลอบโยนเด็กอย่าให้ตกใจ
2.ให้เด็กสั่งน้ำมูกแรงๆ โดยเอามือปิดรูจมูกข้างที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม
3.ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ไม่ลึก ให้ใช้ปากคีบเล็กๆ คีบวัตถุนั้นออกมา โดยให้เด็กก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูกมากขึ้น
4.นำส่งโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่
สิ่งแปลกปลอมติดคอหรือหลอดลม
ถ้าเป็นทารก
1.ไม่เขย่าตัวหรืออุ้มเด็กให้ศีรษะสูงให้นอนคว่ำบนแขนของผู้ช่วยเหลือ ศีรษะเด็กห้อยต่ำ จับคางและไหล่ของทารกให้มั่นคงตบกลางสะบักทั้ง 2 ข้างแรงๆ ประมาณ 5 ครั้ง
2.ถ้าสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุด ให้จับนอนหงายบนแขนอีกครั้งวางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงบริเวณครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก กดแรงๆ 5 ครั้ง
3.ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมในคอให้ใช้นิ้วกดลิ้นเอาไว้ ล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมออก ถ้าไม่เห็นอย่าล้วงคอพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมตกลึกเข้าไปในหลอดคอมากขึ้น
ถ้าเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต
1.พยายามให้เด็กไอออกมา ถ้าทำได้ แต่ไม่ควรใช้เวลากับการไอมากนัก
2.เด็กเล็กให้นอนคว่ำพาดตักผู้ช่วยเหลือ ตบกลางหลังระหว่างกระดูกสะบักด้วยความแรงปานกลาง 5ครั้ง ติดต่อกัน เด็กโตให้เด็กก้มศีรษะลง ตบกลางหลังระหว่างกระดูกสะบักแรงๆ 5 ครั้งติดต่อกัน
3.ถ้าตบหลังแล้วสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุด ให้เด็กนอนหงายบนพื้นแข็ง ถ้าเด็กเล็กให้นอนหงายบนตักใช้สันมือวางบนส่วนล่างของกระดูกหน้าอก กดแรงๆ 5 ครั้ง
4.ตรวจดูในปาก ใช้นิ้วมือกดลิ้นเอาไว้ ล้วงสิ่งแปลกปลอมที่เห็นออกมาไม่ล้วงอย่างไม่มีจุดหมายเพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมตกลึกเข้าไปในหลอดลมอีก
5.ถ้าสิ่งแปลกปลอมติดอยู่และเด็กรู้สึกตัวใช้เทคนิคการกดบริเวณหน้าท้อง (Heimlich maneuver)ให้ผู้ช่วยเหลือยืนด้านหลังเด็ก ใช้แขนทั้งสองข้าง โอบตัวเด็กบริเวณใต้รักแร้มือขวาของผู้ช่วยเหลือกำแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ ส่วนมือซ้ายวางบนมือขวาแล้วออกแรงกดอย่างรวดเร็วกดเป็นระยะๆ 6-10 ครั้ง พยายามทำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา
6.ถ้าสิ่งแปลกปลอมติดอยู่และเด็กไม่รู้สึกตัว ให้เด็กนอนหงาย ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าคร่อมตัวเด็กใช้มือขวาวางบนท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ มือซ้ายทับมือขวากดและดันมือทั้งสองข้างในทิศทางเข้าในและเฉียงขึ้นบนกดเป็นระยะสม่ำเสมอจนกว่าสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา
7.ตรวจดูในปาก ถ้าสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุดออก ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
ไฟไหม้, น้ำร้อนลวก แผลจากความร้อน (burns) หมายถึง การบาดเจ็บที่ได้รับจากสารเหลวที่ร้อนหรือสารที่ติดไฟได้ เช่นน้ำมันร้อน น้ำร้อนกระแสไฟฟ้า หรือสารเคมีต่างๆ ความรุนแรงของการถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกขึ้นอยู่กับความลึกของชั้นผิวหนัง ความกว้าง ตำแหน่งของบาดแผล อายุของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและสิ่งที่เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บหรือได้รับอุบัติเหตุ เด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี หรือผู้ใหญ่อายุมากกว่า 60 ปีจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ได้รับบาดเจ็บวัยอื่นๆ ที่เกิดแผลจากความร้อนในลักษณะเดียวกันการได้รับอันตรายบริเวณศีรษะ คอ ทรวงอก มีผลทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับปอด จนทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของการเกิดแผลจากความร้อน
วัตถุ สิ่งของที่มีความร้อน โดยการสัมผัสกับผิวหนัง สูดดม ทำให้ผิวหนังเกิดแผล
สารเคมี อยู่ในรูปของแข็ง ของเหลว ก๊าซความรุนแรงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารเคมีและระยะเวลาที่สัมผัส
กระแสไฟฟ้า จะทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ เส้นเลือด และกระดูก
สารกัมมันตรังสี เนื้อเยื่อที่ถูกสารกัมมันตรังสีอาจตายได้
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ไฟไหม้เสื้อผ้า
ใช้น้ำดับไฟ โดยเด็กนอนลง หันส่วนที่ติดไฟไว้ข้างบนแล้วใช้น้ำราดลงไปอย่าปล่อยให้เด็กวิ่งหรือนอนกลิ้งกับพื้น เพราะไฟจะลามมากขึ้นไปติดบริเวณอื่น
ถ้าไม่มีน้ำดับไฟ ใช้เสื้อ หรือผ้าห่มหนาหรือผ้าหนาๆ ห่อตัวเด็กแล้วนอนกับพื้นไม่ใช้ผ้าไนล่อนหรอืผ้าโปร่งห่อตัวเด็ก
ใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าที่ไหม้ออก แล้วนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผิวหนังที่ถูกไฟไหม้เป็นบริเวณกว้าง
ไฟฟ้าดูด
1.ปิดสะพานไฟ เพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่ตัวเด็ก
2.ถ้าไม่สามารถตัดกระแสไฟฟ้าได้ในขณะนั้น ผู้ช่วยเหลือยืนบนวัสดุที่เป็นฉนวน เช่น รองเท้าแห้งๆกล่องไม้ กล่องกระดาษ ใช้ด้ามไม้ หรือเข็มขัดหนัง เขี่ยสายไฟให้หลุดจากตัวเด็ก ระวังไม่ให้มือไปสัมผัสเท้าเด็กเพราะอาจถูกไฟดูดไปด้วย
3.ถ้าเด็กไม่มีอาการผิดปกติ ภายหลังถูกไฟฟ้าดูด ให้นอนพักและสังเกตอาการผิดปกติปลอบโยนให้เด็กสงบ
4.ถ้าหมดสติ หรือหยุดหายใจ ต้องให้การช่วยเหลือต่อไป โดยทำการช่วยฟื้นคืนชีพ
5.รีบนำส่งโรงพยาบาล
การประเมินดีกรีความลึกของบาดแผลไฟไหม้
1.แผลไหม้ระดับแรก (First degree burn)การไหม้จะจํากัดอยู่ที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (epidermis) เท่านั้น โดยบาดแผลจะแดง (Erythema)แต่ไม่มีตุ่มพอง (Blister) มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือแสบร้อน โดยแผลประเภทนี้จะใช้เวลารักษาประมาณ 7 วันโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ (ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ) ตัวอย่างได่แก่ แผลไหม้จากแสงอาทิตย์การถูกน้ำร้อน ไอน้ำเดือดหรือวัตถุร้อนแบบเฉียดๆ และไม่นาน
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบหรือใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งผสมน้ำเล็กน้อยวางตรงบริเวณที่มีบาดแผล เพื่อลดอาการปวดแสบปวดร้อนและป้องกันมิให้เนื้อเยื่อถูกทำลายมากขึ้น อาจใช้น้ำเย็นราด หรือแช่ในน้ำใส่น้ำแข็ง หรือ อย่างน้อย 20 นาทีหรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนลดลง
ปิดแผลด้วยผ้ากอซ หรือผ้าสะอาด
ถ้ายังมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือมีตุ่มใส ควรไปหาหมอ
แผลไหม้ระดับที่สอง (Second degree burn)
บาดแผลระดับที่สองชนิดตื้น (Superficial partial-thickness burn) จะเกิดการไหม้ขึ้นที่ชั้นหนังกําพร้าตลอดทั้งชั้น และหนังแท้ (dermis)แต่ยังมีเซลล์ที่สามารถเจริญทดแทนส่วนที่ตายได้จึงหายได้เร็วและไม่เกิดเป็นแผลเป็นเช่นกัน(ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้อ) มักเกิดจากถูกของเหลวลวกหรือถูกเปลวไฟลักษณะอาการและบาดแผลโดยรวมคือมีตุ่มพองใส ถ้าลอกเอาตุ่มพองออก พื้นแผลจะมีสีชมพูชื้นๆมีน้ำเหลืองซึมและคนไข้จะมีอาการปวดแสบมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักการหายของแผลใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ไม่เกิดแผลเป็นการรักษาที่เหมาะสมคือการใช้ครีมยาทาแผลเฉพาะภายนอก (Topical antibioticหรือปิดด้วยผลิตภัณฑ์ปิดดแผลชนิดต่างๆ
ส่วนบาดแผลระดับที่สองชนิดลึก (Deep partial-thickness burns) จะเกิดการไหม้ขึ้นที่ชั้นของหนังแท้ส่วนลึก ลักษณะบาดแผลจะตรงกันข้ามกับบาดแผลระดับที่สองชนิดตื้น (superficial secondarydegree burn) คือ จะไม่ค่อยมีตุ่มพอง แผลสีเหลืองขาว แห้งและไม่ค่ออยปวดบาดแผลชนิดนี้มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้แต่ไม่มากถ้าไม่มีการติดเชื้อซ้ำเติม แผลมักจะหายได้ภายใน 3-6สัปดาห์การใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่จะช่วยให้แผลไม่ติดเชื้อ
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.รีบใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ใช้ผ้าสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ผ้ากอซ หรือผ้าสะอาดปิดไว้
ถ้าบาดแผลกว้าง เช่น ประมาณ 10-15 ฝ่ามือ (10-15%) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้รวดเร็วหรือเกิดที่บริเวณหน้า (รวมทั้งปาก และจมูก) ซึ่งอาจทำให้หายใจลำบาก หรือเกิดที่ตา หู มือ เท้าหรืออวัยวะสืบพันธุ์ซึ่งอาจเป็นแผลเป็นได้ง่าย ควรส่งโรงพยาบาลทันที ขณะที่รอส่งโรงพยาบาลอาจให้การช่วยเหลือ เบื้องต้นโดย
2.1 เปลื้องเสื้อผ้าออกจากบริเวณที่ถูกไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ถ้าถอดออกลำบากควรตัดออกเป็นชิ้น ๆ แต่ถ้าเสื้อผ้าติดกับบาดแผลแน่น ก็ไม่ต้องดึงออก เพราะจะเจ็บมาก ควรใช้ผ้าสะอาดคลุม
2.2 ให้ยกส่วนที่มีบาดแผลไว้ให้สูงกว่าระดับหัวใจ
2.3 ถ้ามีกำไล หรือแหวน ควรถอดออก หากปล่อยไว้ นิ้วหรือข้อมืออาจบวมทำให้ถอดออกยาก
2.4 ถ้าผู้ป่วยกระหายน้ำ หรือใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ในการเดินทางไปถึงสถานพยาบาลควรให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรืออาจให้กินน้ำส้มคั้นใส่เกลือก็ได้ ควรให้ดื่มครั้งละ 1/4-1/2 แล้วทุก ๆ 15 นาที
2.5 ควรใช้ผ้าสะอาดบาง ๆ คลุมร่างกายของผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยนอนยกเท้าสูงเล็กน้อย
2.6 ให้พาราเซตามอล 1-2 เม็ด เพื่อระงับปวด และอาจให้ไดอะซีแพม ขนาด 5 มิลลิกรัม 1/2-1 เม็ด3. แผลไหม้ระดับที่สาม (Third degree burn)บาดแผลไหม้จะลึกลงไปจนทําลายหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อขุมขนและเซลล์ประสาทผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผล อาจกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก บาดแผลจะมีลักษณะขาวซีดเหลือง น้ำตาลไหม้หรือดํา หนามแข็งเหมือนแผ่นหนังแห้งและกร้าน อาจเห็นรอยเส้นเลือดอยู่ใต้แผ่นหนานั้นและเนื่องจากเส้นประสาทอยู่บริเวณผิวหนังแท้ถูกทําลายไปหมดทำให้แผลนี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดบาดแผลประเภทนี้ จะไม่หายเองจําเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกผิวหนังนอกจากนี้จะมีการดึงรั้งของแผลทําให้ข้ออยึดติด เมื่อหายแล้วจะเป็นแผลเป็นบางรายจะพบแผลเป็นที่มีลักษณะนูนมาก (hypertrophic scar or keloid) มักเกิดจากไฟไหม้หรือถูกของร้อนนาน ๆ หรือไฟฟ้าช็อตถือเป็นบาดแผลที่ร้ายแรง
แผลไหม้ระดับที่สาม (Third degree burn)บาดแผลไหม้จะลึกลงไปจนทําลายหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อขุมขนและเซลล์ประสาทผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผล อาจกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก บาดแผลจะมีลักษณะขาวซีดเหลือง น้ำตาลไหม้หรือดํา หนามแข็งเหมือนแผ่นหนังแห้งและกร้าน อาจเห็นรอยเส้นเลือดอยู่ใต้แผ่นหนานั้นและเนื่องจากเส้นประสาทอยู่บริเวณผิวหนังแท้ถูกทําลายไปหมดทำให้แผลนี้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดบาดแผลประเภทนี้ จะไม่หายเองจําเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกผิวหนังนอกจากนี้จะมีการดึงรั้งของแผลทําให้ข้ออยึดติด เมื่อหายแล้วจะเป็นแผลเป็นบางรายจะพบแผลเป็นที่มีลักษณะนูนมาก (hypertrophic scar or keloid) มักเกิดจากไฟไหม้หรือถูกของร้อนนาน ๆ หรือไฟฟ้าช็อตถือเป็นบาดแผลที่ร้ายแรง
สารพิษ
สิ่งสำคัญก่อนให้การรักษาที่ถูกต้อง ควรทราบว่าเด็กได้รับสารพิษชนิดใด ละหนทางหรือวิธีใดดังนั้นการซักประวัติผู้ใกล้ชิดและเห็นเหตุการณ์ เช่น พบซองยา ขวดยา หรือได้กลิ่นน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเบนซิน ตลอดจนการนำสิ่งที่เด็กอาเจียนออกมา พร้อมกับพาเด็กไปโรงพยาบาลทันทีจะทำให้ทราบชนิดของสารพิษที่เด็กได้รับ ทำให้การรักษาได้ถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว ส่งผลให้เด็กปลอดภัย
หลักการรักษาเมื่อเด็กได้รับสารพิษ
เอาสารพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุดและรวดเร็วเพื่อให้มีการตกค้างของสารพิษในร่างกายน้อยที่สุด เด็กจะมีอันตรายน้อยลง หรือปลอดภัย มีหลายวิธี ได้แก่
1.1 ทำให้อาเจียน เป็นวิธีที่ดีที่สุด การทำให้อาเจียนที่ง่ายที่สุด คือ การล้วงคอหรือให้ได้รับประทาน syrup ipecac และให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ จะช่วยให้อาเจียนเร็วขึ้นขนาดของ syrup ipecac ที่ใช้ตามอายุ ดังนี้ (Asshwill & Droke, 1997)
อายุ < 6 เดือน จะไม่ให้ยาตัวนี้
อายุ 6-12 เดือน ให้รับประทาน 10 มิลลิลิตร
ครั้งเดียวอายุ 1-2 ปี ให้รับประทาน 10 มิลลิลิตร
ให้ซ้ำได้อีกใน 15-20 นาที
ถ้ายังไม่อาเจียนทั้งนี้ห้ามทำให้เด็กอาเจียนในกรณีต่อไปนี้
1) หมดสติเพราะอาจทำให้สำลักเข้าปอดได้ง่าย
2) รับประทานสารพิษพวกกรดเข้มข้น ด่างเข้มข้น เพราะสารพิษที่อาเจียนออกมาจะกัดเนื้อเยื่อของทางเดินอาหารอีกครั้งทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
3) รับประทานสารพวกไฮโดรคาร์บอน เพราะจะทำให้สำลักเข้าปอดได้ง่า
1.2 การล้างท้อง (gastric lavage) ควรทำในรายที่หมดสติ หรือไม่อาเจียนภายหลังการให้ยาแล้วในเด็กเล็กต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะพิษจากการให้น้ำ (water intoxication)การล้างท้องจะไม่ได้ผลถ้ารับประทานสารพิษเข้าไปนานเกิน 4 ชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิด เช่น แอสไพรินและยากลุ่ม barbiturate อยู่ในกระเพาะอาหารได้นานถึง 6-12 ชั่วโมง
1.3 การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หรือให้ยาที่ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง เช่นโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) เพื่อช่วยเร่งขับสารพิษพวกแอสไพริน เป็นต้น
1.4 การเปลี่ยนถ่ายเลือด (blood exchange) หรือ hemodialysis หรือ peritoneal dialysis
เป็นต้น
การป้องกันการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานสารพิษพวกกรด หรือด่างเข้าไป ต้องทำให้เจือจาง หรือเคลือบกระเพาะเพื่อไม่ให้ทำอันตรายกับผนังกระเพาะ
การให้ยาแก้พิษ การใช้ยาแก้พิษจะได้ผลดีต่อเมื่อทราบว่าเด็กรับประทานสารพิษชนิดใดยาแก้สารพิษอาจออกฤทธิ์ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ทำลาย สารพิษโดยตรงหรือแย่งแทนที่สารพิษแล้วขับออกจากร่างกาย หรือทำให้สารพิษตกตะกอน หรือดูดซับสารพิษเพื่อไม่ให้ดูดซึมเป็นต้น
การประคับประคองสัญญาณชีพให้ปกติ เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะผู้ป่วยอาจตายจากภาวะหัวใจวาย หรือหายใจวาย หรือแม้จะให้การรักษาถูกต้องแล้วก็ตามดังนั้นการสังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยการสังเกตและบันทึกสัญญาณชีพเป็นระยะ ๆ รวมทั้งการติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจะช่วยให้สามารถประเมินปัญหาของผู้ป่วยได้ถูกต้อง และสามารถให้การรักษาได้ทันท่วงที
สารพิษกลุ่มสารตะกั่ว
สารตะกั่วที่มีผลต่อร่างกายหลายระบบและอวัยวะดังนี้
ระบบโลหิต สารตะกั่วขัดขวางการสร้างฮีม (heme)ที่ไขกระดูกดังนั้นจึงเป็นการขัดขวางการสร้างฮีโมโกลบิน (hemoglobin) และทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายจึงทำให้ผู้ป่วยมีภาวะซีด นำไปสู่ภาวะพร่องออกซิเจนได้ง่าย
ระบบประสาท สารตะกั่วทำลายทั้งระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายทำลายเซลล์สมองโดยตรงและเกิดหลอดเลือดในสมองอักเสบ ทำให้เยื้อสมองบวมมีเลือดออกมีความดันในกะโหลกศีรษะสูง ทำให้เด็กมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อาจชัก เดินเซ ไม่รู้สึกตัวสำหรับผลต่อระบบประสาทส่วนปลายพบน้อยในเด็ก คือ ปลายเท้าตก (foot drop) ข้อมือตก (wrist drop)ถ้าเซลล์ประสาทถูกทำลายอย่างถาวร เด็กจะมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง การเรียนด้อยลงในเด็กเล็กจะมีพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ ทำให้ปัญญาอ่อน
ไต สารตะกั่วทำลายหลอดไตนส่วนต้น (proximal tubule)ทำให้การดูดซึมกลับของน้ำตาลฟอสเฟต (phosphate) กรดอะมิโน (amino acid) กรดยูริค (uric acid)และไบคาร์บอเนต (bicarbonate) ไปในคนที่เป็นนาน ๆ จะทำให้ไตอักเสบ เรื้อรัง เกิดไรวาย
ระบบทางเดินอาหาร สารตะกั่วกระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบทำให้เกิดการหดตัวเด็กจะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เกิดการตายของเซลล์ตับและตับอักเสบ
หัวใจ สารตะกั่วทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเกิดกล้ามเนื้อเยื่อผังผืด ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติ
ระบบสืบพันธุ์ สารตะกั่ว ทำให้หเด็กวัยรุ่นที่เป็นวัยเจริญพันธุ์เป็นหมัน
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ สารตะกั่วทำให้เกิดข้ออักเสบ ถ้าระดับตะกั่วในเลือดมากกว่า 25ไมโครกรัม/เดซิลิตร จะทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน เพาะขาดการสร้างวิตามินดีนอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ระบบอื่น ๆ ทำให้หญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นมีความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนดนอกจากนี้ยังทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซม
อาการและอาการแสดง
ระดับสารตะกั่วในเลือดมากกว่า 10 ไมโครกรัม/เดซิลิตรจะทำให้การพัฒนาของสมองช้าลงรวมทั้งการสร้างฮีมในเม็ดเลือดแดงลดลง
ระดับสารตะกั่วในเลือดมากกว่า 40 ไมโครกรัม/เดซิลิตรจะมีภาวะซีดเด็กจะมีอาการปวดท้องรุนแรง
ระดับสารตะกั่วในเลือดมากกว่า 100 ไมโครกรัม/เดซิลิตร ทำให้เด็กเกิดอาการทางสมอง ได้แก่อาการชัก ปัญญาอ่อน อัมพาต ตาบอด หมดสติ และเสียชีวิตได้
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
มีภาวะซีด เนื่องจากมีระดับสารตะกั่วในเลือดมากกว่า 40 ไมโครกรัม/เดซิลิตร
เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะซีด
เกณฑ์ประเมินผล
ผิวหนังและเยื่อบุตาไม่ซีด
ฮีมาโตคริตมีค่า ร้อยละ 35-40
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้รับประทานยา succimer ตามแผนการรักษา เพื่อขับสารตะกั่วออกจากร่างกายรวมทั้งสังเกตอาการข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน มีผื่น และมีผลต่อหน้าที่ของตับถ้าพบอาการผิดปกติดังกล่าว รายงานแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ดูและให้เม็ดเลือดแดงชนิดเข้มข้น (packed red cell) ตามแผนการรักษาเพื่อเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงให้แก่เลือดในระบบไหลเวียน รวาทั้งการสังเกตบันทึกสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมงเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการให้เม็ดเลือดแดงชนิดเข้มข้นด้วย
ดูและให้เด็กรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ไข่แดง ตับ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง
ติดตามประเมินภาวะซีดโดยการตรวจผิวหนัง เยื่อบุตา และหาระดับฮีมาโตคริทเมื่อพบความผิดปกติ รายงานแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็ว
ติดตามการตรวจหาระดับสารตะกั่วในเลือดเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง
สารพิษกลุ่มสารกัดกร่อน
สารพิษกลุ่มสารกัดกร่อน หมายถึง สารที่มีฤทธิ์เป็นด่างหรือเป็นกรดเข้มข้น เช่น น้ำยาล้างสุขภัณฑ์น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาซักผ้าขาว เป็นต้น เด็กได้รับสารพิษชนิดนี้เนื่องจากขาดความรู้และมีประสบการณ์น้อยจึงรับประทานเข้าไป หรือสูดดม หรือทำให้หกราดผิวหนัง หรือกระเด็นเข้าตาจนเกิดอันตราย
อาการและอาการแสดง
การรับประทานจะทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนในปาก น้ำลายไหลยืด อาจพบแผลในช่องปากกลืนลำบาก อาเจียนเป็นเลือด อาจมีอาการช็อก ท้องอืด มีไข้ เสียชีวิต เนื่องจากหลอดอาหารทะลุเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ลำไส้ทะลุ มีเดียแอสตินัมอักเสบ (mediastinitis) การสำลักเข้าสู่ทางเดินหายใจจะทำให้เสียงแหบหรือไม่มีเสียง หายใจมีเสียงดัง หายใจลำบาก เนื่องจากการบวมของกล่องเสียงหลอดลมหรือเนื้อปอดถูกทำลาย หากหกราดผิวหนังจะทำให้ผิวหนังปวดแสบปวดร้อนมาก ผิวหนังแดง พองลอกหลุดเป็นแผล ถ้ากระเด็นเข้าตาจะทำให้ตาแดงอักเสบ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
เนื้อเยื่อถูกทำลาย เนื่องจากการได้รับสารกัดกร่อน
เป้าหมายการพยาบาล
เนื้อเยื่อถูกทำลายน้อยลง หรือไม่เกิดอันตรายจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย
เกณฑ์ประเมินผล
ไม่พบอาการและอาการแสดงที่เกิดจาการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น กลืนลำบากอาเจียนเป็นเลือด หายใจลำบาก
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาเบื้องต้นที่ถูกต้องรวดเร็วขึ้นอยู่กับชนิดและหนทางที่ได้รับสารกัดกร่อนเพื่อลดความรุนแรงของสารกัดกร่อนต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย ดังกล่าวไว้แล้วในการรักษาเบื้องต้น
ดูและให้ยาลดกรด เช่น milk of magnesia หรือยากลุ่ม H2 antagonist เพื่อลดการหลังกรดเช่น cimethidine ตามแผนการรักษา
กรณีที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดีให้ดื่มน้ำ และนมประมาณ 1 แก้ว เพื่อเจือจางสารกัดกร่อนและลดฤทธิ์ในการกัดเนื้อเยื่อ
ดูแลให้เพรตนิโซโลน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ตามแผนการรักษาเพื่อลดการอักเสบบวมของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย
เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการตรวจและรักษาเมือเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่นตรวจพบอาการหายใจลำบาก เนื่องจากกล่องเสียงบวมจนอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นอาจต้องดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา หรือเตรียมผู้ป่วยเพื่อรับการเจาะคอเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น
สารพิษกลุ่มทำความสะอาดเสื้อผ้าและร่างกาย
สารพิษที่เกิดจากน้ำยาหรือสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดเสื้อผ้า และทำความสะอาดร่างกาย ได้แก่ผงซักฟอก น้ำยาซักแห้ง สบู่เป็นก้อน หรือสบู่เหลว เป็นสารเคมีที่ใช้ในบ้านทุกบ้านทำให้เด็กมีโอกาสได้รับสารพิษชนิดนี้ได้ง่าย
การรักษา
ถ้ารับประทานน้ำยาซักแห้ง ต้องรีบทำให้อาเจียนเพื่อลดการดูดซึมของสารพิษในกระเพาะอาหารและลำไส้ และรีบส่งโรงพยาบาลทันทีเพื่อล้างกระเพาะอาหารถ้ารับประทานผงซักฟอกและสบู่ ไม่จำเป็นต้องทำให้อาเจียน ถ้ามีอาเจียนมากอาจำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียนไม่จำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ถ้ากระเด็นเข้าตา ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง
สารพิษกลุ่มไฮโดรคาร์บอน
การได้รับสารพิษจากสารเคมีประเภทน้ำมัน เช่นน้ำมันก๊าด
น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันจุดบุหรี่เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
การรับประทานน้ำมันจะทำให้เกิดอาการเจ็บ ๆ แสบบริเวณคอ ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียนมีเสียงในหู อาจมีท้องเสีย ขณะรับประทานอาจสำลักง่าย ทำให้เกิดปอดอักเสบ ซึ่งจะมีอาการหายใจเร็วเหนื่อยหอบ เขียว และมีไข้ต่ำ ๆ การสูดดมจะทำให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มเป็นสุข ต่อมาจะอ่อนเพลีย ไม่มีแรงวิงเวียน กระสับกระส่าย หงุดหงิด ซึม ถ้าเป็นมากอาจชัก หมดสติถ้าน้ำมันหกราดผิวหนังจะมีอาการเจ็บแสบผิวหนัง
การรักษา
