Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ
1 ไต และท่อไต
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ท่อไตขยาย
มดลูกโตขึ้นไปกดเบียดกับกระดูกขอบเชิงกราน ท่อไตถูกกดเบียด การไหลของปัสสาวะถูกปิดกั้นโดยเฉพาะไตข้างขวา ทำให้เกิดการขยายของท่อไตและไต ทำให้ปัสสาวะค้างอยู่นาน
ข้อดี
ของไตที่มีเลือดมาไหลเวียนมากขึ้นและอัตราการกรองเพิ่มมากขึ้น ทำให้การขับของเสียดีขึ้นแต่ทำให้น้ำตาลและโปรตีนถูกขับออกมาด้วย
การขับโปรตีน amino acid และ urea สูงกว่าปกติเล็กน้อย
การขับวิตามินที่ละลายในน้ำและแคลเซียมสูงกว่าปกติ ดังนั้นจึงต้องได้รับแคลเซียมเพิ่มเป็น 1,200 มิลลิกรัม/วัน และต้องได้รับโฟเลต วิตามิน B1, B2, B6 วิตามิน C และ niacin อย่างเพียงพอ
2 กระเพาะปัสสาวะ
progesterone ทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้น 2 เท่า
estrogen ทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะใหญ่ขึ้นและมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น
การที่มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น และเยื่อบุหนาตัวขึ้น เกิดการติดเชื้ออักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
มดลูกที่โตขึ้น มีแรงดันลงบนกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยใน
ไตรมาสแรก
ไตรมาสที่สอง
อาการจะดีขึ้นเพราะมดลูกพ้นช่องเชิงกรานขึ้นไป
กลับมีอาการอีกครั้งในปลาย
ไตรมาสที่สาม
การเปลี่ยนแปลงของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ กระดูกและกระดูกอ่อน กล้ามเนื้อของอุ้งเชิงกราน
อิทธิพลของฮอร์โมน relaxin และ progesterone
pelvic cartilages จะอ่อนนุ่ม
ข้อต่อ sacroiliac และ sacrococcygeal joint มีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น
กระดูก symphysis pubis จะแยกออกได้ ประมาณ 3-4 มิลลิเมตรเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 32 สัปดาห์ ซึ่งจะทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกเดินลำบาก
เมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น จะดึงรั้ง round ligament ที่ยึดมดลูกกับ ช่องเชิงกราน ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกเจ็บแปล๊บเมื่อขยับตัว
มดลูกโตขึ้น เกิดแรงบนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน กดเบียดเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยงในอุ้งเชิงกราน ทำให้ปวดถ่วงในอุ้งเชิงกราน เมื่อประกอบกับภาวะไม่สมดุลของ calcium และ phosphorus เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้มีอาการชาและตะคริวที่ขาได้มากขึ้น
กระดูกสันหลัง
ขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ศูนย์ถ่วงเลื่อนมาข้างหน้า หลังจึงแอ่นไปข้างหลัง ศีรษะยื่นมาข้างหน้า ก้นโค้งงอนมากขึ้น
ในระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์สตรีมีครรภ์จะเคลื่อนไหวไม่สะดวก ท่าเดินเป็นแบบเตาะแตะคล้ายเป็ด อาจเดินเซหรือหกล้มได้ง่าย
การเปลี่ยนแปลงของระบบผิวหนัง
melanotropin
เพิ่มขึ้น ทำให้บริเวณที่มีเม็ดสีมาก เช่น บริเวณลานนม หัวนม รักแร้ อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และเส้นแนวกลางหน้าท้องมีสีคล้ำขึ้น (linea nigra) และจะจางลงภายหลังคลอด
cortisol
เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังจะมีรอยแยก (striae gravidarum) เป็นริ้ว ๆ สีชมพูแดง บริเวณหน้าท้อง เต้านม และต้นขา ซึ่งเกิดจากการแยกของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง
estrogen
เพิ่มขึ้น อาจจะพบเส้นเลือดที่ผิวหนัง (vascular spiders) ขนาดเล็ก สีแดงเป็นจุด บริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก หรือแขน เนื่องจากมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณชั้น subcutaneous
อัตราการเจริญเติบโตของเส้นผมจะลดลง และจะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอด ทำให้สตรีมีครรภ์ รู้สึกว่าผมบางลงประมาณ 1-4 เดือนและจะกลับสู่สภาพปกติภายใน 6-12 เดือน
ต่อมเหงื่อและ ต่อมไขมันจะทำงานมากขึ้น ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกว่าเหงื่อออกง่ายและมีสิวเกิดขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของระบบเผาผลาญสารอาหาร
การเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต
เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรก
มีผลต่อการเพิ่มการทำงานของ beta cell ของตับอ่อน ทำให้มีการหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น ทำให้มีการสะสมของไกลโคเจนในเนื้อเยื่อเพิ่มมากขึ้น มีการใช้กลูโกสเป็นหลักในการสร้างพลังงาน
การเผาผลาญสารอาหารโปรตีนและไขมัน
ต้องการโปรตีนและไขมันเพิ่มขึ้น
เพื่อการสร้างรก การเจริญเติบโตของทารก การขยายตัวของมดลูก ต่อมน้ำนม และเลือดของมารดาโดยเฉพาะในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ โปรตีนจะสะสมในร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างน้ำนม
ไขมัน
ไขมันจะสะสมในร่างกายทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น
ในระยะครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์ที่แพ้ท้อง และมีอาการคลื่นไส้อาเจียน จะมีการนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานทดแทน
ในครึ่งหลังของการตั้งครรภ์จะมีการนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานทดแทนกลูโคสมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะ ketosis ระหว่างมื้ออาหารและในเวลากลางคืน
การเผาผลาญของแร่ธาตุต่างๆ
ธาตุเหล็ก โดยเฉลี่ยความต้องการธาตุเหล็กของร่างกายประมาณวันละ 6-7 มิลลิกรัม
ทองแดงในพลาสมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ เชื่อว่าเป็นผลมาจากเอสโตรเจน
แคลเซียม ในระหว่างตั้งครรภ์จะลดลงเล็กน้อย อาจสัมพันธ์กับการลดลงของ โปรตีนในพลาสมา ร่างกายต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
ฟอสฟอรัส ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ระหว่างตั้งครรภ์