Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตกขาวผิดปกติ
การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis)
การติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นอาการที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 10 ในสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ และพบได้ร้อยละ 10-30 ในสตรีตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์
ทำให้เนื้อเยื่อและผิวหนังอ่อนนุ่มลง บอบบางมากขึ้น เชื้อราที่ทำให้เกิดการตกขาวผิดปกติได้ถึงร้อยละ 80-90 เกิดจากเชื้อรากลุ่ม candida albicans ซึ่งมีระยะฟักตัว 1-4 วัน
หากมีเหตุสนับสนุนให้มีการเจริญของเชื้อราเพิ่มขึ้นมากเกินไปเรียกภาวะนี้ว่า candidiasis หรือ candidosis เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบ (vaginitis) หรือเรียกว่า vulvovaginal candidiasis ถึงร้อยละ 85 และติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการทำลายเชื้อแบคทีเรีย lactobacillus ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด
ทำให้มีโอกาสทำให้เชื้อราในช่องคลอดเจริญเติบโต เกิดการอักเสบในช่องคลอดและปากช่องคลอด
การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทานทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก (high dose)
ทำให้มีการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อราได้
ภูมิต้านทานของร่างกายถูกกดจากการเป็นโรคเอดส์ หรือการได้รับเคมีบำบัด
การควบคุมภาวะเบาหวานไม่ดี มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีของเชื้อรา
ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด จะทำให้เกิดความอับชื้นมากขึ้น
การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทำให้เกิดความอับชื้น เชื้อราเจริญได้ง่าย รวมถึงการสวมชุดชั้นในที่ทำจากใยสังเคราะห์
ขบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตขณะตั้งครรภ์ ภาวะความเป็นกรด-ด่าง ในช่องคลอดที่เปลี่ยนไป
ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
อาการและอาการแสดง
ประมาณร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด ปากช่องคลอดเป็นผื่นแดง ช่องคลอดอักเสบ และบวมแดงแต่ปากมดลูกปกติ ตกขาวมีลักษณะสีขาวขุ่น อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเหมือนนมตกตะกอน (curd-liked discharge หรือ cottage-cheese vaginal discharge) ตกขาวนี้จะเกาะติด แน่นกับผนังช่องคลอด ไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นอับ
อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ (dyspareunia)
มีอาการปัสสาวะลำบาก และแสบขัดตอนสุด (external dysuria)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นมากขึ้นเป็น 2 เท่า มีความระคายเคือง คันช่องคลอดมากขึ้น การติดเชื้อราในช่องคลอดทั้งแบบไม่มีอาการและมีอาการ
ไม่มีผลเสียต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อทารก
ทารกที่คลอดทางช่องคลอดจากมารดาที่มีการติดเชื้อราในช่องคลอด จะเป็นเชื้อราในช่องปาก (oral thrush) ได้มากกว่าปกติ 2-35 เท่า
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติอาการและอาการแสดง ระยะเวลาที่แสดงอาการ ประวัติอาการตกขาว
ผิดปกติและการรักษา
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในพบช่องคลอดบวมแดง และตกขาวมีลักษณะขุ่นรวมตัวกันเป็นก้อนเหมือนนมตกตะกอน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจด้วยวิธี wet mount smear จะพบเซลล์ของยีสต์ (yeast cell) และเส้นใยของ
เซลล์เชื้อรา (mycelium) pH น้อยกว่า 4.5 หรือนำตกขาวไปเพาะเชื้อ (culture) ใน sabouraud dextrose agar เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดี เพราะมีน้ำตาล
การตรวจด้วยวิธีแกรมสเตน (gram stain) จะพบลักษณะเป็นเหมือนเส้นด้าย (gram
positive pseudomycelial threads) และมีรูปร่างเหมือนยีสต์ (yeast-like form)
แนวทางการรักษา
2% Miconazole cream 5 กรัม ทาช่องคลอด 7 วัน
Miconazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน
Clotrimazole 100 มิลลิกรัม 1 เม็ด เหน็บช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
1% Clotrimazole cream 5 กรัม ทางช่องคลอด 6 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเองให้มีอาการสุขสบายขึ้นจากอาการคันในช่องคลอด และปากช่องคลอด
แนะนำการใช้ยาทา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง โดยการเหน็บยาในช่องคลอดอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาติดต่อกันจนยาหมด
การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และการทำความสะอาดชุดชั้นในต้องซักให้สะอาดและตากแดดให้แห้งเสมอ ชุดชั้นในควรเป็นผ้าฝ้ายไม่ควรใช้ไนลอนเพราะจะทำให้อับชื้น
หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ำ ๆ หรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
1.ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเทอโรนลดลง อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะดีขึ้น
การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ ชุดชั้นในต้องสะอาดและแห้ง ไม่อับชื้น
สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งจะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก ให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อการดูแลทารกต่อไป
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichomoniasis)
การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อโปรโตซัวชื่อ trichomonas vaginalis ซึ่งเป็นพยาธิที่ไม่ต้องการออกซิเจน เคลื่อนไหวในลักษณะคืบเป็นจังหวะตลอดเวลา เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นด่าง pH ประมาณ 5.8-7 อุณหภูมิ ประมาณ 37OC ซึ่งจะก่อให้เกิดการอักเสบเยื่อบุช่องคลอดชนิด squamous
การติดต่อมีได้ 2 ทางคือ ทางเพศสัมพันธ์ และอวัยวะเพศสัมผัสเชื้อโดยตรง มีระยะฟักตัว 5-28 วัน
อาการและอาการแสดง
ผู้ติดเชื้อร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อร้อยละ 50 มักจะพบโรคคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น
ร่วมด้วย เช่น หนองใน (gonorrhea) ปากมดลูกอักเสบแบบมูกปนหนอง (mucopurulent cervicitis) หูดหงอนไก่ (condyloma acuminata)
ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง (foamy discharge) มีกลิ่นเหม็น
มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง และอาจทำให้ปากมดลูกอักเสบ มีจุดเลือดออกเป็นหย่อม ๆ strawberry spot
อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด
ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ประวัติการมีตกขาวจำนวนมาก เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็น ร่วมกับอาการคัน
ประวัติการตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิและการรักษา
การตรวจร่างกาย การตรวจภายในช่องคลอด พบตกขาวเป็นฟองสีเหลือเขียว อาจพบจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆ ที่ผิวปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย wet mount smear จะพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ตกขาวมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
แนวทางการรักษา
ยาที่ใช้ได้ผลดีที่สุดต่อการติดเชื้อพยาธิ คือ metronidazole แต่ห้ามใช้ในไตรมาสแรก ดังนั้นยาที่สามารถใช้ในไตรมาสแรกได้อย่างปลอดภัยคือ clotriamazole100 มิลลิกรัม สอดเข้าช่องคลอดก่อนนอนเป็นเวลา 6 วัน
หลังไตรมาสแรกไปแล้ว จะรักษาด้วย metronidazole โดยให้รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
ให้การรักษาสามีไปด้วย โดยให้ metronidazole หรือ tinidazole รับประทาน 2 กรัม ครั้งเดียว
หรือ ornidazole 1.5 กรัม ครั้งเดียว
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ และซักชุดชั้นในให้สะอาดตากแดดให้แห้ง
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่อคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักษาทั้งสามีและภรรยาให้หาย ในช่วงที่มีอาการ อาจต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้
ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis)
แบคทีเรียที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบมากที่สุดชื่อ
gardnerella vaginalis ติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ สตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็อาจพบการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ได้จากการใช้สบู่ หรือเจลอาบน้ำที่มีสารระคายเคือง กิจกรรมเหล่านี้อาจทำลายเชื้อโรคประจำถิ่น ในช่องคลอดทำให้แบคทีเรียเจริญได้ง่าย หรือการตั้งครรภ์ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
คนที่มีอาการตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จะติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นได้ง่ายด้วย เช่น หนองใน หนองในเทียม และเริม
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา (fishy smell) โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ถ้าไม่ได้รักษา อาจทำให้มีการติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียยังจะคืบคลานเข้าสู่โพรงมดลูก ท่อนำไข่ ทำให้มีการติดเชื้อในมดลูก
อาจทำให้เกิดการแท้งติดเชื้อ (septic abortion) ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด และเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
มารดาหลังคลอดอาจมีไข้ ปวดท้องมากและมีอาการแสดงของเยื่อบุมดลูกอักเสบ
(endometritis) ทั้งหลังการคลอดปกติและหลังการผ่าตัดคลอด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกคลอดก่อนกำหนด
อาจตรวจพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียในหลอดลมทำให้มีภาวะหายใจลำบาก มีแบคทีเรียในเลือด รีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เป็นเวลา 72 ชั่วโมง
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ได้แก่ ประวัติการมีตกขาวจำนวนมาก ปวดแสบปวดร้อนบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบา เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ
การตรวจร่างกาย การตรวจทางช่องคลอดและการทำ pap smear จะพบเชื้อแบคทีเรีย ตรวจความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอด จะได้ผลมีฤทธิ์เป็นด่าง ค่า pH มากกว่า 4.5
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจ Wet smear โดยการหยด 10% Potassium Hydroxide (KOH) ลงไปบนตกขาว 2 หยดแล้ว คนให้เข้ากันจะได้กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา
การเพาะเชื้อ (culture) ตกขาวใน columbia agar ที่มีเลือดเป็นส่วนผสมหรือมี 5%CO2ใช้ เวลา 3 วันเชื้อแบคทีเรียจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเล็ก
แนวทางการรักษา
ให้ยา metronidazole 250 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หรืออาจให้ metronidazole 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7-10 วัน
ให้ampicillin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ซึ่งอาจไปทำลายเชื้อโรคประจำถิ่นได้
แนะนำให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
แนะนำการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องแข็งบ่อย มีเลือดออกทางช่องคลอด ให้รีบไปพบ
แพทย์ทันที
ระยะคลอด
ผู้คลอดสามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ โดยให้การพยาบาลเหมือนผู้คลอดทั่วไป
ระยะหลังคลอด
ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยเน้นเรื่องการล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
ซิฟิลิส (Syphilis)
เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum (T. Pallidum) มีระยะฟักตัวประมาณ 10-90 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 3 สัปดาห์สามารถติดจากคนสู่คนโดยการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือเยื่อบุที่มีรอยถลอกเล็ก ๆที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เชื้อนี้ไปให้ทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ และสตรีตั้งครรภ์สามารถผ่าน
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก หรือทางเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย
ประมาณ10-14 วัน ร่างกายจะสร้าง antibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา ขณะที่ร่างกายกำลังสร้างantibody เชื้อจะแบ่งตัวทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคือง เกิดปฏิกิริยา lymphocyte และ plasma cell reaction มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ
ทำให้ ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม เชื้อจะแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างผนังหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อที่มีการอักเสบมีเลือดมาเลี้ยงลดลง เกิดการขาดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย และกลายเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง กดไม่เจ็บ
ส่วนเชื้อที่เข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายเกิดการอักเสบส่งผลให้เกิดผื่นทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันเชื้อจะเข้าไปยังต่อมน้ำเหลือง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตแต่กดไม่เจ็บ
ภายหลังจากรับเชื้อเข้าร่างกาย 6-8 สัปดาห์ จำนวนเชื้อที่แผลหรือที่เนื้อเยื่อจะค่อยๆ ลดลง ผื่นจะค่อยๆหายไป ส่วนบริเวณแผลจะมีพังผืดเกิดขึ้นและกลายเป็นแผลเป็น
ส่วนเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณรกจะทำให้รกเกิดการอักเสบ เนื้อรกกลายเป็นเนื้อตาย และถ้าเชื้อผ่านไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เนื้อเยื่อของทารกอักเสบและเป็นเนื้อตาย เปื่อยยุ่ย และหลุดเป็นแผล เกิดพังผืด และทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
อาการและอาการแสดง
ซิฟิลิสระยะแรก หรือระยะที่หนึ่ง (primary stage)
หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียว่าแผล chancre
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกหรือในช่องคลอดและปากมดลูก ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บมักจะพบเพียง 1 แผล
แผลจะเป็นอยู่นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ จากนั้นแผลจะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา และจะเข้าสู่ซิฟิลิสระยะที่สอง
ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
ขณะที่แผลกำลังจะหาย หรือหลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์จะยกนูน ร่วมกับมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
ซึ่งอาการในระยะนี้จะหายได้เองแม้ไม่ได้รับการรักษา จากนั้นประมาณ 3-12 สัปดาห์จะเข้าสู่ระยะแฝง
ระยะแฝง (latent syphilis)
ระยะนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แต่กระบวนการติดเชื้อยังดำเนินอยู่และสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ อาจมีการกำเริบของโรคได้ ซึ่งระยะแฝงของซิฟิลิสจะอยู่ได้นานเป็นปี หากยังไม่ได้รับการรักษาจะพัฒนาไปเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3
ซิฟิลิสระยะที่ 3 หรือระยะท้ายของโรคซิฟิลิส (tertiary syphilis)
ระยะนี้เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aortic aneurysm และ aortic insufficiency
ถ้าเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ เยื่อบุสมองอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด
เกิดรอยโรคที่อวัยวะภายในและกระดูกที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า gumma lesion และอาจตรวจพบรูม่านตาที่ค่อนข้างเล็กและหดเล็กลงได้เมื่อมองใกล้ แต่ไม่หดเล็กลงเมื่อถูกแสง เรียกว่า Argyll Robertson Pupil
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่ออักเสบ
คลอดก่อนกำหนด
แท้งบุตร
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ตายคลอด
ทารกแรกเกิดติดเชื้อซิฟิลิส (neonatal syphilis)
ทารกพิการแต่กำเนิดโดยอาจพบความพิการของตับม้ามโต
ปัญญาอ่อน
โรคหัวใจแต่กำเนิด
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อซิฟิลิส หรือมีประวัติเคยป่วยด้วยโรคซิฟิลิสมาก่อน หรือมีประวัติผลการตรวจซิฟิลิสได้ผลบวก
การตรวจร่างกาย กรณีที่มีอาการและอาการแสดงอาจตรวจพบไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ตรวจอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกพบแผลที่มีลักษณะขอบแข็ง กดไม่เจ็บ อาจพบผื่นบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตแต่กดไม่เจ็บ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระยะที่เป็นแผลสามารถวินิจฉัยโดยการตรวจหาเชื้อ T. Pallidum จากแผล chancre หรือ
ผื่น มาตรวจด้วยกล้อง dark-field microscope เป็นกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ หากพบเชื้อ T.
