Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
อาการและอาการแสดง
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
แนวทางการรักษา
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7 วัน หรือ
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน หรือ
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน หรือ
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
การพยาบาล
มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพ สตรีตั้งครรภ์และทารกมีสุขภาพที่แข็งแรง ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์ ระยะ คลอด และระยะหลังคลอด
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichomoniasis)
อาการและอาการแสดง
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่น
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด
แนวทางการรักษา
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก เพราะอาจเป็น teratogen
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis)
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขณะ
ร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell)
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม
วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
ซิฟิลิส (Syphilis)
อาการ
โรคซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 2
หลังจากติดเชื้อระยะแรกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองเริ่มเข้าไปสู่กระแสเลือด ส่งผลให้เกิดผื่นลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ไม่มีอาการคัน เรียกระยะนี้ว่า “ระยะออกดอก” บางครั้งอาจพบเนื้อตายเน่า มีน้ำเหลืองไหล ซึ่งมีเชื้อซิฟิลิสปน จึงเป็นระยะติดต่อโรคได้ง่าย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ มีเพียงไข้ เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยตามข้อเท่านั้น
ระยะที่ 3
เรียกว่าระยะแฝง เป็นช่วงที่ไม่มีอาการ มารดาที่ตั้งครรภ์และเป็นโรคในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสสามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้
ระยะที่ 1
เกิดตุ่มเล็กขนาด 2 – 4 มิลลิเมตร บริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปาก ลิ้น และหัวนม โดยตุ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแตก เป็นแผล ไม่มีอาการเจ็บ หากปล่อยทิ้งไว้เชื้อจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ระยะนี้เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการ
ระยะที่ 4
หลังจากได้รับเชื้อในระยะเวลานาน 2 – 30 ปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเชื้อจะทำลายอวัยวะภายใน รวมถึงอาจส่งผลให้ ตาบอด หูหนวก ใบหน้าผิดรูป สมองเสื่อมหรือเสียสติ เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ถ้าเชื้อลามไปถึงหัวใจ จะทำให้หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต
การป้องกันและรักษา
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
ไม่สำส่อนทางเพศ รวมถึงหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย
ควรพบแพทย์เสมอ หากเกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อเข้าตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง
หากพบว่าเป็นโรคซิฟิลิส แม้ไม่แสดงอาการ ก็ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอตามนัด เนื่องจากเชื้อซิฟิลิสสามารถฝังตัวในกระแสเลือดเป็นระยะเวลานาน
การรักษาโรคซิฟิลิส แพทย์ทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลินในขนาดสูง โดยผู้ป่วยต้องไปฉีดยาตามนัดทุกครั้ง การขาดยาจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถรักษาโรคจนหายขาด
หนองใน (Gonorrhea)
อาการและอาการแสดง
กดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland)
ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก
กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทำให้เกิดตาอักเสบ
หูอักเสบ
กระเพาะอาหารอักเสบ
แนวทางการรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5%
erythromycin ointment หรือ 1% Silver nitrate (AgNO3) หยอดตาตาทารกหลังคลอด
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ ceftriaxone
การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคำนึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น ซิฟิลิส
HIV เป็นต้น หากมีควรรักษาพร้อมกัน รวมถึงต้องตรวจและรักษาคู่นอนด้วยเช่นกัน
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน
และคันบริเวณที่สัมผัสโรค
จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตำสะเก็ด
บางรายอาจมีอการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลัย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อครั้งแรกขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ส่วนการติดเชื้อซ้ำขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได้
แนวทางการรักษา
การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อซ้ำเติม ล้างแผลด้วย NSS
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติด
เชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก
กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการ
ผ่าตัดคลอด และเฝ้าระวังทารกเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด
เสียงเปลี่ยน (voice change)
เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ขัดขวางช่องทางคลอด หรือทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด และ มารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
แนวทางการรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนำการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัด
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์
(Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และมีปริมาณ CD4 ต่ำ
มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ ฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
มีโอกาสที่ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกมีขนาดเล็กกว่าอายุครรภ์ และทารกตายคลอด
อาการและอาการแสดง
1.ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น
2.ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ อาจพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.80C เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน
ระยะป่วยเป็นเอดส์จะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด
การป้องกันและการรักษา
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ำที่สุด คือน้อยกว่า 50 copies/ml และเพิ่มปริมาณ CD4 ให้สูงที่สุด
การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3 ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg) ให้กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง หรือ double strength TMP-SMX (160/800 mg) 1 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง
การพยาบาล
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
แนะนำให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ำนม
หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนำให้ทำหมันชายหรือหญิง
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินของโรค ความแตกต่างระหว่างการ ติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ โอกาสในการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