Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ, Link Title -…
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การติดเชื้อ (Infection)
คือ การเจริญของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นบนร่างกายของโฮสต์ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายหรือเกิดโรคได้ จุลชีพก่อโรคจะมีการพยายามใช้ทรัพยากรของโฮสต์เพื่อใช้ในการเพิ่มจำนวนของตัวเอง จุลชีพก่อโรคจะรบกวนการทำงานปกติของร่างกายโฮสต์ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลเรื้อรัง (chronic wound), เนื้อตายเน่า (gangrene)
โรค
โรคติดเชื้อ (Infectious disease)
มีสาเหตุจากเชื้อโรค เชื้อจุลชีพก่อโรค เช่น ไวรัส แบคทีเรีย รา โพรโตซัว ปรสิต โรคติดเชื้อจัดเป็นโรคติดต่อ เนื่องจากสามารถติดต่อไปยังบุคคลอืนได้ การติดต่อของโรคติดเชื้ออาจเกิดได้มากกว่า 1 ทาง โรคตัวอย่าง เช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด หัดเยอรมน โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล (Nosocomial infection)
โรคติดต่อ (Communicable disease)
จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
แหล่งของเชื้อโรค
ทางที่นำเชื้อโรคออกจากร่างกาย
เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้ต้องออกจากแหล่งของมันก่อน
อวัยวะสืบพันธุ์
ทางเดินปัสสาวะ
ทางเดินอาหาร
ทางเดินหายใจ
เลือด
ผิวหนัง
สิ่งนำเชื้อโรค
เชื้อโรคแพร่กระจายได้จำเป็นต้องมีพาหนะในการนำเชื้อ
สัมผัสโดยตรงกับพื้น
วัตถุต่างๆ
อาหารและน้ำ
แมลงและสัตว์
อากาศ
บุคคลที่มีเชื้อโรคนั้นเอง
แพร่กระจายเชื้อ
ทางเข้าของเชื้อโรค
จมูก ไม่แคะหรือใช้นิ้วแหย่จมูก เชื้อโรคเข้าทางโพรงจมูกสู่ทางเดินหายใจ
การกินอาหารที่ปนปื้อน
ทางบาดแผล
ดวงตา ไปขยี้หรือแคะขี้ตาเพราะมีเนื้อเยื่อและท่อระบายน้ำตาสามารถผ่านเข้าไปได้
การสูดอากาศที่มีเชื้อโรคเข้าทางจมูก ปากลงสู่ปอด
การสัมผัสสารคัดคลั่งจากผู้ป่วย
ความไวในการรับเชื้อ
ความเครียด ภาวะโภชนาการ อ่อนเพลีย ภูมิแพ้
วิธีการแพร่กระจายเชื้อ
Contact transmission
Indirect Contact การสัมผัสทางอ้อมโดยผ่านสิ่งแวดล้อมหรือเครื่องมือที่ไม่ปราศจากเชื้อ
Droplet Contact การสัมผัสผ่านละอองเสมหะ ในระยะไม่เกิน 3 ฟุต
Direct Contact การสัมผัสเชื้อโดยตรง ระหว่างคนกับคน
Common vehicle transmission เป็นแพร่กระจายเชื้อ จากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด
Vectorborne transmission เป็นการแพร่กระจายโดยแมลง หรือสัตว์นำโรค
air bone transmission เเป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสูดหายใจเอาเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
ภาวะปลอดเชื้อและเทคนิคปลอดเชื้อ
คือ การปฎิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่จะเกิดกับเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม ลดแหล่งของเชื้อโรคและการแพรกระจายเชื้อ
เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic technique)
การกีดกั้นเชื้อชนิดเคร่งครัด (Surgical asepsis)
เทคนิคการทำให้สะอาด การใส่ถุงมือ เสื้อคลุมที่นึ่งแล้้ว
การใช้ปากคีบที่ทำให้ไร้เชื้อหยิบเครื่องมือเครื่องใช้ที่สะอาดปราศจากเชื้อ
การกีดกั้นเชื้อชนิดไม่เคร่งครัด (Medical asepsis)
เทคนิคการทำให้สะอาด (Clean technique)
การแยกผู้ป่วยที่มีโรคติดต่อด้วยวิธีการแยกเฉพาะ (Isolation technique)
เทคนิคปราศจากเชื้อ (Sterile technique)
เครื่องมือเครื่องใช้ปราศจากเชื้อ (sterille)
การกีดกันเชื้อ
การกีดกันเชื้อชนิดไม่เคร่งครัด (Medical asepsis)
การกีดกันเชื้อชนิดเคร่งครัด (Surgical asepsis)
การฆ่าเชื้อและทำให้ปราศจากเชื้อ
แยกได้ 3 แบบ
semi-critical or intermediate items : เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องสะอาดไม่มีเชื้อโรค ยกเว้นสปอร์ของแบคทีเรีย
non-critical items : เครื่องมือที่สัมผัสกับผิวหนังภายนอก ไม่ได้สัมผัสกับเยื่อบุต่างๆของร่างกาย ก่อนใช้ ต้องล้างให้สะอาด
critical item : เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสกับเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องทำให้ปราศจากเชื้อ
การทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้
การต้ม (Boiling)
การต้มเป็นวิธีการที่ง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพ การต้มเดือดที่มีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ ควรต้มนาน 20 นาทีขึ้นไป แบะน้ำท่วมของที่ต้ม ควรใช้ที่เป็นโลหะ เครื่องแก้ว เครื่องเคลือบ เครื่องใช้ที่ไม่ควรต้ม เข่น ทำมาจากยาง ของมีคม เป้นต้น
หลักการสำคัญในการต้ม
น้ำต้องท่วมของที่ต้ม อย่างน้อง 1 นิ้ว
เครื่องใช้ที่มีน้ำหนักเบา ควรใช้เครื่องใช้ที่มีน้ำหนักกว่าทับ เช่น ท่อพลาสติก
ปิดฝาหม้อ เริ่มนับเวลาน้ำเดือดเต็มที่
ขณะที่ต้มไม่ควรเปิดฝา เพราะจะทำให้อุณหภูมิลดลง
เมื่อต้มเสร็จควรเก็บของที่ต้มในที่ปราศจากเชื้อโรค
การใช้สารเคมี (Chemical method)
แบ่งได้ 2 แบบ
Disinfectant
หมายถึง สารเคมีหรือน้ำยาที่ใช้ทำลายจุลินทรีย์ แต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ น้ำยาชนิดนี้จะทำลายด้วยเนื้อเยื่อ จึงใช้กับผิวหนังไม่ได้
Antiseptics
หมายถึง สารเคมีที่ยับย้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ใช้กับสิ่งมีชีวิตได้
น้ำยาที่ใช้ในการทำลายเชื้อ
ฮาโลเจน (Halogens)
สามารถทำลายเชื้อโรคได้ต่างกันขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ำยา Hypochlorite และ lodine เช่น ไอโอดีน ไฮเตอร์ ไม่สามารถทำลายสปอร์ของแบคทีเรียได้ มีกลิ่นเหม็น โลหะเป็นสนิมง่าย เก็บในภาชนะที่ทึบแสง ไม่ผสมกับกรด และฟอร์มาลิน
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซต์ (Hydrogen peroxide)
ทำลายเชื้อโรครวมทั้งไวรัสโดยใช้ Hydrogen peroxide 6% นาน 30 นาที
ไดกัวไนต์ (Diguanide)
สารที่ใช้คือ chlorhexidine ถ้าความเข้มข้นต่ำกว่า 0.2% ไม่สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก เชื้อไวรัส เชื้อรา และสปอร์ของแบคทีเรียได้
ฟีนอล (Phenols)
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อรา ยกเว้นเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และสปอร์ของแบคทีเรีย ไม่ควรใช้กับทารก บริเวณทำอาหาร ระคายเคืองผิวหนัง กลิ่นแรง กัดกร่อนยางธรรมชาติและพลาสติก
อัลดีฮัยด์ (Aldehydes)
ทำลายสปอร์แบคทีเรียได้ใน 10 ชั่วโมง
ราคาแพง
ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา ในเวลา 10 นาที
ระคายเคืองผิวหนัง
ทางเดินหายใจ ตา
Quartemary Ammonium Compounds (QACs)
มีฤทธิ์ทำลายเชื้อน้อย เช่น Benzalkonium chloride เป็นส่วนประกอบใน savlon
แอลกอฮอล์ (Alcohols)
เอทิลแอลกอฮอล์ และไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อได้ดีเมื่อมีความเข้มข้น 60-90% โดยปริมาตรในน้ำ (%v/v) และประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจะลดลงอย่างชัดเจนเมื่อความเข้มข้นต่ำกว่า 50% โดยปริมาตร ซึ่งความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพนั้นมีแอลกอฮอล์และน้ำผสมกันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม
ทำลายเชื้อได้ดีแต่ไม่ทำลายสปอร์
อาจทำให้เครื่องมือโลหะเกิดสนิท
การล้าง (Cleansing)
เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการทำลายเชื้อ การล้างที่ถูกต้องสามารถขจัดจุลชีพออกจากวัสดุเกือบทั้งหมดเพียงพอต่อการทำลายเชื้อของเครื่องใช้ทั่วไป
วัตถุประสงค์ในการล้างเครื่องมือ
เพื่อลดสิ่งปนเปื้อนที่ติดออยู่บนผิวของเครื่องมือ
สิ่งสกปรกที่ติดแน่น จะทำให้หลุดออกมาได้
เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคบนเครื่องมือให้เหลือปริมาณน้อยที่สุด
ลดอันตรายในการหยิบจับอุปกรณ์ของจ้าหน้าที่เบื้องต้น ก่อนจะนำไปทำลายเชื้อต่อไป
ข้อคำนึง
ควรกำจัดเลือด หนอง เมือก สารคัดหลั่งออกก่อนทำความสะอาดเสมอ
ไม่ทำให้อุปกรณ์เสียหายจากการทำความสะอาด
ไม่ทำให้อุปกรณ์เคริ่องมือเครื่องใช้สกปรกไปมากกว่าเดิม
สารสบู่มีฤกธฺิ์เป็นด่าง ควรทำความมสะอาดให้หมด
การทำให้ปราศจากเชื้อ
การทำให้ปราศจากเชื้อจะมีประสิทธิภาพต่อเมื่อทุกพื้นผิวของอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่ต้องการทำให้ปราศจากเชื้อสัมผัสกับสารที่ทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilizing agent) การเลือกวิธีการทำให้ปราศจากเชื้อขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์ที่ต้องการทำให้ปราศจากเชื้อและระยะเวลาที่ใช้ในการทำลายสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย
วิธีทางกายภาพ
Dry heat or hot air sterilization
Hot air oven คล้ายตู้อบขนมปัง ทำลายเชื้อในอุณหภูมิ 165-170 องศาเซสเซียส เหมาะสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นของมีคม เครื่องแก้ว ช่วยป้องกันการเกิดสนิม ไม่เหมาะสำหรับใช้กับเครื่องผ้าและยาง
Steam under pressure
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ประหยด่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทนความร้อน ความชื้น ไม่เหมาะกบเครื่องมือที่ทนความร้อนสูงไม่ได้ อุณหภูมิที่ใช้อยู่ระหว่าง 121-123 องศาเซสเซียส เช่น การทำลายเชื้อโดยใช้วิธี Autoclave อบไอน้ำใต้ความดัน
Radiation
ใช้แสงอัลตราไวโอเลตแสงสีม่วง สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรสบางชนิด ยกเว้นเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสเอดส์ เชื้อวัณโรคแม่ถูกแสงแดดจะถูกทำลายภายใน 1-2 ชั่วโมง นิยมใช้ เช่น ห้องผ่าตัด ห้อง
ปฎิบัติการ ห้องเด็ก ใช้เวลาในการทำลายเชื้อ 6-8 ชั่วโมง
วิธีทางเคมี
การใช้ 2% Glutaradehyde
Glutaraldehyde เช่น Cidex ใช้มากที่สุด ทำลายเชื้อเชื้อและสปอร์ของแบคทีเรีย ไม่ทำลายยางหรือพลาสติก ไม่เกิดสนิม ใช้เวลาในการแช่ 3-10 ชั่วโมง เช่น เครื่องมือที่มีเลนส์ เครื่งอมือทางทันตกรรม เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
การใช้ Peracetic acid
ส่วนสมระหว่าง acetic acid กับ hydrogen peroxide กดกร่อนสูง แต่ต้องละลายในน้ำอุ่น เครื่องมือเครื่องใช้ที่แช่ Peracetic Acid ใช้เวลา 35-40 นาที ที่อุณหภุมิ 50-55 องศาเซลเซียส
การใช้ก๊าซ Ethyleneoxide
คุณสมบัติทำลายเชื้อสูง ได้ทั้งไวรัส แบคทีเรีย สปอร์ของแบคทีเรีย นิยมใช้ในเครื่องมือที่ทนความร้อนและความชื้อไม่ได้ เช่น พลาสติกโพลีแอทธีลิน อุณหภูมิที่ใช้ 30 องสาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง หลังจากฆ่าเชื้อควรเก้บในอุณหภูมิห้อง 5 วัน หรือ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงภายใต้อุณหภุมิ 120 องศาเซสเซียส
การหยิบจับของปราศจากเชื้อ
ของที่ปราศจากเชื้อจะอยู่ในห่อหรือภาชนะทีมีฝาปิด เช่น หม้อนึ่งสำลี ก๊อส หรือถาดแช่เครื่องมือที่มีฝาปิด อุปกรณืที่ใช้ในการหยิบจับ คือ Transfer forceps
วิธีการใช้ Transfer forceps
วิธีการใช้ปากคีบหยิบของที่ปราศจากเชื้อ
เมื่อหยิบปากคลีบออกจากภาชนะที่แช่ ต้องระวังไม่ให้ปากคลีบแยกออกจากกัน และไม่ให้ปลายถูกกับปากภาชนะ และรอให้น้ำยาหยดออกให้หมด
ขณะถือให้ปลายปากคีบอยู่ต่ำ เพื่อไม่ให้น้ำยาไหลไปตรงที่ไม่ปราศจากเชื้อ และทำให้ปลายคีบสกปรก
ระวังไม่ให้ปากคีบถูกกับภาชนะอื่นที่ไม่ปราศจากเชื้อ
เมื่อใช้เสร็จ ให้จับปลายคีบตรงกลางให้ด้ามปลายชิดกัน และใส่ลงในกระปุกตรงๆ
วิธีการหยิบของในหม้อนึ่ง ในอับหรือการแบ่งของที่สะอาดปราศจากเชื้อ
ของที่หยิบไปแล้ว แม้ไม่ได้ใช้ไม่ควรนำเข้าไปเก็บในหม้ออีก
ห้ามเอื้อมข้ามของที่ Sterile ที่เปิดฝาไว้และไม่ควรจับด้านในของภาชนะ
เมื่อเปิดฝาต้องการวางกับโต็ะให้หงายฝาขึ้้น ถ้าต้องการถือให้คว่ำฝาลง
หลักพื้นฐานของภาวะปราศจากเชื้อ
หากของปลอดเชื้อสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปลอดเชื้อให้ถือว่าของนั้นไม่ปลอดเชื้อ หรือ เกิดการปนเปื้อนขึ้น เรียกว่า contamination
ไม่ควรใช้ปากคีบหยิบจับขอบภาชนะ หรือเปิดผ้าห่อ
ของปลอดเชื้อที่มีรอยฉีดขาด รอยสัมผัสกับภายนอก ถือว่า เป็น contaminate
หากหยิบจับของปลอดเชื้อด้วยมือ หรืออุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อ จะถือว่าของสิ่งนั้นเป็น contamination
ของปลอดเชื้อสัมผัสกับอากาศน้อยที่สุด เมื่อเปิดรีบปิด
ใช้ปากคีบที่ปลอดเชื้อในการหยิบของปลอดเชื้อ
ห่อของปลอดเชื้อเมื่อเปิดใช้แล้วจะเป็น contaminate ไม่นำไปรวมกับของติดเชื้อ
ของปลอดเชื้อต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวและอยู่ในสายตา
การถือของปปลอดเชื้อหรือวางของปลอดเชื้อควรสูงกว่าระดับเอว เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
เมื่อเปิดของปลอดเชื้อไม่ควรปล่อยปะละเลย
หากไม่มั่นใจในความปลอดเชื้อควรเปลี่ยนใหม่ทันที
ดูแลให้ของปลอดเชื้อนั้นคงความปลอดเชื้อ
อุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดที่ต้องสอดใส่ผ่านผิวหนังของผู้ป่วย จะต้องปลอดเชื้อ
การเทน้ำยาหรือวางของปลอดเชื้อไม่ควรชิดขอบด้านนอกของภาชนะหรือผ้าห่อของปลอดเชื้อ ถัดเข้ามาประมาณ 1 นิ้ว
หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ จาม หรือข้ามของปลอดเชื้อ
การเปิดผ้าของปลอดเชื้อให้จับมุมบนสุดของ้าเปิดไปทางตรงกันข้ามกับผู้ทำ ต่อมาเปิด 2 มุมผ้าด้านข้าง ซ้าย-ขวาก่อน สุดท้ายจึงจับมุมผ้าด้านในสุดของห่อผ้าเปิดออกโดยไม่ข้ามของปลอดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำน้ำยาหกเปื้อนผ้าที่ห่อของภาชนะ
การเทน้ำยา ควรถือน้ำยาสูงกว่าภาชนะปลอดเชื้อประมาณ 6 นิ้ว ปากขวด ห้ามกระเด็น ไม่สัมผัสกับภาชนะรองรับ
ปากคีบปลอดเชื้อ (Transfer forceps) ใช้สำหรับหยิบจับ เคลื่อนย้ายของที่ปลอดเชื้อ จึงต้องสะอาดอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ปลายชี้ขึ้น ควรอยู่ในระดับเอวและชี้ลง
การปฎิบัติในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การปฎิบัติเพื่อควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การใช้ผ้าปิดปาก-จมูก (mask)
ช่วยป้องกันการได้รับเชื้อโรคจากผู้ป่วยเข้าสู่ทางเดินหายใจ และป้องกัันผู้ป่วยได้รับชื้อจากผู้อื่น ป้องกันฝุ่นละออง เป็นต้น
หลักสำคัญในการใช้ผ้าปิดปาก-จมูก
หากเป็นครั้งเดียวใช้แล้วทิ้งให้หันขอบลวดไว้ข้างบน แล้วสวมให้กระชับหน้า
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสผ้าปิดปากและจมูกขณะสวมใส่
เมื่อใช้ผ้าปิดปากเสร็จควรถอดทิ้งทันที และเมื่อต้องซักไม่ควรซักเกิน 20-30 นาที
การใส่ถุงมือ (Glove)
ถุงมือจะช่วยป้องกันการติดต่อของเชื้อโรคทั้งทางตรงและทางอ้อม
ถุงมือปลอดเชื้อ (Sterile gloves)
ทำหัตถการต่างๆเช่นการผ่าตัด
หยิบจับของปลอดเชื้อ
ป้องกันการติดเชื้อไปยังผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ถุงมือสะอาดหรือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ป้องกันสิ่งสกปรกสัมผัสมือ เช่น เมื่อมีโอกาสสัมผัสเลือด สารน้ำ สารคัดหลั่ง เป็นต้น
2.เมื่อต้องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผ่านการใช้ง่ายแล้ว
การใส่เสื้อกาวน์ (Gown)
ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคได้โดยทั่วไปเสื้อกาวน์จะเกิดด้านหลังและมีเชือกสำหรับผูกเอว ควรเปลี่ยนเสื้อกาวน์ทุกเวร กรณีที่เปื้อนหรือเปียกควรเปลี่ยนทันที
การล้างมือ (Hand washing)
เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อลดการติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง ควรล้างก่อนและหลังปฎิบัติการพยาบาล หรือจับสิ่งสกปรก
การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล (Alcohol hand rub)
ในกรณีไม่สะดวกในการล้างด้วยน้ำเปล่า บีบน้ำยาและถูให้ทั่วจนน้ำยาแห้งใช้เวลาประมาณ 15-25 วินาที แต่หากจะให้เกิดประสิทธิภาพควรใช้เวลาในการฟอกนาน 30 วินาที
การล้างมือก่อนปฎิบัติการพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อและภายหลัง (Hygienic hand washing
การล้างมือภายหลังการสัมผัสผู้ติดเชื้อหรือสิ่งปนเปื้อนเช่น เช่นกระโถนถ่าย หรือ การสวนปัสสาวะให้ล้างมือด้วยสบุ่เหลวผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น คลอเฮ็กซิดี
การล้างมือแบบธรรมดา (Normal หรือ Social hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อสุขภาพอนามัยทั่วไป ให้ล้างมือตามขั้นตอนด้วยสบู่ก้อนหรือสบู่เหลว ใช้เวลาในการฟอกอย่างน้อย 15 วินาที วิธีการล้างมือ
ถูนิ้วหัวแม่มือ โดยรอบด้วยฝ่ามือ
ปลายนิ้ว ถูขวางด้วยฝ่ามือ
หลังนิ้วมือ ถูฝ่ามือ
ถูรอบข้อมือ
ฝ่ามือถูฝ่ามือ และนิ้วถูซอกนิ้ว
ฝ่ามือถูหลังมือ และนิ้วถูซอกนิ้ว
ฝ่ามือถูกัน
การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อทำหัตถการ การทำคลอดที่ต้องป้องกันการติดเชื้อ ให้ล้างด้วยสบู่เหลวทำลายเชื้อ เช่น chlorhexidine 4% และใช้แปรงที่ปราศจากเชื้อแปรงมือและเล็บในครั้งแรกของวัน
การป้องกันเพื่อควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การปฎิบัติที่ปลอดภัยจากการใช้ของมีคม
ไม่ส่งของมีคมด้วยมือต่อมือ
2.เข็มที่ใช้เจาะเลือดผู้ป่วยให้เก็บทิ้งคนเดียว
การเย็บแผลให้ใช้ forceps หยั่งแผลเวลาเย็บ
การปลดหลอดแก้วออกจากสายยาง ให้ใช้ forceps ปลด
ไม่ควรสวมปลอกเข็มคืน แต่ถ้าจำเป็นต้องสวม ควรสวมปลอกเข็มมือเดียว (one hand technique)
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
เชื้อโรคมีการแพร่กระจายเชื้อ ได้หลายทาง
การสัมผัส (Contact Transmission)
Indirect Contact การสัมผัสทางอ้อมโดยผ่านสิ่งแวดล้อมหรือเครื่องมือที่ไม่ปราศจากเชื้อ
Droplet Contact การสัมผัสผ่านละอองเสมหะ ในระยะไม่เกิน 3 ฟุต
Direct Contact การสัมผัสเชื้อโดยตรง ระหว่างคนกับคน
การป้องกันการติดเชื้อแบบมาตรฐาน (Standard precaution)
ป็นการป้องกันเชื้อแบบที่ใช้กับผู้ป่วยทุกคนโดยไม่คำนึงถึงข้อวินิจฉัย
เครื่องป้องกัน (Protection Barriers)
หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ (Avoid Accidents)
การมีสุขาภิบาลและสุขอนามัยที่ดี (Sanitation and Hygiene)
เทคนิคการแยก (Isolation Technique)
คือ วิธีในการแยกผู้ป่วยเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากผู้ป่วยไปสู่บุคคลอื่น
จุดประสงค์ในการแยกผู้ป่วย
ป้องกันการแพร่กระจายโรคติดต่อ
ป้องกันการติดโรคจากผู้ป่วย
ป้องกันการซ้ำติมโรคในผู้ป่วยที่มีความต้านทานต่ำเช่น ผู้ป่วยถูกไฟไหม้ ทารกคลอดก่อนกำหนด เรียกว่า การแยกเพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย (Protective isolation or reverse barrier technique)
เพื่อทำลายเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค
แยกผู้ป่วยจำแนกเป็น 7 แบบ คือ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและติดต่อง่าย
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางเลือด และน้ำเหลือง
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางบาดแผลและผิวหนัง
การแยกผู้ป่วยในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
การแยกผู้ป่วยในรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ
Link Title