Pallidum จะถือว่าเป็น definition diagnosis
หากไม่มีแผลหรือผื่น การวินิจฉัยทำโดยการตรวจเลือด
การตรวจหา antibody ที่ไม่จำเพาะต่อเชื้อ (nontreponemal test)
การตรวจหา antibody เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิส ที่จำเพาะต่อเชื้อ Treponema
pallium โดยตรง (treponema test)
การคัดกรองส่วนใหญ่นิยมใช้การตรวจด้วยวิธี VDRL เนื่องจากเป็นวิธีที่ให้ผลเร็ว ใช้คัดกรองในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผล reactive (titer มากกว่า 1:8)
แนวทางการรักษา
การรักษาเป็นแนวทางเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อซิฟิลิสขณะไม่ตั้งครรภ์ โดยยึดหลักการรักษาให้หาย ครบถ้วน และต้องให้สามีมารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน
ให้ยา Penicillin G ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์ และป้องกันการติดเชื้อของทารก
การรักษาในระยะ primary, secondary และ early latent syphilis รักษาด้วย Benzathine
Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกครั้งเดียว
การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Penicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะพก 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ภายหลังการรักษาควรตรวจ VDRL title เมื่อ ครบ 6 และ 12 เดือน หาก title ลดลง 4 เท่าหลังการรักษา ถือว่าตอบสนองการรักษาดี แต่หาก title เพิ่มขึ้น 4 เท่า แสดงว่ารักษาไม่หาย ต้องเริ่มรักษาใหม่
หนองใน (Gonorrhea)
เกิดจากการติดเชื้อ Neiseria gonorrheae หรือ gonococcus (GC) สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในสามารถแพร่เชื้อไปยังทารกได้โดยผ่านทางแผลถลอก หรือเยื่อเมือกของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณเยื่อบุตา
พยาธิสรีรภาพ
เมื่อเชื้อ Neiseria gonorrheae เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดยจะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจำนวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue
เชื้อ Neiseria gonorrheae จะทำปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง
ตำแหน่งที่มักพบการอักเสบคือ เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ถ้าเข้าเชื้อสู่เชิงกรานจะไปทำลายถุงน้ำคร่ำทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
หากเชื้อเข้าสู่ช่องท้องจะทำให้ช่องท้องอักเสบ ตับอักเสบ และหากเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด มีอาการรุนแรงมากขึ้น
อาการและอาการแสดง
การอักเสบของปากมดลูกและช่องคลอดทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน (bartholin’s gland)
หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปิดกระปรอย เป็นหนองข้น และปัสสาวะเป็นเลือด
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ไม่มีอาการ มีบุตรยาก
กรณีที่มีอาการขณะตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำอักเสบและติดเชื้อ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด แท้งบุตร และการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกแรกเกิดที่คลอดปกติผ่านทางช่องคลอดมีการติดเชื้อหนองในที่ปากมดลูก ช่องคลอด หรืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก โดยเฉพาะบริเวณเยื่อเมือกที่ตาของทารก ทำให้เกิดตาอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้
หากทารกแรกเกิดกลืนหรือสำลักน้ำคร่ำที่มีเชื้อหนองในเข้าไปจะทำให้ช่องปากอักเสบ หูอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบได้
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหนองใน หรือมีประวัติเคยป่วยด้วย
โรคหนองในมาก่อน รวมถึงประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อหนองใน
การตรวจร่างกาย ตรวจทางช่องคลอดจะพบหนองสีขาวขุ่น บางรายอาจพบเลือดปนหนอง หากมีการอักเสบมากขาหนีบจะบวม กดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน หรือต่อมข้างท่อปัสสาวะ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจขั้นต้นโดยการเก็บน้ำเหลืองหรือหนองจากส่วนที่มีการอักเสบมาย้อมสีตรวจ gram stain smear หากมีการติดเชื้อจะพบ intracellular gram negative diplocooci ส่วนการตรวจเพื่อยืนยันผลทำได้โดยการเพาะเชื้อ (culture) หรือการตรวจ Nucleic acid test (NAT) เพื่อยืนยันผล หากผล positive ต่อ Neiseria gonorrheae จะแปลผลว่ามีการติดเชื้อ
แนวทางการรักษา
ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ (VDRL)
หากพบว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin, penicillin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ควรระวังเรื่องของการเพิ่มของ blood level ระหว่างที่ได้รับยาเนื่องจากจะมีผลต่อการ
ทำงานของหัวใจของสตรีขณะตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาคือ 1% tetracycline ointment หรือ 0.5%
erythromycin ointment หยอดตาตาทารก หลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะ ceftriaxone ตามแผนการรักษาของกุมารแพทย์
การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคำนึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่ หากมีควรรักษาพร้อมกัน รวมถึงต้องตรวจและรักษาคู่นอนด้วยเช่นกัน
การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของแผลอวัยวะเพศ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสคือ Herpes simplex virus (HSV) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทรับความรู้สึก เชื้อนี้สามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาที่ผิวหนังได้อีกเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดโรคซ้ำได้เรื่อย ๆ
พยาธิสรีรภาพ
หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็ก ๆจำนวนมาก เมื่อตุ่มน้ำแตก หนังกำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น
ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
อาการและอาการแสดง
อาการของการติดเชื้อปฐมภูมิมักเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ
มีอาการปวดแสบปวดร้อน และคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะตำสะเก็ด บางรายอาจมีอการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลัย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
ผู้ที่เคยติดเชื้อ HSV มักจะเกิดการติดเชื้อซ้ำเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ โดยจะมีอาการเหมือนกับการติดเชื้อปฐมภูมิ แต่อาการจะไม่ค่อยรุนแรง ระยะเวลาที่เป็นน้อยกว่า และไม่ค่อยพบต่อน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
การติดเชื้อซ้ำขณะตั้งครภร์มีผลกระทบค่อนข้างน้อย
ผลกระทบต่อทารก
ทารกมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
หากให้คลอดทางช่องคลอด
ทารกอาจติดเชื้อขณะคลอดได้
หากทารกมีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดสูง ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตได
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติประวัติเกี่ยวกับการเคยติดเชื้อเริมมาก่อนหรือไม่ หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะสืบพันธ์หรือไม่
การตรวจร่างกาย จะพบตุ่มน้ำใส หากตุ่มน้ำแตกจะพบแผลอักเสบ แดง ปวดแสบปวดร้อนบริเวณขอบแผลค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียงเหมือนกับแผลจากการติดเชื้อซิฟิลิส อาจพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตแบบกดไม่เจ็บ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อใน Hank’s medium โดยนำของเหลวที่ได้จากตุ่มน้ำหรือจากก้นแผลมาทำการเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงและมีความไวมาก
การขูดเนื้อเยื่อจากแผลมาทำการย้อมและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (exfoliative cytology
หรือ pap smear) วิธีนี้ทำได้ง่าย แต่ความไวในการตรวจพบเชื้อค่อนข้างต่ำ
การทำให้ตุ่มน้ำแตกแล้วขูดบริเวณก้นแผลมาป้ายสไลด์แล้วย้อมสี (Tzanck’s test) สามารถพบเชื้อร้อยละ 70-85
แนวทางการรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษา herpes simplex ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อซ้ำเติม ล้างแผลด้วย NSS ในรายที่เป็นการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศครั้งแรกและมีอาการรุนแรง
ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานวันละ 5 ครั้ง นาน 5-7 วัน แต่หากมีอาการของระบบอื่นที่รุนแรงร่วมด้วยอาจให้ Acyclovir 5 mg/kg ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ทุก 8 ชั่วโมง นาน 5-7 วัน
การรักษาในระยะคลอด
กรณีที่เคยติดเชื้อเริมมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคหรือไม่มีอาการของการติด
เชื้อ ให้คลอดทางช่องคลอด และเฝ้าระวังทารก เพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
กรณีที่พบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด และเฝ้าระวังทารกเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม หากว่ารอยโรคอยู่ห่างจากอวัยวะสืบพันธุ์มากและรอยโรคไม่แตกอาจให้คลอดทางช่องคลอดได้
หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
เกิดจากการติดเชื้อ human papilloma virus (HPV) มีระยะฟักตัวนาน 2-3 เดือน ติดต่อจากการสัมผัสรอยโรคโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
รอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุยระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด
มารดาหลังคลอดมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
ผลต่อทารก
ทารกอาจติดเชื้อหูดหงอนไก่ระหว่างตั้งครรภ์และขณะคลอด
บางรายอาจเกิด laryngeal papillomatosis ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เสียงเปลี่ยน (voice change) เสียงร้องไห้แหบผิดปกติ (abnormal cry)
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติ ประวัติเคยติดเชื้อหูดหงอนไก่มาก่อน หรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่ รวมถึงอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อหูดหงอนไก่
การตรวจร่างกาย จะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำบริเวณปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ควรวินิจฉัยแยกโรคออกจากซิฟิลิสและ genital cancer (CA vulva) โดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตรวจ Pap smear
แนวทางการรักษา
ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid หรือ bichloroacetic acid ทุก 7-10 วัน
ใช้ยาท่าร่วมกับการจี้ laser หรือ cryosurgery หรือ electrocoagulation with curettage
แนะนำการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซิฟิลิส หนองใน เริม และหูดหงอนไก่
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองและประเมินภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติโดยละเอียด ตรวจ
ร่างกาย หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อควรส่งพบแพทย์
แนะนำให้นำสามีมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค และหากมีการติดเชื้อแนะนำให้รักษาพร้อมกัน และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
อธิบายให้เข้าใจถึงการดำเนินของโรค อันตรายของโรคต่อการตั้งครรภ์ แผนการรักษาพยาบาล
การป้องกันสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์และสามี
รับประทานยา ฉีดยา หรือทายาตามแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจนกว่าจะรักษาจนหายขาด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลและหนอง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังการสัมผัสแผล หรือหนอง
กรณีมีแผลที่อวัยวะสืบพันธุ์แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังการขับถ่ายและอาบน้ำ
แนะนำเกี่ยวกับความสำคัญของการมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ รวมถึงอาการผิดปกติที่ต้องมาตรวจก่อนวันนัด
5.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการรักษาของสตรีตั้งครรภ์และสามีอย่างสม่ำเสมอ
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงการทำหัตถการทางช่องคลอด
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หากไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เตรียมผู้คลอดให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดนำทารกออกทางหน้าท้องทั้งทางร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
ระยะหลังคลอด
ให้การพยาบาลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการ
แพร่กระจายเชื้อเช่นเดียวกับระยะคลอด
แนะนำมารดาหลังคลอดเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดร่างกาย เครื่องใช้ส่วนตัว การกำจัดสิ่งปนเปื้อนสารคัดหลั่งอย่างถูกต้อง
ประเมินอาการติดเชื้อของทารกแรกเกิด ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ดูดนมไม่ดี ตัวเหลือง หากทารกสัมผัสกับเชื้อเริมควรแยกทารกออกจากทารกรายอื่น เพื่อ
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
แนะนำการเลี้ยงบุตร โดยล้างมือให้สะอาดก่อนจับทารกทุกครั้ง และหากไม่มีแผลบริเวณหัวนมหรือเต้านมสามารถให้นมมารดาได้
ดูแลให้มารดาหลังคลอดและทารกได้รับยาป้องกันการติดเชื้อตามแผนการรักษา
แนะนำและดูแลมารดาหลังคลอดปกติ หรือหลังการผ่าตัดคลอด เช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป และเน้นการกลับมาตรวจตามนัดหลังคลอด
การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์
(Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
สตรีตั้งครรภ์สามารถติดต่อผ่านทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และจากมารดาสู่ทารก
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
การติดเชื้อ HIV ระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรก โดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ HIV
การติดเชื้อ HIV ระหว่างคลอด การติดเชื้อในทารกเกิดขึ้นขณะคลอดหรือใกล้คลอด เนื่องจากระหว่างคลอดทารกจะสัมผัสกับเลือดของมารดา น้ำคร่ำ และสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดา ทำให้ทารกมีโอกาสที่จะติดเชื้อ HIV จากมารดาได้สูงในระยะคลอด
การติดเชื้อ HIV ระยะหลังคลอด ภายหลังคลอดทารกจะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา แต่ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากน้ำนมมารดา ในประเทศที่ยากจนที่มารดาไม่สามารถซื้อนมผสมมาเลี้ยงทารกได้ การให้นมมารดาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่ามารดาจะมีการติดเชื้อก็ตาม
พยาธิสรีรภาพ
ภายหลังการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อ HIV จะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อ HIV จับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากนั้นเชื้อ HIV จะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านั้น แล้วใช้ enzyme reverse transcriptase สร้าง viral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้ว เพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อไวรัส HIV
ทำให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จำนวนมาก ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV จะแตกสลายง่าย
ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง เกิดภาวะ seroconversion การติดเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ Pneumocystic Carinii Pneumonia (PCP) หรือ
วัณโรค ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ HIV
เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อ HIV จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
จะเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น
ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือมีฝ้าขาวในช่องปากเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปได้เอง บางรายอาจไม่มีอาการและอาการแสดงใด
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ระยะนี้ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV
สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการจะนาน 5-10 ปี บางรายอาจนานมากกว่า 15 ปี
ระยะติดเชื้อที่มีอาการ
พบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.80C เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่ง เป็นงูสวัด และพบเชื้อราในปากหรือฝ้าขาว
ระยะป่วยเป็นเอดส์
มีอาการดังต่อไปนี้ คือ ไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง
ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย ทำให้เกิดวัณโรคปอด ปอดอักเสบ สมองอักเสบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ ฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อทารก
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือสงสัยว่าจะติดเชื้อ ประวัติการใช้ยา เสพติดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
การตรวจร่างกาย โดยการตรวจร่างกายทั่วไป ซึ่งหากเป็นระยะที่แสดงอาการอาจพบว่ามีไข้ ไอ ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลในปาก มีฝ้าในปาก ติดเชื้อราในช่องคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเชื้อ HIV (HIV viral testing) เป็นการตรวจหาเชื้อ HIV หรือส่วนประกอบของเชื้อ
ตรวจหาโปรตีนชนิด p24 antigen หรือสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV ด้วยเทคนิค nucleic acid amplification testing (NAT) ซึ่งการตรวจวิธีนี้จะสามารถวินิจฉัยการติดเชื้อในช่วงเวลาที่ไม่สามารถตรวจพบ antibody ต่อเชื้อได้
การตรวจหา antibody ต่อเชื้อ HIV เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV หลักการที่ใช ้ ได้แก่ enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA), agglutination assay ถ้าผลเป็นบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ HIV ในร่างกาย
การตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณ viral load เพื่อใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรค
การตรวจพิเศษ การตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบแทรก
การป้องกันและการรักษา
การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV เพื่อลดปริมาณของเชื้อ HIV ในเลือดให้ต่ำที่สุด คือน้อยกว่า 50 copies/ml และเพิ่มปริมาณ CD4 ให้สูงที่สุด
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน ให้ยาต้านไวรัสทันทีเมื่อมาฝากครรภ์โดยไม่คำนึงถึงค่า CD4 ให้ยาต้านไวรัส 3 ตัว (HAART regimen) และรับประทานไปจนการคลอดสิ้นสุด
การหยุดยาหลังคลอด กรณีที่จำเป็นต้องหยุดยาหลังคลอดให้ปฏิบัติดังนี้ หากได้ยา LVP/r-based HAART ก่อนคลอดสามารถหยุดยาทุกชนิดพร้อมกันได้
การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ หาก CD4 < 200 cells/mm3 ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg) ให้กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง
พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอด และวิธีการคลอด
การพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอด
การคลอดทางช่องคลอดจะพิจารณาสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีปริมาณ viral load อยู่ในระดับต่ำ (50-999 copies/ml) สามารถรอให้เจ็บครรภ์คลอดเองได้จนถึงอายุครรภ์ 40-42 สัปดาห์
การพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอด พิจารณาปริมาณ viral load ต้อง ≤
50 copies/ml จึงจะไม่เสี่ยงต่อการถ่ายทอดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการโกนขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และหลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่ จะทำให้ได้รับบาดเจ็บ หรือทารกมีโอกาสสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากมารดา เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารก
การผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์ (scheduled cesarean delivery)
ทำให้รายที่มีข้อบ่งชี้ คือ อายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์ มีปริมาณ viral load ≥ 1,000 copies/mL รับประทานยาไม่ สม่ำเสมอ หรือมาฝากครรภ์ช้า ทำให้ได้รับยาต้านไวรัสน้อยกว่า 4 สัปดาห
สำหรับในกรณีที่เป็นการนัดมาผ่าตัดคลอดซ้ำ (previous cesarean delivery) และปริมาณ viral load ≤ 1,000 copies/mL การนัดผ่าตัดคลอดจะกำหนดตามข้อบ่งชี้ทั่วไป
การผ่าตัดคลอดกรณีฉุกเฉิน ในสตรีตั้งครรภที่มีปริมาณ viral load ≥ 1,000 copies/mLหรือไม่ทราบปริมาณ viral load ในระยะเจ็บครรภ์คลอด ควรทำในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางสูติกรรมที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดเท่านั้น
หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamine
หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผล
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV ทุกรายควรได้รับการดูแลรักษาโดยกุมารแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ยาต้านไวรัส และสามารถติดตามการได้รับยาอย่างต่อเนื่อง
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา โดยระยะเวลาที่ทารกจะติดเชื้อจากการได้รับนมมารดาส่วนใหญ่จะเกิดใน 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
คัดกรองสตรีตั้งครรภ์และสามีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยให้คำปรึกษาก่อนและหลังการตรวจเลือด โดยสตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV จำนวน 2 ครั้ง เมื่อผลตรวจเป็นลบ คือ เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห
ให้ข้อมูลแก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับการดำเนินของโรค ความแตกต่างระหว่างการติดเชื้อ HIV กับการเป็นเอดส์ โอกาสในการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาสู่ทารก ลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา
แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ รวมทั้งประเมินอาการของโรคเอดส์
ให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับหลักมาตรฐานในการควบคุมและป้องกันการ
แพร่กระจายเชื้อ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประเมินภาวะแทรกซ้อนจากการได้รัยยาต้านไวรัส
แนะนำการปฏิบัติตัวของสตรีตั้งครรภ์
รับประทานยาตามแผนการรักษา
รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับบุคคลที่ติดเชื้อ เนื่องจากหากสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อจะทำให้
ภูมิต้านทานลดลง
ประเมินระดับความวิตกกังวล ความกลัวของสตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ HIV และเปิดโอกาสให้ สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก
ให้การพยาบาลด้วยท่าทีที่ปราศจากความรังเกียจ ให้กำลังใจ และช่วยเหลือให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวสามารถเผชิญปัญหาและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
ระยะคลอด
ดูแลผู้คลอดโดยยึดหลัก universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ อธิบายให้ผู้คลอดที่ติดเชื้อ HIV ทราบถึงวิธีการแพร่กระจายเชื้อ และการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป
หากปริมาณ viral load ≤ 50 copies/mL แพทย์อาจพิจารณาเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อชักนำการคลอด ก่อนเจาะ ขณะเจาะ และหลังเจาะถุงน้ำคร่ำให้การพยาบาลเช่นเดียวกับผู้คลอดที่ไม่มีการติดเชื้อ
ทำคลอดด้วยวิธีที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้คลอดกและทารกน้อยที่สุด และหลีกเลี่ยงการใช้สูติศาสตร์หัตถการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ดูแลให้ผู้คลอดและทารกได้รับยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากมารดาไปสู่ทารก
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิด และรายงานกุมารแพทย์เพื่อ
เตรียมช่วยเหลือทารกที่มีภาวะแทรกซ้อน เมื่อศีรษะทารกคลอดออกมาควรดูดสิ่งคัดหลั่งออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ระยะหลังคลอด
ดูแลมารดาหลังคลอดโดยยึดหลัก universal precaution
ให้คำแนะนำแก่มารดาหลังคลอด เพื่อป้งอกันการแพร่กระจายเชื้อ
หลีกเลี่ยงเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ทารก
แนะนำให้ใส่เสื้อชั้นในที่คับเพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งน้ำนม
แนะนำวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น การกำจัดสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการนำทารกมาตรวจเลือด เพื่อประเมินการติดเชื้อ HIV และมารับภูมิคุ้มกันโรคตามปกติ มารดาที่ติดเชื้อ HIV จะต้องได้รับการตรวจ anti-HIV อีกครั้งเมื่ออายุ 18 เดือน เพื่อยืนยันประวัติการวินิจฉัย
แนะนำการวางแผนครอบครัว โดยสามารถใช้วิธีคุมกำเนิดได้ทุกวิธีโดยต้องใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยเสมอ
การใช้ห่วงอนามัยไม่เหมาะสำหรับรายที่ CD4 ต่ำ และ viral load ในเลือดสูง
เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบในอุ้งเชิงกราน
ไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าอสุจิ (spermicides) เพราะจะทำให้เยื่อบุปากมดลูก และช่องคลอดเกิดการระคายเคือง ทำให้เพิ่มปริมาณไวรัสในช่องคลอด เพิ่มโอกาสการถ่ายทอดเชื้อ
หากมีบุตรเพียงพอแล้ว แนะนำให้ทำหมันชายหรือหญิง
ในมารดาหลังคลอดที่ได้รับยาต้านไวรัส EFV และ LPV/r อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดลดลง ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีระดับ ethinyl estradiol (EE) ≥ 30 ไมโครกรัม และใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง