Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การช่วยเหลือเบื้องต้นในเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ, ทุก ๆ 15 นาที -…
การช่วยเหลือเบื้องต้นในเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
อุบัติเหตุ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ อันตรายและเสียชีวิตได้
สาเหตุและปัจจัย
สภาพของครอบครัว
สิ่งแวดล้อม
วัยของเด็ก
สารพิษ
ชนิดของสารพิษ
สารพิษกลุ่มสารตะกั่ว
น้ำมันเบนซิน สีทาบ้าน
น้ำยาฆ่าแมลงฆ่าวัชพืช
อาการและอาการแสดง
ปัญญาอ่อน
ภาวะซีด
สมองช้าลง
ชัก อัมพาต
สารพิษกลุ่มสารกัดกร่อน
น้ำยาล้างสุขภัณฑ์
น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาซักผ้าขาว
อาการและอาการแสดง
การรับประทาน
กลืนลำบาก
อาเจียนเป็นเลือด
ปวดแสบปวดร้อนในปาก
อาจมีอาการช็อก
น้ำลายไหลยืด
การสำลักเข้าสู่ทางเดินหายใจ
เสียงแหบหรือไม่มีเสียง
หายใจลำบาก
ราดผิวหนัง
ผิวหนังปวดแสบปวดร้อนมาก
ผิวหนังแดง
พอง
ลอกหลุดเป็นแผล
สารพิษกลุ่มทำความสะอาดเสื้อผ้าและร่างกาย
ผงซักฟอก น้ำยาซักแห้ง สบู่เป็นก้อน หรือสบู่เหลว
ถ้ารับประทานน้ำยาซักแห้ง ต้องรีบทำให้อาเจียน
ถ้ากระเด็นเข้าตา ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง
สารพิษกลุ่มไฮโดรคาร์บอน
น้ำมันก๊าด
น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันจุดบุหรี่
อาการและอาการแสดง
การรับประทาน
มีเสียงในหู
ท้องเสีย
แสบบริเวณคอ
คลื่นไส้อาเจียน
สูดดม
ชัก หมดสติ
ไม่มีแรง
กเคลิบเคลิ้ม
กระสับกระส่าย
สารพิษกลุ่มยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าแมง ฆ่ามด ปลวก แมลงสาบ
อาการและอาการแสดง
muscarinic receptor
น้ำลายไหล น้ำตาไหล เหงื่อออกมาก ปัสสาวะราด ท้องเสีย ฯลฯ
nicotinic receptor
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ระบบประสาท
ตื่นเต้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ ฯลฯ
สารพิษกลุ่มยารักษาโรค
aspirin, paracetamol,
antihistamine, barbiturate) ,vitamin with iron
ได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด
อาการและอาการแสดง
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เจ็บชายโครงขวา ตาเหลือง มีอาการของภาวะตับวาย และทำให้เสียชีวิตได้
การรักษา
ให้อาเจียน หรือล้างท้อง
ให้ยาแก้พิษ acetylcysteine
ให้รับประทานถ่านบริสุทธิ์
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ได้รับพิษจากยาแอสไพรินเกินขนาด
อาการและอาการแสดง
คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ หายใจเร็ว
ระดับความรู้สติลดลง มีภาวะเลือดออกง่าย โพแทสเซียมต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ
การรักษา
ให้อาเจียน หรือล้างท้อง
ให้รับประทานถ่านบริสุทธิ์
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ทำให้ปัสสาวะเป็นด่างโดยการให้โซเดียมไบคาร์บอเนต
ให้วิตามิน เค
หลักการรักษาเมื่อเด็กได้รับสารพิษ
เอาสารพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุดและรวดเร็ว
ทำให้อาเจียน
การล้างท้อง
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
การเปลี่ยนถ่ายเลือด
การป้องกันการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
การให้ยาแก้พิษ
การประคับประคองสัญญาณชีพให้ปกติ
อุบัติเหตุ
1.การจมน้ำ (drowning)
การป้องกันการจมน้ำ
เมื่อเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปควรหัดให้เด็กว่ายน้ำได้
กรณีโดยสารเรือผู้ปกครองควรใส่เสื้อชูชีพพอดีตัวให้แก่เด็ก
ดูแลทารกอย่างใกล้ชิดเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ
เด็กจมในน้ำจืด
เกิดภาวะปอดแฟบ
ทำให้ปริมาตรเลือดเพิ่มเลือดเจือจาง
เม็ดเลือดแดงแตก มีการเปลี่ยนแปลงอิเล็กโทรลัยท์
เด็กจมในน้ำทะเล
ถุงลมปอดแตก มีเลือดออกและมีน้ำคั่งในปอด
ปริมาตรเลือดในหลอดเลือดลดลง เลือดมีความเข้มข้นมากขึ้นและมีอิเล็กโทรลัยท์สูงขึ้น
จมน้ำตาย (drowning)
จมน้ำแล้วเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง
จมน้ำเกือบตาย (near-
drowning)
จมน้ำแล้วไม่เสียชีวิตและมีชีวิตนานเกิน 24 ชั่วโมง
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.อุ้มขึ้นจากน้ำ โดยให้ศีรษะเด็กอยู่ต่ำกว่าทรวงอกเพื่อป้องกันการสำลักน้ำเข้าปอด
ถ้าเด็กหายใจเองได้ ให้ถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำออก ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าที่แห้งสะอาดเช็ดตัว คลุมตัวไว้เพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ
ถ้าเด็กจมน้ำนานเกิน 4 นาที อาจทำให้สมองตายได้ ต้องรีบทำการช่วยคืนชีพอย่างต่อเนื่องจนกว่าการหายใจและการไหลเวียนเลือดจะเป็นปกติ
2.สิ่งแปลกปลอมเข้าตา หู จมูก คอ หลอดลม
สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.ห้ามขยี้ตา
2.ใช้น้ำสะอาดราดผ่านตาเบาๆ จากหัวตาไปหางตา
3.ถ้าล้างตาแล้วสิ่งแปลกปลอมไม่หลุดออก อาจใช้วิธีเขี่ย
4.ถ้าเขี่ยสิ่งแปลกปลอมไม่ออก ให้ปิดตาเด็กทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้กรอกลูกตาไปมา แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
สารเคมีเข้าตา
1.ไม่ขยี้ตา
2.ล้างตา โดยตะแคงหน้าให้ตาด้านที่ถูกสารเคมีอยู่ด้านล่าง ใช้น้ำล้างตาอย่างน้อย 10 นาที จากหัวตาไปหางตา ระวังอย่าให้น้ำกระเด็นไปถูกตาอีกข้างหนึ่ง
3.ปิดตาข้างที่ถูกสารเคมีโดยใช้ผ้าก็อซหรือผ้าสะอาดและนำส่งโรงพยาบาล
สิ่งแปลกปลอมเข้าหู
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.ไม่เอาสิ่งแปลกปลอมออกเองและนำส่งโรงพยาบาล
2.ถ้าเป็นแมลงเข้าหู ให้เด็กนั่งลง ตะแคงศีรษะให้หูที่มีแมลงเข้าไปอยู่ด้านบน หยอดน้ำมันพืชหรือน้ำอุ่นลงไปในรูหู แมลงจะลอยขึ้นมา แล้วหยิบแมลงออก ถ้าไม่ได้ผลให้นำส่งโรงพยาบาล
สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก
การช่วยเหลือเบื้องต้น
1.ปลอบโยนเด็กอย่าให้ตกใจ
2.ให้เด็กสั่งน้ำมูกแรงๆ โดยเอามือปิดรูจมูกข้างที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม
3.ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ไม่ลึก ให้ใช้ปากคีบเล็กๆ คีบวัตถุนั้นออกมา
4.นำส่งโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่
สิ่งแปลกปลอมติดคอหรือหลอดลม
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ทารก
1.ให้นอนคว่ำบนแขน ศีรษะเด็กห้อยต่ำ ตบกลางสะบักทั้ง 2 ข้างแรงๆ ประมาณ 5 ครั้ง
2.ถ้ายังไม่หลุด ให้จับนอนหงายบนแขนอีกครั้ง วางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงบริเวณครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก กดแรงๆ 5 ครั้ง
3.ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมในคอให้ใช้นิ้วกดลิ้นเอาไว้ ล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมออก ถ้าไม่เห็นอย่าล้วงคอ เพราะอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมตกลึกเข้าไปในหลอดคอมากขึ้น
เด็กเล็กหรือเด็กโต
1.ให้เด็กไอออกมา
2.เด็กเล็กให้นอนคว่ำพาดตักตบกลางหลังระหว่างกระดูกสะบักด้วยความแรงปานกลาง 5 ครั้ง ติดต่อกัน เด็กโตให้เด็กก้มศีรษะลง ตบกลางหลังระหว่างกระดูกสะบักแรงๆ 5 ครั้งติดต่อกัน
3.ถ้ายังไม่หลุด ให้เด็กนอนหงายบนพื้นแข็ง ถ้าเด็กเล็กให้นอนหงายบนตัก ใช้สันมือวางบนส่วนล่างของกระดูกหน้าอก กดแรงๆ 5 ครั้ง
4.ตรวจดูในปาก ใช้นิ้วมือกดลิ้นเอาไว้ ล้วงสิ่งแปลกปลอมที่เห็นออกมา
5.ถ้าสิ่งแปลกปลอมติดอยู่และเด็กรู้สึกตัวใช้เทคนิคการกดบริเวณหน้าท้อง Heimlich maneuver
6.ถ้าสิ่งแปลกปลอมติดอยู่และเด็กไม่รู้สึกตัว ให้เด็กนอนหงาย ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าคร่อมตัวเด็ก ใช้มือขวาวางบนท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ มือซ้ายทับมือขวา กดและดันมือทั้งสองข้างในทิศทางเข้าในและเฉียงขึ้นบน กดเป็นระยะสม่ำเสมอ
3.ไฟไหม้, น้ำร้อนลวก
สาเหตุ
สารเคมี อยู่ในรูปของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารเคมีและระยะเวลาที่สัมผัส
กระแสไฟฟ้า จะทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ เส้นเลือด และกระดูก
วัตถุ สิ่งของที่มีความร้อน โดยการสัมผัสกับผิวหนัง สูดดม ทำให้ผิวหนังเกิดแผล
สารกัมมันตรังสี เนื้อเยื่อที่ถูกสารกัมมันตรังสีอาจตายได้
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ไฟไหม้เสื้อผ้า
ใช้น้ำดับไฟ โดยเด็กนอนลง หันส่วนที่ติดไฟไว้ข้างบนแล้วใช้น้ำราดลงไป
ใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าที่ไหม้ออก แล้วนำส่งโรงพยาบาล
ไฟฟ้าดูด
ปิดสะพานไฟ เพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่ตัวเด็ก
ถ้าหมดสติ หรือหยุดหายใจ ต้องให้การช่วยเหลือต่อไป โดยทำการช่วยฟื้นคืนชีพ รีบนำส่งโรงพยาบาล
การประเมินดีกรีความลึกของบาดแผลไฟไหม้
แผลไหม้ระดับแรก (First degree burn)
เกิดที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (epidermis)
บาดแผลจะแดง (Erythema)
ไม่มีตุ่มพอง (Blister)
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบหรือใช้ถุงพลาสติก ใส่น้ำแข็งผสมน้ำเล็กน้อยวางตรงบริเวณที่มีบาดแผล หรืออาจใช้น้ำเย็นราด หรือแช่ในน้ำใส่น้ำแข็ง หรือ อย่างน้อย 20 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนลดลง
ปิดแผลด้วยผ้ากอซ หรือผ้าสะอาด
ถ้ายังมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือมีตุ่มใส ควรไปพบแพทย์
แผลไหม้ระดับที่สอง (Second degree burn)
บาดแผลระดับที่สองชนิดตื้น (Superficial partial-thickness burn)
เกิดที่ชั้นหนังกําพร้าตลอดทั้งชั้น และหนังแท้ (dermis)
มีตุ่มพองใส ถ้าลอกเอาตุ่มพองออก พื้นแผลจะมีสีชมพูชื้นๆ
มีน้ำเหลืองซึม
ใช้ครีมยาทาแผลเฉพาะภายนอก (Topical antibioticหรือปิดด้วยผลิตภัณฑ์ปิดแผลชนิดต่างๆ
ส่วนบาดแผลระดับที่สองชนิดลึก (Deep partial-thickness burns)
เกิดที่ชั้นของหนังแท้ส่วนลึก
ไม่มีตุ่มพอง แผลสีเหลืองขาว แห้งและไม่ค่อยปวด
การช่วยเหลือเบื้องต้น
รีบใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ใช้ผ้าสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ผ้ากอซ หรือผ้าสะอาดปิดไว้
ถ้าบาดแผลกว้าง ประมาณ 10-15 ฝ่ามือ (10-15%) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้รวดเร็ว
ควรส่งโรงพยาบาลทันที ขณะที่รอส่งโรงพยาบาล
อาจให้การช่วยเหลือ เบื้องต้นโดย
เปลื้องเสื้อผ้าออกจากบริเวณที่ถูกไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก
ให้ยกส่วนที่มีบาดแผลไว้ให้สูงกว่าระดับหัวใจ
ถ้ามีกำไล หรือแหวน ควรถอดออก หากปล่อยไว้ นิ้วหรือข้อมืออาจบวมทำให้ถอดออกยาก
ถ้าผู้ป่วยกระหายน้ำ หรือใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ควรให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ดื่มครั้งละ 1/4-1/2 ทุก ๆ 15 นาที
ควรใช้ผ้าสะอาดบาง ๆ คลุมร่างกายของผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยนอนยกเท้าสูงเล็กน้อย
ให้พาราเซตามอล 1-2 เม็ด เพื่อระงับปวด และอาจให้ไดอะซีแพม ขนาด 5 มิลลิกรัม 1/2-1 เม็ด
แผลไหม้ระดับที่สาม (Third degree burn)
บาดแผลไหม้จะลึกลงไปจนทําลายหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อขุมขนและเซลล์ประสาท
มีลักษณะขาวซีด
เหลือง น้ำตาลไหม้หรือดํา ไม่รู้สึกเจ็บปวด
เกิดจากไฟไหม้หรือถูกของ
ร้อนนาน ๆ หรือไฟฟ้าช็อต
superficial secondary degree burn
Topicial antibiotic
นิยมใช้กันมากสุด
Burn wound dressing product Topical antibiotic
burn wound dressing product
พิษจากแมลงสัตว์ กัด ต่อย
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการเล่นกับสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงไว้เอง
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน
จัดบ้านให้เป็นระเบียบ เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษมาอาศัย
ไม่ให้เด็กเล่นในที่มีหญ้ารก หรือสกปรก
การช่วยเหลือเบื้องต้น สัตว์ที่กัด ไม่มีพิษ
สุนัข แมว ลิง กระต่าย กระรอก ฯลฯ
ทำให้เกิดแผล
โรคพิษสุนัขบ้า
อันตรายของบาดแผลอยู่ที่การติดเชื้อมากกว่าการตกเลือด
1.ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำและสบู่
2.เช็ดรอบแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทา Povidone-iodine
บนแผล
3.ควรไปพบแพทย์เพื่อฉีดยาป้องกันบาดทะยักหรือโรคพิษสุนัขบ้า
ถ้าเด็กถูกกัดบริเวณศีรษะ หน้าและหลายตำแหน่ง นำเด็กไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าทันที พร้อมทั้งสังเกตอาการของสัตว์ที่กัด
การช่วยเหลือเบื้องต้น สัตว์ที่กัด มีพิษ
แมลงป่อง ผึ้ง ตัวต่อแตน ตะขาบ งู ฯลฯ
พิษ อาจทำให้เสียชีวิตได้
anaphylactic shock
หายใจไม่ออก เพราะหลอดลมตีบแคบ
อาการช็อก
ความดันโลหิตลดลงอย่างมาก หน้าซีดเหงื่ออก ง่วงซึมหรือกระวนกระวาย สับสนและตายได้
งูพิษ
ให้นอนนิ่งๆ ทันทีที่ถูกงูพิษกัด เพื่อลดการไหลเวียนของเลือด
ใช้สายรัดที่ทำจากยางหรือผ้าที่มีความกว้างประมาณ 2
นิ้วมือรัดเหนือแผลให้แน่นพอสอดนิ้วได้และคลายสายรัดทุก 15 นาที
ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ และรีบนำส่งโรงพยาบาล
ถ้าปวดแผลให้กินยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ ห้ามให้แอสไพริน
ผึ้ง ตัวต่อ ต่อย
นำเหล็กในออก
ใช้ใบมีดขูดออกหรือใช้เทปใส
ปิดทาบบริเวณที่ถูกต่อยแล้วดึงเทปใสออก
ล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่
เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% ประคบด้วยความเย็น
ทาครีมแอนติฮิสตามีน
บรรเทาอาการปวดบวมแดง
Anaphylactic shock
พิษแมงกะพรุน
ผิวหนังบวมไหม้
ใช้คาลาไมน์โลชั่น หรือครีมที่มียาแก้แพ้ทา
การช่วยฟื้นคืนชีพในเด็ก
ยืนยันการใช้ลำดับการช่วยเหลือเป็น C-A-B ในผู้ป่วยเด็กที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
ปรับอัตราการกดหน้าอกเป็น 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที
การช็อกด้วยไฟฟ้า (Defibrillation) ควรใช้พลังงานไฟฟ้า 2-4 จูลต่อกก.
ตรวจดูสภาพที่เกิดเหตุว่าปลอดภัยหรือไม่
ตรวจสอบว่าผู้ป่วยหมดสติและหายใจหรือไม่ โดยการร้องเรียกหรือเขย่าเบาๆ บริเวณหัวไหล่
ตรวจดูว่ามีอันตรายหรือบาดแผลที่มองเห็นจากภายนอกหรือไม่
ประเมินว่าผู้ป่วยต้องการการช่วยเหลือทางการแพทย์หรือไม่
การทำ CPR
เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
กดหน้าอกด้วยวิธี two-finger technique หรือ two thumb-encircling
hands โดยกดลึก 1.5 นิ้ว
เด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
กดด้วยวิธีมือเดียว (One handed technique)
หรือกดหน้าอกด้วยวิธีสองมือ (two handed technique) โดยกดลึก 2 นิ้ว ในผู้ป่วยวัยรุ่นไม่เกิน 6 ซม.
กรณีมีผู้ช่วยคนเดียว
ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง ตามด้วยเป่าลมผ่านปากหรือจมูกประมาณ 1 วินาที จำนวน 2 ครั้ง สังเกตการเคลื่อนขึ้นลงของหน้าอก (30:2 คิดเป็น 1 cycle) ให้ทำ 5 cycle หรือ 2 นาทีแล้วค่อยโทรตาม EMS
กรณีมีผู้ช่วยสองคน
ให้กดหน้าอก 15 ครั้ง ช่วยหายใจ 2 ครั้ง (15:2 คิดเป็น 1 cycle) ให้กดหน้าอก 1 คน ช่วยหายใจ 1 คน เปลี่ยนหน้าที่ทุก 2 นาที
กรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองและไม่หายใจหรือหายใจไม่สม่ำเสมอ และคลำชีพจรไม่ได้
ทุก ๆ 15 นาที