Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ - Coggle Diagram
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การติดเชื้อInfection
การรับเชื้อจากสิ่งแวดล้อม
โรคติดเชื้อ Infectious disease
ไข้หวัด
โรคติดต่อ Communicable disease
โรคที่เกิดจากเชื้อโรค หรือพิษของเชื้อโรค สามารถแพร่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมมาสู่คน
กลไกการป้องกันการติด
เชื้อ
ปาก-การรับประทาน
ผิวหนัง-การสัมผัส
ระบบทางเดินหายใจ-การสููดดม
ระบบทางเดินอาหาร-เป็นจุดที่ต่อจากช่องปากที่เกิดจากการสะสม
ระบบทางเดินปัสสาวะ-การทำความสะอาดหรือการติดเชื้อ
สิ่งนำเชื้อ
อากาศ
อาหารและน้ำ
สัมผัสโดยตรงกับคน
วัตถุต่างๆ
แมลงและสัตว์
บุคคลที่มีเชื้อโรค
วิธีแพร่กระจายเชื้อ
Air bone transmission
เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
Contact transmission
1)Direct contact เป็นการแพร่กระจายเชื้อจากคนสู่คน (person-to-person spread)
2) Indirect contact เป็นการสัมผัสสิ่งของหรืออุปกรณ์การแพทย์ที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่เป็นการที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางตัวกลาง
3) Droplet spread เกิดจากการสัมผัสกับฝอย ละออง น้ำมูก น้ำลาย
Common Vehicle transmission
เป็นการแพร่กระจายเชื้อจากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือดอาหาร น้ำ ยา สารน้ำที่ให้แก่ผู้ป่วย
Vectorborne
transmission เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยแมลงหรือสัตว์นำโรค
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล Nosocomial infection
การติดเชื้อขณะที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจ/และการได้รับการพยาบาล และการติดเชื้อของบุคลากรจากการปฏิบัติงาน
ภาวะปลอดเชื้อและเทคนิคปลอดเชื้อ
การปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่จะเกิดกับเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม
เทคนิคปลอดเชื้อ(Aseptic technique)
การกีดกั้นเชื้อชนิดเคร่งครัด (Surgical asepsis)
เทคนิคการทำให้สะอาด (การใส่ถุงมือ)
(gloves)เสื้อคลุม (gown) ที่นึ่งแล้ว
การใช้ปากคีบที่ทำให้ไร้เชื้อหยิบเครื่องมือเครื่องใช้
ที่สะอาดปราศจากเชื้อ
การกีดกั้นเชื้อชนิดไม่เคร่งครัด (Medical asepsis)
การแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อด้วยวิธีการแยกเฉพาะ (Isolation technique)
เทคนิคการทำให้สะอาด
(Clean technique)
เทคนิคปราศจากเชื้อ
(Sterile technique)
เครื่องมือเครื่องใช้ปราศจากเชื้อ(sterile)
ความหมายของคำศัพท์
Sterilization
ขบวนการทำลายเชื้อโรคทุกชนิด รวมทั้งพวกที่มีสปอร์ให้หมดสิ้นไป
Sterile
สิ่งของหรือเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อโรค รวมทั้งชนิดที่มีสปอร์
Contamination
การสัมผัส ปนเปื้อนเชื้อโรค
Disinfection
ขบวนการทำลายเชื้อโรคแต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ได้
วิธีทำลายเชื้อโรคแบบนี้ เช่น การต้ม การแช่น้ำยา
Disinfectant
สารเคมีหรือน้ำยาที่ใช้ทำลายจุลินทรีย์ แต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ น้ำยานี้จะทำลายเนื้อเยื่อด้วย ฉะนั้นจะใช้กับผิวหนังไม่ได้
Antiseptics
สารเคมีที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
การฆ่าเชื้อและทำให้ปราศจากเชื้อ
critical items
เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสกับเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องทำให้ปราศจากเชื้อ
semi-critical or intermediate items
เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องสะอาดไม่มีเชื้อโรค ยกเว้นสปอร์ของแบคีเรีย
non-critical items
เครื่องมือที่สัมผัสกับผิวหนังภายนอก ไม่ได้สัมผัสกับเยื่อบุต่างๆของร่างกาย ก่อนใช้ต้องล้างให้สะอาด
การทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้
การล้าง
การล้างเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำลายเชื้อในขั้นต่อไป การล้างที่ถูกต้องสามารถขจัดจุลชีพออกจากวัสดุเกือบทั้งหมด และเพียงพอสำหรับการทำลายเชื้อสำหรับเครื่องใช้โดยทั่วไป
วัตถุประสงค์
1.เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคบนเครื่องมือให้เหลือปริมาณน้อยที่สุด
2.เพื่อเป็นการลดสิ่งปนเปื้อนที่ติดอยู่บนผิวของเครื่องมือ
3.ความสกปรกที่ติดแน่นบางอย่างไม่สามารถจะหลุดได้จากวิธีการทำลายเชื้อ
4.ช่วยลดอันตรายและเพิ่มความปลอดภัย
ข้อควรคำนึงในการล้าง
1.กำจัดเลือด หนอง เมือก สารคัดหลั่งและอื่นๆออกก่อนทำความสะอาดเสมอ
2.ไม่ทำให้อุปกรณ์ เครื่องใช้ชำรุดเสียหายจากวิธีการทำความสะอาด
3.ไม่ทำให้อุปกรณ์ เครื่องใช้สกปรกมากกว่าเดิม
4.สารจากสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง หากล้างออกไม่หมดจะช่วยเคลือบเชื้อจุลชีพไว้
เครื่องใช้
1.อุปกรณ์ช่วยในการขัดถู มีขนาดและรูปร่างต่างกัน
2.สารซักฟอก หรือสบู่
3.อุปกรณ์สวมใส่เพื่อป้องกันความสกปรกกระเด็นถูกร่างกาย
วิธีทำ
1.สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันความสกปรกตามความเหมาะสม
ล้างคราบสิ่งสกปรก และคราบสารผงซักฟอกออกให้หมดโดยใช้น้ำก๊อกที่ไหลชะผ่าน
3.เช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด หรือวางผึ่งลมก่อนเก็บเข้าที่
ทำความสะอาดอุปกรณ์ขัดล้างให้สะอาด
ทำให้แห้งรวมทั้งถุงมือและอ่างน้ำ
การต้ม
เป็นวิธีการทำลายเชื้อที่ดี ง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพดี การต้มเดือดนาน 10 นาที จะสามารถทำลายเชื้อได้ยกเว้นสปอร์
ไวรัสHIVองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ต้มเดือดนาน 20 นาทีเพื่อให้มั่นใจ
การเตรียมอุปกรณ์การต้ม
หม้อต้มที่สะอาดมีฝาปิด เพื่อให้อุณหภูมิสม่ำเสมอขณะต้ม
ใส่น้ำสำหรับการต้มให้มีปริมาณมากพอ
การเตรียมสิ่งของที่จะต้ม
สิ่งของที่จะต้มควรได้รับการทำความสะอาดดีแล้ว
แยกชนิดของที่จะต้ม
เครื่องใช้มีคมไม่ควรต้ม เพราะจะทำให้เสียความคม
ของที่ใช้กับอวัยวะสะอาด ไม่ควรต้มปนกับของที่ใช้กับอวัยวะสกปรก
ของที่ต้มครบเวลาแล้ว ต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปราศจากเชื้อหรือสะอาดมีฝาปิดมิดชิด
หลักสำคัญในการต้ม
น้ำต้องท่วมของทุกชิ้นอย่างน้อย 1 นิ้ว
เครื่องมือเครื่องใช้ที่มีน้ำหนักเบา ควรใช้ของที่มีน้ำหนักทับเพื่อให้จมอยู่ใต้น้ำ
ปิดผาหม้อต้ม เริ่มนับเวลาเมื่อน้ำเดือดเต็มที่
ในขณะต้มต้องไม่เปิดฝาหม้อต้ม เพราะจะทำให้อุณหภูมิภายในหม้อต้มลดลง
เมื่อครบกำหนดให้เก็บของที่ต้มแล้วลงในภาชนะที่ปราศจากเชื้อหรือสะอาดมีฝาปิดมิดชิด
การใช้สารเคมี
น้ำยาที่ใช้ในการทำลายเชื้อ
แอลกอฮอล์
อัลดีฮัยด์
ไดกัวไนด์
ฮาโลเจน
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
ฟีนอล
Quartemary Ammonium Compounds
การทำให้ปราศจากเชื้อ
วิธีทางกายภาพ
•Radiation
