Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) หรือโรคเอ็มเอส (MS) - Coggle…
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) หรือโรคเอ็มเอส (MS)
ภาวะภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง
หมายถึง
โรคเอ็มเอสเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อปลอกหุ้มประสาทหรือมัยอิลิน (myelin sheath) ในระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งหากเกิดการอักเสบและทำลายปลอกหุ้มประสาทบ่อยครั้งจะส่งผลให้เกิดแผลเป็นสะสมขึ้นหลายบริเวณในระบบประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติในรูปแบบต่างๆ ขึ้นกับตำแหน่งที่มีการทำลายปลอกประสาทและอาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพทางระบบประสาทในระยะยาวได้
โรคเอ็มเอสที่เกิดจากภูมิต้านทำงานไม่สมดุลกัน (immune-mediated disease) ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติต่อต้านเนื้อเยื่อร่างกายของตนเอง เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก โดยทั่วไปจะเริ่มแสดงอาการในช่วงอายุระหว่าง 20-50 ปี โดยมักพบในกลุ่มประชากรผิวขาวและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ระบบประสาทส่วนกลางและปลอกหุ้มประสาท
ระบบประสาทของคนเราประกอบไปด้วยระบบประสาทส่วนกลางอันได้แก่ สมอง ก้านสมองและไขสันหลัง กับระบบประสาทส่วนปลายและแขนงประสาทซึ่งรวมถึงเส้นประสาทสมองและ เส้นประสาทส่วนปลาย
ระบบประสาทส่วนกลาง
ระบบประสาทส่วนกลางทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการออกคำสั่งเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อ
เส้นประสาทจะถูกห่อหุ้มด้วยฉนวนด้านนอกซึ่งมีลักษณะคล้ายฉนวนหุ้มสายไฟฟ้า เรียกว่าปลอกหุ้มประสาทหรือมัยอิลิน (myelin sheath) โดยเยื่อมัยอิลินเป็นส่วนประกอบทั้งในระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนปลาย
โครงสร้างของมัยอิลินมีไขมันเป็นองค์ประกอบหลักจึงมีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า ทำให้กระแสประสาทไม่สามารถผ่านไปได้จึงต้องกระโดดข้ามจุดที่ไม่มีมัยอิลินหุ้มจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งทำให้การนำกระแสประสาทเร็วขึ้น โดยการนำกระแสประสาทจะมีความเร็วสูงมากถึง 100 เท่าในเส้นประสาทที่มีความสมบูรณ์ของมัยอิลินเทียบกับเส้นประสาทที่ไม่มีมัยอิลินหุ้ม
หากมัยอิลินถูกทำลาย แม้จะมีการซ่อมแซมแล้ว แต่ปลอกประสาทที่ได้รับการซ่อมแซมมัยอิลินจะมีขนาดปลอกประสาทเล็กและสั้นกว่าเดิม ดังนั้น การนำกระแสประสาทก็จะไม่เร็วเท่ากับของเดิม ทำให้มีอาการที่ผิดปกติกหลงเหลืออยู่
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคเอ็มเอส แต่เชื่อว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคน่าจะมาจากปัจจัยด้านพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และภาวะการทำงานที่ไม่สมดุลกันของระบบภูมิคุ้มกัน
ปัจจัยด้านพันธุกรรม
เอ็มเอสไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม แต่ผู้ที่มีภาวะทางพันธุกรรมบางอย่างที่เอื้อต่อการเกิดโรคจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อไวรัส หรือปัจจัยอื่นๆ ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
มีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอม สูงกว่าระบบที่ป้องกันการทำลายเซล เคยมีการติดเชื้อไวรัสบางชนิดในอดีต ภาวะพร่องหรือขาดวิตามินดี นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเอ็มเอส และทำให้การดำเนินโรคทรุดลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
อาการของโรค
อาการตามัวหรือการมองเห็นผิดปกติ เกิดจากพยาธิสภาพของโรคต่อปลอกประสาทบริเวณเส้นประสาทตา ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว ความสามารถในการมองเห็นความคมชัดและสีของภาพลดลง หรืออาจมองเห็นภาพซ้อน
มีภาวะการอักเสบของเส้นประสาทตาที่เรียกว่า optic neuritis ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวเฉียบพลันร่วมกับอาการปวดบริเวณหลังกระบอกตาเวลากลอกตา
การกลอกตาผิดปกติในแนวราบ เกิดจากพยาธิสภาพของเส้นประสาทที่ทำให้กล้ามเนื้อควบคุมกระบอกตาอ่อนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการมองเห็นภาพซ้อน
กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง เกิดจากพยาธิสภาพของเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้า ผู้ป่วยอาจมีอาการปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว บางครั้งอาจมีอาการปวดหรือการพูดผิดปกติร่วมด้วย
การทรงตัวผิดปกติ พยาธิสภาพต่อบริเวณแกนสมองอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ มีปัญหาการทรงตัว และเดินเซได้
ภาวะอารมณ์ซึมเศร้า เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอารมณ์แปรปรวนได้มากกว่าคนปกติ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ เลย ทั้ง ๆ ที่มีความเสียหายเกิดขึ้นต่อระบบประสาท เนื่องจากเซลล์ประสาทส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานทดแทนได้จึงไม่เกิดอาการ ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกันได้ โดยผู้ป่วยร้อยละ 85 มีอาการกำเริบสลับทุเลา คือ กำเริบแล้วกลับมาสู่ภาวะสงบหรือระยะพักจนกว่าจะเกิดการกำเริบอีก หากมีการกำเริบของโรคบ่อยครั้งก็จะทำให้ระบบประสาทเกิดการอักเสบและถูกทำลายซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ทันได้ซ่อมแซมและฟื้นตัวตัวอย่างเพียงพอ ผู้ป่วยจะมีความพิการสะสมมากขึ้นจนเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพได้
การวินิจฉัยโรค
ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือวินิจฉัยที่เฉพาะเจาะจงสำหรับโรคแพทย์จึงต้องใช้ข้อมูลจากอาการ อาการแสดง ลักษณะการดำเนินโรค ผลการตรวจร่างกาย และการตรวจหลายๆ อย่างประกอบกัน โดยประสาทแพทย์จะซักประวัติอาการและตรวจร่างกายทางระบบประสาทเพื่อทดสอบการทำงานของระบบประสาทในรูปแบบต่างๆ เช่น การมองเห็น ลานสายตา การได้ยิน การพูด การรับความรู้สึก กำลังกล้ามเนื้อ การเกร็ง การทดสอบปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ การทรงตัว การเดิน การแกว่งแขน ฯลฯ จากนั้นจะมีการตรวจเพิ่มเติม
การตรวจภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเอ็มอาร์ไอ (MRI)
มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะ ตำแหน่ง จำนวน และขนาดของรอยโรค เช่น รอยโรคบริเวณรอบโพรงสมอง รอยโรคกระจัดกระจายในเนื้อสมอง รอยโรคของเส้นประสาทตา และรอยโรคของแกนสมองหรือไขสันหลัง เป็นต้น
การตรวจการนำกระแสประสาท
เพื่อให้ทราบความเร็วในการนำกระแสประสาท เนื่องจากในโรคเอ็มเอสการนำกระแสประสาทจะช้าลงอย่างมาก จากการที่มัยอิลินซึ่งทำหน้าที่เป็นฉนวนหุ้มเส้นประสาทถูกทำลายไป การตรวจนี้สามารถบอกถึงความผิดปกติได้แม้ว่าผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงทางคลินิกให้เห็น
การวัดการนำกระแสประสาทของเส้นประสาทตา (Visual Evoked Potential หรือ VEP)
เป็นการวัดความเร็วของการนำกระแสประสาทในเส้นประสาทตาที่ใช้ในการนำภาพที่เห็นไปแปรเป็นความหมายที่สมอง การตรวจนี้สามารถบอกได้ละเอียดแม้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการผิดปกติของการมองเห็น
การตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อดูแถบโอลิโกโคลนอล (Oligoclonal band)
มักเป็นการตรวจสำหรับวินิจฉัยแยกโรคและสำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การรักษาโรค
เป็นโรคที่มีอาการได้หลายรูปแบบ จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากรด้านสาธารณสุขหลายสาขา เช่น ประสาทแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู จิตแพทย์ จักษุแพทย์ พยาบาล และนักกายภาพบำบัดในการร่วมกันรักษาแบบองค์รวม
การรักษาการกำเริบของโรค
การให้ยาสเตียรอยด์ (Steroid Therapy) เป็นการรักษาในระยะที่มีการกำเริบของโรค โดยสเตียรอยด์จะออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบที่กำลังเกิดขึ้น
การรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเลือดหรือพลาสมา (Plasmapheresis) ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ แพทย์จะรักษาด้วยการนำเลือดบางส่วนออกจากร่างกายไปผ่านกระบวนการแยกน้ำเลือดและเม็ดเลือดออกจากกัน เพื่อกรองส่วนของน้ำเลือดที่มีสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบออก จากนั้นจึงคืนเม็ดเลือดขาวพร้อมสารทดแทนน้ำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกาย
การรักษาด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Intravenous Immunoglobulin หรือ Ivlg) เป็นการให้สารแอนติบอดี้โปรตีน โดยฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วยเพื่อช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากการกำเริบของโรค เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์หรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการเปลี่ยนถ่ายน้ำเลือดหรือพลาสมา
การรักษาด้วยยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค
เป็นการให้ยาเพื่อหวังผลในการชะลอการดำเนินโรคและป้องกันการกำเริบของโรค ให้มีช่วงระยะเวลาที่โรคสงบยาวนาน เพื่อลดการเกิดพยาธิสภาพสะสมซึ่งจะนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพได้
กลุ่มยาฉีด ได้แก่ อินเตอร์เฟลอนเบต้า (Interferon beta), กลาทิราเมอร์ อะซิเตท(Glatiramer acetate)
กลุ่มยากิน ได้แก่ เทอริฟลูโนไมด์ (Teriflunomide), ฟิงโกลิมอด (Fingolimod), ไดเมธิลฟูมาเรท (Dimethyl fumarate) , คลาดริบีน (Cladribine)
กลุ่มยาให้เข้าเส้น ได้แก่ นาทาลิซูแมบ(Natalizumab), อะเลมทุซูแมบ (Alemtuzumab), โอครีไลซูแม็บ(Ocrelizumab)
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ผมร่วง คลื่นไส้อาเจียน รวมถึงกดการสร้างเม็ดเลือดในไขกระดูก จึงควรสั่งใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
การรักษาอาการต่างๆ เป็นการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดเกร็งร่วมกับวิธีทางกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง ให้ยาคลายความวิตกกังวลร่วมกับพฤติกรรมบำบัดเพื่อให้อาการทางอารมณ์ดีขึ้น เป็นต้น โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำและการรักษาในแนวทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูเพื่อให้สามารถดูแลตัวเองและคงคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ให้ได้มากที่สุด เช่น การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายเพื่อลดอาการล้า และการทำกายภาพบำบัดเพื่อฝึกการทรงตัว
การป้องกันโรค
ในปัจจุบันโรคเอ็มเอสเป็นโรคที่ยังไม่มีวิธีป้องกัน ดังนั้น หากสงสัยว่ามีอาการของโรค ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยทันทีเพื่อบรรเทาและชะลออาการ เพราะหากปล่อยให้มีอาการกลับเป็นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ผู้ป่วยอาจมีการสะสมของความทุพพลภาพ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเอ็มเอส จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการซ้ำ โดยการดูแลใส่ใจสุขภาพตนเอง รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือกากใยอาหารจะช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ปริมาณมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่เครียด เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเอ็มเอสและโรคร้ายอื่นๆ