การรักษาเบื้องต้น
1.1 ถ้าได้รับโดยการรับประทานเข้าไป ห้ามทำให้อาเจียน ห้ามล้างกระเพาะอาหารเพราะจะทำให้สำลักเข้าปอดได้ง่าย
1.2 ถ้าได้รับโดยการหกราดผิวหนัง ล้างด้วยน้ำสบู่หลาย ๆ ครั้ง
อาจให้รับประทานถ่านบริสุทธิ์ เพื่อจับน้ำมันก๊าด
ให้ออกซิเจน ถ้าเด็กมีอาการเหนื่อยหอบ และหายใจลำบาก
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อพบอาการของการติดเชื้อร่วมด้วย
พิจารณาใส่ท่อหลอดลมคอ ถ้าเด็กมีอาการชักหรือหมดสติ การหายใจไม่ดีและมีภาวะขาดออกซิเจน
ถ้าเด็กมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ การรักษาที่ดีที่สุดคือ การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
สารพิษกลุ่มยาฆ่าแมลง
สารพิษกลุ่มยาฆ่าแมลง หมายถึง การได้รับสารพิษจากสารเคมีที่ใช้ในบ้าน
ซึ่งเป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่ใช้มาก เช่น ยาฆ่าแมง ฆ่ามด ปลวก แมลงสาบ เป็นต้น
พยาธิสรีรภาพ
ยาฆ่าแมลงที่มี organophosphate เป็นส่วนประกอบ เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายทำให้เกิดอาการและอาการแสดงภายในนาทีหรือใน 12-24 ชั่วโมงหลังรับประทานอาการและอาการแสดงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามชนิดของ receptor ดังนี้
muscarinic receptor จะมีอาการน้ำลายไหล น้ำตาไหล เหงื่อออกมาก ปัสสาวะราด ท้องเสียคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง มีเสมหะในหลอดลมเพิ่มมากขึ้น หลอดลมตีบ ฟังปอดได้เสียงวี๊ด หัวใจเต้นช้าความดันโลหิตต่ำลง และม่านตาหดเล็ก
nicotinic receptor กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อช่วยในการหายใจ ทำให้มีอาการหายใจลำบาก กล้ามเนื้อกระตุก สั่น มีอาการชัก หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตสูง
ระบบประสาท จะมีอาการตื่นเต้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ สับสน ฝันร้าย ปวดศรีษะ เดินเซอารมณ์แปรปรวน พูดไม่ชัด ชัก และหมดสติ
การรักษา
การรักษาเบื้องต้น
1.1 ถ้าได้รับโดยการรับประทานเข้าไป ให้รีบทำให้อาเจียน หรือล้างท้องด้วยน้ำ หรือน้ำเกลือปกติอาจเติม 5% NaHCO3 เพื่อให้เป็นด่าง หลังจากนั้นควรให้ถ่านบริสุทธิ์ และยาระบาย คือ magnesiumsulphate เพื่อเร่งการขับถ่ายสารพิษที่ยังค้างในกระเพาะอาหารและลำไส้
1.2 ถ้าได้รับโดยการหกราดผิวหนัง เสื้อผ้า รีบถอดเสื้อผ้าออก และล้างผิวหนังด้วยน้ำสบู่หลาย ๆครั้งนาน 10-15 นาที
ให้ถ่านบริสุทธิ์เพื่อเร่งการขับถ่ายสารพิษ
ให้ยาแก้พิษดังนี้
3.1 atropine sulphate ขนาดที่ให้ตามอายุเด็กดังนี้- อายุ< 12 ปี ให้ 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามด้วย 0.02-0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 10-30นาที - อายุ > 12 ปี ให้ 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทางหลอดเลือดดำทุก 5-30 นาที การให้ atropine จะได้จนกระทั่งมีอาการปากแห้ง ผิวหนังอุ่น รูม่านตาขยาย แสดงถึงการรักษาได้ผล
3.2 pralidoxime (2-PAM หรือ protopam) มีฤทธิ์ เป็น cholinesterase activatorออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนปลาย การให้ยานี้เร็วที่สุดจะช่วยแก้พิษได้รวดเร็ว ทำให้กล้ามเนื้อมีแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อช่วยในการหายใจ ขนาดที่ให้ในเด็กคือ
อายุ < 12 ปี ให้ 25 – 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้ซ้ำได้ภายใน 1-2 ชั่วโมงอีกครั้ง หลังจากนั้นให้ทุก 10-12 ชั่วโมง
อายุ 12 ปี ให้ 0.5-1 กรัม ทางหลอดเลือดดำใน 15 – 30 นาที
3.3 ถ้าเด็กมีอาการรุนแรงมาก อาจให้ 2-PAM ร่วมกับ atropine
รักษาตามอาการ และประคับประคองเพื่อช่วยชีวิต เช่น การช่วยการหายจใจโดยการจัดท่านอน การดูดเสมหะ และให้ออกซิเจน
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ กรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว และยังรับประทานเองไม่ได้
สารพิษกลุ่มยารักษาโรค
การได้รับสารพิษจากกลุ่มยารักษาโรคที่ใช้ในเด็กซึ่งอาจเป็นยาอันตรายต่อเด็ก ถ้าได้รับเกินขนาด เช่น แอสไพริน (aspirin) พาราเซตามอล (paracetamol)ยาแก้แพ้ (antihistamine) ยากลุ่มบาร์บิทูเรท (barbiturate) และวิตามินที่มีธาตุเหล็ก (vitamin with iron)สาเหตุของการที่เด็กได้รับยาเกินขนาด อาจจะเนื่องจากเด็กแอบหยิบยารับประทานเองเพราะเป็นยาเม็ดที่มีขนาด รูปร่าง และสีสันน่ารับประทาน
พยาธิสรีรภาพ
พาราเซตามอล ขนาดที่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายไม่แน่นอนแต่การได้รับยาพาราเซตามอลขนาดสูง ๆ ครั้งเดียวจะทำให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ตับส่งผลให้การทำหน้าที่ขอบตับเสียไป และเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะตับวาย
แอสไพริน ขนาดของแอสไพรินที่ทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย คือ 200-280 มิลลิกรัม/กิโลกรัมระดับยาในเลือดสูงสุดภายใน 2 ชั่วโมง หลังรับประทานยา พิษของแอสไพรินจะกระตุ้นศูนย์หายใจทำให้เกิดภาวะ hyperventitation ร่างกายขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาก จนทำให้เกิดภาวะหายใจเป็นกรด(respiratory acidosis) ร่างกายมีการเผาผลาญมากกว่าปกติ มีอาการใช้ออกซิเจนมาก ความร้อนเพิ่มขึ้น ทำให้มีอาการไข้สูง และเกิดภาวะ metabolic acidosis นอกจากนี้ยังพบว่าพิษของแอสไพรินจะขัดขวางกระบวนการแข็งตัวของเลือด เกล็ดเลือดลดลง ส่งผลให้มีภาวะเลือดออกง่าย
อาการและอาการแสดง
เมื่อได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด ใน 24 ชั่วโมงแรกจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหารเหงื่อออกมาก ซีด อ่อนเพลีย ระยะต่อมาวันที่ 2 และ 3 จะมีอาการทางตับ เจ็บชายโครงขวา ระยะที่ 3 (ใน 1สัปดาห์) จะมีอาการตัว ตาเหลือง มีอาการของภาวะตับวาย และทำให้เสียชีวิตได้
เมื่อได้รับยาแอสไพรินเกินขนาด มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ หายใจเร็วระดับความรู้สติลดลง ซึม สับสน หมดสติ มีภาวะเลือดออกง่าย มีอาการแสดงภาวะขาดน้ำ เหงื่อออก มีไข้มีภาวะโซเดียมต่ำ โพแทสเซียมต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ และปัสสาวะออกน้อย
การรักษา
เด็กที่ได้รับยาพาราเซตามอล ให้การรักษาดังนี้
กระตุ้นให้อาเจียน หรือล้างท้องเพื่อลดปริมาณยาในกระเพาะอาหาร
ให้ยาแก้พิษคือ acetylcysteine ควรให้ยาแก้พิษก่อนให้ถ่านบริสุทธิ์เพราะถ่านบริสุทธิ์จะทำให้ฤทธิ์ในการแก้พิษของ acetylcysteine ลดลง acetylcysteineมีกลิ่นและรสชาติไม่ดี ถ้าใช้รับประทานควรผสมด้วยน้ำผลไม้ หรือน้ำหวานหรือให้ทางสายยางเข้าสู่กระเพาะอาหาร
ให้รับประทานถ่านบริสุทธิ์ เพื่อเคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมยา
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อแก้ภาวะขาดน้ำ
กรณีที่มีภาวะตับวายโดยมีอาการเช่น ความรู้สึกสติลดลง และหมดสติอาจพิจารณาทำการเปลี่ยนถ่ายเลือด
เด็กที่ได้รับพิษจากยาแอสไพรินให้การรักษาดังนี้
รีบทำให้อาเจียน หรือล้างท้อง เพื่อลดปริมาณยาในกระเพาะอาหาร
ให้ถ่านบริสุทธิ์เพื่อลดการดูดซึมของยา
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อเร่งการขับยาออกทางปัสสาวะ และแก้ภาวะขาดน้ำ
ทำให้ปัสสาวะเป็นด่างโดยการให้โซเดียมไบคาร์บอเนต 2-3 มิลลิอิควิวาเลนท์/กิโลกรัมฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุก 4-6 ชั่วโมง หรือให้ 5% เดกซ์โทรสใน 1/3 น้ำเกลือนอร์มัล 100 มิลลิลิตรผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 3-5 มิลลิอิควิวาเลนท์(mEq) หยดให้หมดใน 1 ชั่วโมง จะช่วยเร่งการขับaslicylate ออกทางปัสสาวะมากขึ้น
ให้วิตามิน เค ในรายที่มีภาวะเลือดออกง่าย
ในรายที่รุนแรง อาจจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนถ่ายเลือด หรือ dialysis
พิษจากแมลงสัตว์ กัด ต่อย
สัตว์ที่กัด เช่น สุนัข แมว ลิง กระต่าย กระรอก ทำให้เกิดแผล และเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้บาดแผลจะมีขนาดและความรุนแรงแตกต่างกันตั้งแต่รูเล็ก มีเลือดออกเล็กน้อยจนมีขนาดใหญ่และมีเลือดออกมาก อันตรายของบาดแผลอยู่ที่การติดเชื้อมากกว่าการตกเลือดส่วนสัตว์ที่มีพิษกัดต่อย เช่น แมลงป่อง ผึ้ง ตัวต่อแตน ตะขาบ งู พิษของมันอาจทำให้ตายได้ เนื่องจากเกิดanaphylactic shock ซึ่งจะมีอาการหายใจไม่ออก เพราะหลอดลมตีบแคบ และมีอาการช็อก คือความดันโลหิตลดลงอย่างมาก หน้าซีดเหงื่ออก ง่วงซึมหรือกระวนกระวาย สับสนและตายได้
การป้องกัน
1.สอนเด็กให้หลีกเลี่ยงการเล่นกับสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงไว้เอง ไม่รังแกสัตว์
2.สอนเด็กให้รู้จักวิธีการเล่นหรือดูแลสัตว์เลี้ยงในบ้านอย่างถูกวิธี เช่น วิธีการให้อาหารไม่เล่นกับลูกสุนัขที่เพิ่งเกิด เพราะแม่สุนัขอาจหวงลูกจนกัดได้
3.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน
4.จัดบ้านให้เป็นระเบียบ เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษมาอาศัย
5.ไม่ให้เด็กเล่นในที่มีหญ้ารก หรือสกปรก เพราะอาจมีสัตว์อันตรายมาอาศัยอยู่การช่วยเหลือเบื้องต้น
เมื่อถูกสุนัข ลิง กระรอกกัด ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้
1.ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำและสบู่ เช็ดรอบแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทา Povidone-iodineบนแผล
2.ควรไปพบแพทย์เพื่อฉีดยาป้องกันบาดทะยักหรือโรคพิษสุนัขบ้า แต่ถ้าเด็กถูกกัดบริเวณศีรษะหน้าและหลายตำแหน่ง นำเด็กไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าทันที พร้อมทั้งสังเกตอาการของสัตว์ที่กัดด้วย
เมื่อถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้
1.ถ้าเป็นงูพิษ ให้นอนนิ่งๆ ทันทีที่ถูกงูพิษกัด เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดใช้สายรัดที่ทำจากยางหรือผ้าที่มีความกว้างประมาณ 2นิ้วมือรัดเหนือแผลให้แน่นพอสอดนิ้วได้และคลายสายรัดทุก 15 นาที ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ไม่กรีดหรือดูดแผลเพราะอาจทำให้เลือดออกมากหรือมีดอาจตัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาทและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ ถ้าปวดแผลให้กินยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ห้ามให้แอสไพรินเพราะอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ และรีบนำส่งโรงพยาบาล
2.ถ้าเป็นผึ้ง ตัวต่อ ต่อย ต้องเอาเหล็กในออก โดยใช้ใบมีดขูดออกหรือใช้เทปใสปิดทาบบริเวณที่ถูกต่อยแล้วดึงเทปใสออก เหล็กในจะติดมาด้วย แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% ประคบด้วยความเย็น และทาด้วยครีมแอนติฮิสตามีนจะบรรเทาอาการปวดบวมแดงได้มาก ถ้าบางคนแพ้มากอาจเกิด Anaphylactic shockต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
3.ถ้าถูกพิษแมงกะพรุน จะทำให้ผิวหนังบวมไหม้ ให้ใช้คาลาไมน์โลชั่น หรือครีมที่มียาแก้แพ้ทาก็จะบรรเทาอาการได้ แมงกะพรุนบางชนิดมีพิษร้ายแรงทำให้หายใจขัดหมดสติต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
การช่วยฟื้นคืนชีพในเด็ก
ตามคู่มือการช่วยชีวิตในเด็ก Pediatric Resuscitation ฉบับล่าสุด พ.ศ.2558
1.คำนิยามของผู้ป่วยเด็กในการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ ได้แก่ กลุ่มทารกแรกเกิด (neonate) หมายถึง ทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 4 สัปดาห์ กลุ่มเด็ก (pediatric) หมายถึง เด็กอายุตั้งแต่ 4 สัปดาห์จนถึงเด็กโตที่ยังไม่มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงของการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
2.การตรวจดูว่ามีชีพจรหรือไม่ ถ้าเป็นคนทั่วไป หากพบว่าผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจให้ช่วยกดหน้าอกทันที แต่ถ้าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ให้คลำหาชีพจร แต่ควรใช้เวลาหาชีพจรไม่เกิน 10 วินาที
3.ผู้ช่วยเหลือควรช่วยทั้งกดหน้าอกร่วมกับการช่วยการหายใจ กรณีไม่สามารถช่วยหายใจให้กดหน้าอกอย่างเดียวได้
4.การกดหน้าอกอย่างถูกต้องทำโดย กด 1 ใน 3 ของความหนาของทรวงอกในแนวหน้าหลัง หรือ1.5 นิ้วในเด็ก อายุต่ำกว่า 1 ปี และ 2 นิ้ว ในเด็กที่อายุมากกว่า 1 ปี ในผู้ป่วยวัยรุ่นไม่เกิน 6 ซม.
5.ยืนยันการใช้ลำดับการช่วยเหลือเป็น C-A-B ในผู้ป่วยเด็กที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
6.ปรับอัตราการกดหน้าอกเป็น 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที7.การช็อกด้วยไฟฟ้า (Defibrillation) ควรใช้พลังงานไฟฟ้า 2-4 จูลต่อกก.
การช่วยฟื้นคืนชีพเด็กขั้นพื้นฐาน
1.ขั้นตอนแรกเมื่อประสบเหตุ ตรวจดูสภาพที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยหรือไม่ ตรวจสอบว่าผู้ป่วยหมดสติและหายใจหรือไม่ โดยการร้องเรียกหรือเขย่าเบาๆ บริเวณหัวไหล่ ตรวจดูว่ามีอันตรายหรือบาดแผลที่มองเห็นจากภายนอกหรือไม่ประเมินว่าผู้ป่วยต้องการการช่วยเหลือทางการแพทย์ หรือไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือเปิดลำโพงติดต่อขอการช่วยเหลือหรือตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้
2.ขั้นตอนการทำ CPR กรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองและไม่หายใจหรือหายใจไม่สม่ำเสมอ และคลำชีพจรไม่ได้ การช่วยเหลือควรเริ่มทันทีโดยการกดหน้าอกเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี กดหน้าอกด้วยวิธี two-finger technique หรือ two thumb-encirclinghands โดยกดลึก 1.5 นิ้ว เด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป อาจกดด้วยวิธีมือเดียว (One handed technique) หรือกดหน้าอกด้วยวิธีสองมือ (two handed technique) โดยกดลึก 2 นิ้ว ในผู้ป่วยวัยรุ่นไม่เกิน 6 ซม.การกดหน้าอกควรทำอย่างต่อเนื่อง หยุดพักให้น้อยที่สุดให้หน้าอกคลายตัวสุดก่อนการกดครั้งต่อไปกรณีมีผู้ช่วยคนเดียว ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง ตามด้วยเป่าลมผ่านปากหรือจมูกประมาณ 1 วินาทีจำนวน 2 ครั้ง สังเกตการเคลื่อนขึ้นลงของหน้าอก (30:2 คิดเป็น 1 cycle) ให้ทำ 5 cycle หรือ 2 นาทีแล้วค่อยโทรตาม EMS
กรณีมีผู้ช่วยสองคน ให้กดหน้าอก 15 ครั้ง ช่วยหายใจ 2 ครั้ง (15:2 คิดเป็น 1 cycle) ให้กดหน้าอกคน ช่วยหายใจ 1 คน เปลี่ยนหน้าที่ทุก 2 นาที