เป็นการใช้แสงอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นแสงสีม่วง สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสบางชนิด ในการทำลายเชื้อจะใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง
•Dry heat or hot air sterilization
สามารถทำลายเชื้อโดยใช้ความร้อนแห้งที่อุณหภูมิ 165-170 องศาเซลเซียส ระยะเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง การใช้ความร้อนแห้งนี้เหมาะสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นของมีคม ไม่ทำให้ของเสียคมใช้สำหรับเครื่องแก้วที่ใช้ในห้องปฏิบัติการแต่ไม่เหมาะที่จะให้กับเครื่องผ้าและยาง
•Steam under pressure
เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เชื่อถือได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการฆ่าเชื้อและสปอร์ของเชื้อ โดยใช้เวลานาน 15-45 นาที
วิธีทางเคมี
•การใช้ก๊าซ Ethylene oxide
มีคุณสมบัติทำลายเชื้อสูง สามารถทำลายได้ทั้งไวรัส แบคทีเรียรวมทั้งสปอร์ของแบคทีเรีย นิยมใช้ทำให้ปราศจากเชื้อในเครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่สามารถทนความ
ร้อนและความชื้นได้
•การใช้ 2% Glutaradehyde
เช่น Cidex เป็นสารเคมีที่ใช้มากที่สุดในการทำให้ปราศจากเชื้อมีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อและสปอร์ของแบคทีเรีย เป็นสารที่ไม่ทำลายยางหรือพลาสติก
•การใช้ Peracetic acid
ทำให้ปลอดเชื้อจะต้องใช้เวลารวดเร็วคือ 35-40 นาที
ที่อุณหภูมิ 50-55 องศาเซลเซียส ต้องล้างน้ำยาออกให้หมด และทำให้แห้งด้วยความระมัดระวัง
การหยิบจับของปราศจากเชื้อ
จะต้องรักษาของที่หยิบและของที่เหลือให้ปราศจากเชื้อโดยใช้ปากคีบ ที่มีลักษณะยาวและแช่อยู่ในกระปุกที่แช่น้ำยา (Transfer forceps) หยิบ
วิธีการใช้ปากคีบหยิบของที่ปราศจากเชื้อ
เมื่อหยิบปากคีบออกจากภาชนะที่แช่ ต้องระวังไม่ให้ปากคีบแยกออกจากกัน และป้องกันไม่ให้ปลายปากคีบถูกกับปากภาชนะ
ขณะที่ถือให้ปลายปากคีบอยู่ต่ำ เพื่อไม่ให้น้ำไหลไปสู่บริเวณที่ไม่ปราศจากเชื้อ ทำให้สกปรก
ระวังไม่ให้ปากคีบถูกต้องกับภาชนะอื่นๆที่ไม่ปราศจากเชื้อ
เมื่อใช้ปากคีบเสร็จแล้วให้จับตรงกลางด้ามให้ปลายชิดกัน แล้วใส่ลงในกระปุกตรงๆ
วิธีการหยิบของในหม้อนึ่ง ในอับหรือการแบ่งของที่สะอาดปราศจากเชื้อ
เมื่อเปิดฝา ถ้าต้องการจะวางกับโต๊ะให้หงายฝาขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ขอบฝาสัมผัสกับโต๊ะ ถ้าถือไว้ให้คว่ำฝาลง
ห้ามเอื้อมข้ามของ sterile ที่เปิดฝาไว้และห้ามจับด้านในของฝา
ของที่หยิบออกไปแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้ก็ไม่ควรนำเข้าไปเก็บในหม้อนั้นอีก
หลักพื้นฐานของภาวะปราศจากเชื้อ
1.ดูแลให้ของปลอดเชื้อนั้นคงความปลอดเชื้อ
1.1 ปากคีบปลอดเชื้อ (Transfer forceps) ใช้สำหรับหยิบจับ เคลื่อนย้ายของปลอดเชื้อต้องสะอาดและคงความปลอดเชื้อตลอดเวลา
1.2 การเทน้ำยาปลอดเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% ให้ถือขวดน้ำยาสูงกว่าภาชนะปลอดเชื้อประมาณ 6 นิ้ว
1.3 หลีกเลี่ยงการทำน้ำยาหกเปื้อนผ้า ห่อของปลอดเชื้อ จะทำให้อุปกรณ์ที่อยู่ในผ้าห่อเกิดการปนเปื้อน
1.4 หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ จาม หรือข้ามกรายของปลอดเชื้อ เพราะเชื้อโรคมีโอกาสแพร่กระจายไปตามละอองอากาศ
1.5 อุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดที่จะสอด/ ใส่ผ่านผิวหนังเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยจะต้องปลอดเชื้อ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดยา
ผ้าปิดแผล สายสวนปัสสาวะ
1.6 การเทน้ำยาหรือวางของปลอดเชื้อไม่ควรชิดขอบด้านนอกของภาชนะหรือผ้าห่อ ของปลอดเชื้อ ให้วางห่างจากขอบนอกของภาชนะหรือผ้าห่อของปลอดเชื้อถัดเข้ามาประมาณ 1 นิ้ว
1.7 การเปิดห่อผ้าของปลอดเชื้อให้จับมุมบนสุดของผ้าเปิดไปทางด้านตรงกันข้ามกับผู้ทำ ต่อมาเปิด 2 มุมผ้าด้านข้าง ซ้าย-ขวาก่อน สุดท้ายจึงจับมุมผ้าด้านในสุดของห่อ ผ้าเปิดออกโดยไม่ข้ามกรายของปลอดเชื้อ หากเป็นห่อสำเร็จรูป ใช้มือทั้งสองข้างฉีกห่อสำเร็จรูปแยกออกจากกันโดยไม่สัมผัสด้านในของห่อปลอดเชื้อ
2.หากของปลอดเชื้อสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปลอดเชื้อให้ถือว่าของนั้นไม่ปลอดเชื้อ หรือ เกิดการปนเปื้อนขึ้น เรียกว่า contamination
2.1 ใช้ปากคีบปลอดเชื้อในการหยิบของปลอดเชื้อ ไม่ใช้ปากคีบที่ไม่ปลอดเชื้อหรือ ผ่านการใช้งานแล้วหยิบของปลอดเชื้อ
2.2 หากหยิบจับของปลอดเชื้อด้วยมือ หรืออุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อ จะถือว่าเครื่องมือเครื่องใช้นั้นเกิดการปนเปื้อน
2.3 การใช้ปากคีบหยิบจับของปลอดเชื้อไม่ควรใช้ปากคีบหยิบบริเวณขอบของภาชนะ หรือใช้ปากคีบเปิดผ้าห่อของปลอดเชื้อ เพราะบริเวณเหล่านี้ มีโอกาสเกิดการปนเปื้อน
2.4 ของปลอดเชื้อที่มีรอยฉีกขาด รอยเปิดสัมผัสกับภายนอก ถือว่าไม่ปลอดเชื้อ
2.5 ดูแลให้ของปลอดเชื้อสัมผัสกับอากาศน้อยที่สุด หากเปิดใช้ต้องรีบปิดทันที
2.6 ห่อของปลอดเชื้อที่เปิดใช้แล้ว แสดงว่าเกิดการปนเปื้อน ไม่นำไปรวมกับของปลอดเชื้อ
3.ของปลอดเชื้อต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวและอยู่ในสายตา
3.1 การถือของปลอดเชื้อหรือบริเวณที่วางของปลอดเชื้อจะต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวเพื่อให้แน่ใจว่าของปลอดเชื้อนั้นอยู่ในสายตา ลดโอกาสเกิดการปนเปื้อน
3.2 เมื่อเปิดของปลอดเชื้อแล้ว ไม่ละทิ้งหรือหันหลังให้ของปลอดเชื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อนเกิดขึ้นจากการวางของนั้นนอกสายตา
3.3 หากผู้ปฏิบัติเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจเกี่ยวกับความปลอดเชื้อกับของใช้นั้น ต้องเปลี่ยนของนั้นใหม่ทันที
วิธีห่อของส่งนึ่ง
คลี่ผ้าที่ห่อของบนโต๊ะ สูงระดับเอวให้มุมใดมุมหนึ่งอยู่ด้านผู้ห่อ
วางของไว้ที่ศูนย์กลางของผ้าห่อ
จับมุมผ้าด้านผู้ห่อ วางพาดบนของ และพับมุมกลับเล็กน้อย
ดึงผ้าให้เรียบตึง ห่อด้านซ้ายให้มิดของ ดึงให้ตึง และพับมุมเล็กน้อย
ห่อด้านขวาให้มิดของ ดึงให้ตึงพับมุมเช่นกัน เข้าเล็กน้อย
จับผ้าที่เหลือมุมสุดท้าย ดึงให้ตึงพับมุมเข้าเล็กน้อยจัดห่อให้มิดชิดไม่หลุด
ตรึงห่อของให้แน่นด้วยเทปกาวและระบุหอผู้ป่วย
ชื่อสิ่งของ วันที่ส่งนึ่งและชื่อผู้ห่อของ
ติด Autoclave tape
การเปิดห่อของที่ปราศจากเชื้อ
จุดประสงค์
เพื่อคงความปลอดเชื้อของสิ่งของภายในห่อ
และผ้าห่อด้านใน
เครื่องใช้
ห่อของที่ปลอดเชื้อ
วิธีทำ
สำรวจป้ายชื่อห่อของให้ตรงกับวัตถุประสงค์การใช้ และตรวจสอบความปราศจากเชื้อจาก Autoclave tape
วางห่อของบนโต๊ะที่สะอาดสูงระดับเอวโดยให้มุมนอกสุดของห่อของอยู่ไกลตัว
แกะเทปกาว ป้ายชื่อห่อของที่ระบุวันนึ่ง และ Autocave tape ออก
จับมุมผ้าด้านนอก ห่างขอบประมาณ 1 นิ้ว เปิดมุมแรกออกไปทางด้านตรงข้ามกับผู้เปิด
เปิดมุมผ้าด้านข้างออกทีละด้านแล้วเปิดมุมผ้าด้านในที่สุด
การล้างมือ
เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดการติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง สามารถทำได้ง่ายและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด ควรทำก่อนการปฏิบัติการพยาบาลและหลังการพยาบาลผู้ป่วย
การล้างมือแบบธรรมดา
(Normal หรือ Social hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อสุขภาพอนามัยทั่วไปด้วยสบู่ก้อนหรือสบู่เหลว ใช้เวลาในการฟอกมือนานอย่างน้อย 15 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล
(Alcohol hand rub)
ในกรณีรีบด่วน ไม่สะดวกในการล้างมือด้วยน้ำ และมือไม่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยให้ทำความสะอาดมือด้วย แอลกอฮอล์เจล
การล้างมือก่อนการปฏิบัติการพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ และภายหลัง(Hygienic hand washing)
การล้างมือภายหลังการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อ ให้ล้างมือด้วยสบู่เหลวผสมยาทำลายเชื้อ ฟอกอย่างทั่วถึงตามขั้นตอนเหมือนการล้างมือแบบธรรมดาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 30 วินาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าแห้งที่สะอาด
การล้างมือก่อนทำหัตถการ
(Surgical hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อหัตถการ การทำคลอดที่ต้องป้องกันการติดเชื้อให้ล้างมือด้วยสบู่เหลวทำลายเชื้อ เช่น chlorhexidine4% และใช้แปรงที่ปราศจากเชื้อแปรงมือและเล็บในครั้งแรกของวันนั้นๆ แล้วฟอกมือและแขนถึงข้อศอกให้ทั่วนานอย่างน้อย 5 นาที ในการล้างมือครั้งต่อไปฟอกมือนาน 3-5 นาที ล้างให้สะอาดและซับด้วยผ้าแห้งที่ปราศจากเชื้อ
การใส่ถุงมือ (Glove)
ถุงมือจะช่วยป้องกันการติดต่อของเชื้อโรคทั้งทางตรงและทางอ้อม
1.ป้องกันและควบคุมเชื้อโรคจากตัวเราไปสู่ตัวผู็ป่วย จากผู็ป่วยไปสู่บุคคลอื่น
2.ป้องกันและควบคุมเชื้อโรคจากผู้อื่นไปสู่ตัวผู้ป่วย
3.ป้องกันและควบคุมผู้สัมผัสเชื้อเป็นพาหะนำเชื้อไปสู่ผู้อื่น
ถุงมือปลอดเชื้อ (Sterile gloves)
1.หยิบจับของปลอดเชื้อ
2.ทำหัตถการต่างๆ เช่นการผ่าตัด
3.ป้องกันการติดเชื้อไปยังผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ถุงมือสะอาดหรือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้้ง
(Clean,Disposable gloves)
1.ป้องกันสิ่งสกปรกสัมผัสมือ
2.เมื่อต้องการเคลื่อนย้ายเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่ผ่านการใช้งานแล้วหรือระหว่างให้การพยาบาลผู้ป่วย
การใช้ผ้าปิดปาก-จมูก (mask)
ช่วยป้องกันการได้รับเชื้อโรคจากผู้ป่วยเข้าสู่ทางเดินหายใจและเป็นการป้องกันผู้ป่วยได้รับเชื้อจากผู้อื่นเข้าสู่ทางเดินหายใจ และยังสามารถป้องกันฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายทางอากาศได้ด้วย
หลักการใช้
1) ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังใช้
2)หากเป็นชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งให้หันขอบที่มีลวดไว้ด้านบน ควรสวมให้กระชับใบหน้า ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป และกดขอบที่มีลวดแนบกับดั้งจมูกจะทำให้การใส่ผ้าปิดปากและจมูกกระชับมากขึ้น ไม่ระคายเคืองบริเวณนัยน์ตาขณะให้การพยาบาลผู้ป่วย
3)หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสผ้าปิดปากและจมูกขณะที่สวมใส่
4) ระยะเวลาที่ใช้ผ้าปิดปากและจมูกจะต้องถอดทันทีภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมการพยาบาลและเมื่อเกิดความสกปรกหรือชื้น ระยะเวลาในการใช้ผ้าปิดปากและจมูกไม่ควรเกิน 20-30 นาที ไม่ควรแขวนผ้าปิดปากและจมูกไว้ที่คอ เพื่อรอการนำกลับมาใช้ใหม่ เพราะผู้ปิดปากจมูกที่ใช้แล้วเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
การใส่เสื้อกาวน์(Gown)
การใส่เสื้อกาวน์ จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ โดยระวังการปนเปื้อนด้านนอกของเสื้อคลุม
การป้องกันการติดเชื้อแบบมาตรฐาน
(Standard precaution)
เป็นการระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อโรคที่ใช้กับผู้ป่วยทุกคนโดยไม่คำนึงถึงการวินิจฉัยโรง
1.การมีสุขาภิบาลและสุขอนามัยที่ดี (Sanitation and Hygiene)
เครื่องป้องกัน (Protection Barriers)
หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ(Avoid Accidents)
การปฏิบัติที่ปลอดภัยจากการใช้ของมีคม
ไม่ส่งของมีคมด้วยมือต่อมือ
2.เข็มที่ใช้เจาะเลือดผู้ป่วยให้เก็บทิ้งคนเดียว
3.การเย็บแผลให้ใช้ forceps หยั่งแผลเวลาเย็บ
4.การปลดหลอดแก้วออกจากสายยาง ให้ใช้ forceps ปลด
5.ไม่ควรสวมปลอกเข็มคืน แต่ถ้าจำเป็นต้องสวมควรสวมปลอกเข็มโดยใช้มือเดียว (one hand technique)
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
การสัมผัส (Contact Transmission)
1.1 Direct Contact - การสัมผัสโดยตรง ระหว่างคนกับคน
1.2 Indirect Contact - การสัมผัสทางอ้อมโดยผ่านสิ่งแวดล้อมหรือเครื่องมือที่ไม่ปราศจากเชื้อ
1.3 Droplet Contact - การสัมผัสผ่านละอองเสมหะในระยะไม่เกิน 3 ฟุต เช่น คางทูม ไข้หวัดใหญ่
การติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ทางละอองในอากาศ (Droplet Precautions)
1.แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกและปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
2.ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิด N95
3.สวมถุงมือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย
4.ล้างมือแบบ hygienic handwashing หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
5.ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดาตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหารและแปรงฟัน
6.ถ้าต้องมีความจำเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดธรรมดา
การติดเชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศ
(Airborne Precautions)
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกพิเศษ และปิดประตูทุกคครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้อง
ใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิด N95
3.ล้างมือแบบ hygienic handwashing หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
สวมถุงมือชนิดใชครั้งเดียวทิ้งทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย
5.ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดาตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหารและแปรงฟัน
ถ้าต้องมีความจำเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอก ห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดธรรมดา
การแยกผู้ป่วยอาจจำแนกออกเป็น 7 แบบ คือ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางบาดแผลและผิวหนัง
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและติดต่อง่าย
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางเลือด และน้ำเหลือง
การแยกผู้ป่วยในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง