Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้อที่มาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1.การตกขาวผิดปกติ
1.1การตกขาวจากการติดเชื้อรา (Vulvovaginal candidiasis
)
ปัจจัยและปัจจัยเสี่ยง
1.การรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง
2.การได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์ และได้รับยากดภูมิต้านทาน
3.การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนมาก
4.การสวมใส่ชุดชั้นในที่แน่นเกินไป ทำให้เกิดความอับชื้น
5.การใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดช่องคลอด และปากช่องคลอดบ่อยๆ
6.การใส่แผ่นอนามัยโดยไม่เปลี่ยนระหว่างวัน หรือไม่สะอาด
อาการและอาการแสดง
1.ร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อราจะไม่มีอาการ
2.มีอาการคันและระคายเคืองมากในช่องคลอดและปากช่องคลอด
3.อาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ
4.มีอาการปัสสาวะลำยาก และแสบขัดตอนสุด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ เข้าใจสาเหตุของการติดเชื้อ และการดูแลตนเองให้มีอาการสุขสบาย
2.แนะนำการใช้ยา และยาเหน็บช่องคลอดตามแพทย์สั่ง
3.การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และทำความสะอาดชุดชั้นใน
4.หากอาการติดเชื้อเป็นซ้ำๆหรือสามีมีอาการแสดง ควรพาสามีให้มารักษาพร้อมกัน
ระยะคลอด
สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
1.ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนลดลง
2.การดูแลมารดาหลังคลอดเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
3.เน้นการดูแลความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้สะอาดและแห้งเสมอ
4.สามารถเลี้ยงดูบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยต้องล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
5.ทารกแรกเกิดอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก จะพบมีฝ้าขาวในช่องปาก
1.2 การตกขาวจากการติดเชื้อพยาธิ (Vaginal trichmoniasis)
อาการและอาการแสดง
1.ร้อยละ 10 ไม่แสดงอาการ ร้อยล 50 มักพบโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วย เช่น หนองใน หูดหงอนไก่
2.ลักษณะของตกขาวมีสีขาวปนเทา หรือสีเหลืองเขียว ตกขาวเป็นฟอง
3.มีอาการระคายเคืองที่ปากช่องคลอด ปากช่องคลอดบวมแดง
4.อาจมีการปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย ปวดแสบปวดร้อนบริเวณต้นขาด้านใน
5.เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
2.แนะนำการเหน็บยา หรือการรับประทานยาตามแผนการรักษาอย่างถูกต้อง
3.แนะนำให้สามีมารับการรักษาพร้อมกัน
4.แนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยางอนามัย
5.แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดเสมอ
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลผู้คลอดในระยะคลอด โดยให้คลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
1.ให้การพยาบาลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
2.แนะนำให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้ โดยล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสบุตร
3.หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์และดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเสมอ
4.การติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ต้องได้รับการรักาาทั้งสามีและภรรยาให้หายในช่วงที่มีอาการต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ และรักษาให้หาย
1.3การตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis)
อาการและอาการแสดง
มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนปากช่องคลอด ในช่องคลอด ถ่ายปัสสาวะลำบาก แสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ ตกขาวสีขาว สีเทา ข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนคาวปลา โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้คำแนะนำและการดูแลเหมือนสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป
2.รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
3.รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกไม่ให้อับชื้นโดยใช้น้ำธรรมดา
4.แนะนำให้พาสามีไปตรวจและรักษาโรคพร้อมกัน
5.แนะนำการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
6.หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องแข็งบ่อย มีเลือดออกทางช่องคลอด ให้รีบไปพบแพทย์
ระยะคลอด
สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติ
ระยะหลังคลอด
1.ให้การดูแลเหมือนมารดาหลังคลอดทั่วไป
2.สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้
3.เน้นการทำความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดและแห้งเสมอ
4.หากมีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที
2.ซิฟิลิส (Syphilis)
พยาธิสภาพ
ภายหลังได้รับเชื้อสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เป็นแผลถลอก ประมาณ 10-14 วัน ร่างกายจะสร้าง antibody ต่อเชื้อชนิด IgM และ IgG ขึ้นมา ขณะที่ร่างกายกำลังสร้าง antibody เชื้อจะแบ่งตัวทำให้บริเวณผิวหนังหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่เชื้อผ่านเข้าไปจะเกิดการระคายเคืองเกิดปฏิกิริยา lymphocyte และ plasma cell rection มาล้อมรอบเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและบวม เชื้อจะแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างผนังหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดอุดตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อที่มีอักเสบมีเลือดมาเลี้ยงลดลง เกิดการขาดเลือดกลายเป็นเนื้อตาย และกลายเป็นแผลที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง กดไม่เจ็บ ส่วนเชื้อที่เข้าสู่กระแสเลือดทำให้หลอดเลือดส่วนปลายเกิดการอักเสบส่งผลให้เกิดผื่นทั่วร่างกาย
อาการและอาการแสดง
แบ่งเป็น 3 ระยะ
1.ซิฟิลิสระยะแรก (primary stage
) หลังได้รับเชื้อ 10-90 วัน จะเกิดแผล กลม นิ่ม ขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ เรียกว่า แผลchancre จะอยู่นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ จากนั้นจะหายได้เอง
2.ซิฟิลิสระยะที่สอง (secondary stage)
หลังจากแผลหายจะพบผื่นกระจายทั่วร่างกาย ฝ่ามือฝ่าเท้า เยื่อบุรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ โดยผื่นที่พบจะยกนูนร่วมกับอาการมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดศีรษะ จะหายได้เองแม้ไม่ได้รักษา จากนั้นประมาณ 3-12 สัปดา์จะเข้าสู่ระยะแฝง
3.ซิฟิลิสระยะที่สาม (tertiary syphilis)
เชื้อจะเข้าไปทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิด aortic aneursym และ aortic insufficiency ถ้าเข้าสู่ระบบประสาทจะเกิดผิวหนังอักเสบ กระดูกผุ และเสียชีวิตในที่สุด เกิดรอยโรคที่อวัยวะภายในและกระดูกที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า gumma lesion
แนวทางการรักษา
1.การรักษาเดียวกับสตรีที่ติดเชื้อขณะไม่ตั้งครรภ์ ยึกหลักการรักษาให้หายครบถ้วน
2.ให้ยา Penicillin G
3.การรักษาในแต่ละระยะรักษาด้วย Benzathine Pennicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต
4.การรักษาในระยะ late latent syphilis จะรักษาด้วย Benzathine Pennicillin G Sodium 2.4 ล้านยูนิต ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก 3 สัปดาห์ต่อกัน
3.หนองใน (Gonorrhea)
พยาธิสภาพ
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปเกาะติดกับเซลล์เยื่อบุและเซลล์ขับเมือก โดยจะพยายามผ่านเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเข้าไปเพิ่มจำนวนเซลล์ในชั้น subepithelial tissue จากนั้นเชื้อจะทำปฏิกิริยากับภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เนื้อเยื่ออักเสบเป็นหนอง ตำแหน่งที่พบ คือ เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ถ้าเข้าสู่เชิงกรานจะไปทำลายถุงน้ำคร่ำทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด หากเข้าสู่ช่องท้องจะทำให้ช่องท้องอักเสบ ตับอักเสบ หากเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด
อาการและอาการแสดง
ทำให้ตกขาวเป็นหนองข้นปริมาณมาก อาจพบอาการกดเจ็บบริเวณต่อมบาร์โธลิน หากมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะพบปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย เป็นหนองข้น ปัสสาวะเป็นเลือด
แนวทางการรักษา
1.ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์ตามปกติ
2.หากพว่ามีเชื้อให้ยา ceftriaxone, azithromycin ได้ทั้งรับประทานและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
3.ทารกแรกเกิดทุกรายควรได้รับยาป้ายตาหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา
4.ทารกที่พบว่ามีการติดเชื้อหนองในควรได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
5.การรักษาในสตรีตั้งครรภ์ควรคำนึงว่ามีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่
4.การติดเชื้อเริม (Herpes simplex)
พยาธิสภาพ
หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ผิวหนังเป็นตุ่มน้ำใส เล็กๆ จำนวนมาก เมื่อตุ่มน้ำแตก หนังกำพร้าจะหลุดพร้อมกับทำให้เกิดแผลตื้น ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผล ขณะเดียวกันเชื้อก็จะเดินทางไปแฝงตัวที่ปมประสาท และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
อาการและอาการแสดง
เชื้อปฐมภูมิเกิด 3-7 วันหลังการสัมผัสเชื้อ โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและคันบริเวณที่สัมผัสโรค จากนั้นจะกลางเป็นตุ่มน้ำใสๆ แล้วแตกกลายเป็นแผลอยู่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะสะเก็ด ผู้ที่เคยติดเชื้อ HSV มักจะเกิดการติดเชื้อซ้ำเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ โดยจะมีอาการเหมือนกับการติดเชื้อปฐมภูมิ แต่อาการจะไม่ค่อยรุนแรง รอยโรคจะน้อยกว่า
แนวทางการรักษา
1.ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
2.ให้ Acyclovir 200 mg รับประทานนาน 5-7 วัน
3.การรักษาในระยะคลอด ดังนี้
3.1กรณีที่เคยติดเชื้อมาก่อน แต่ขณะคลอดตรวจไม่พบรอยโรคให้คลอดทางช่องคลอดและเฝ้าระวังทารก
3.2กรณีที่เคยพบรอยโรคขณะคลอดไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อครั้งแรก หรือติดเชื้อซ้ำ ให้คลอดโดยการผ่าตัดคลอด และเฝ้าระวังทารกเพื่อดูอาการของการติดเชื้อเริม
5.หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminate)
อาการและอาการแสดง
มีรอยโรคเป็นติ่งเนื้อสีชมพูคล้ายหงอนไก่ ขนาดแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณอับชื้น เช่น ปากช่องคลอด การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์รอยโรคจะขยายใหญ่ มีผิวขรุขระคล้ายดอกกะหล่ำและยุ่ยมาก
แนวทางการรักษา
1.ทาบริเวณรอยโรคด้วย 85% trichlorracetic acid ทุก 7-10 วัน
2.ให้ยาทาร่วมกับการจี้ laser
3.แนะนำการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการอับชื้นบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
4.ระยะคลอดหากหูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดติดขัด และการตกเลือดหลังคลอด
6.การติดเชื้อเอชไอวีในสตรีตั้งครรภ์ (Human Immunodeficiency Virus [HIV] during pregnancy)
การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ทารก
1.การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสสามารถผ่านทางรก โดยผ่านเซลล์ trophoblast และ macrophages เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ
2.การติดเชื้อระหว่างคลอด เกิดขึ้นขณะคลอดหรือใกล้คลอด เนื่องจากระหว่างคลอดทารกจะสัมผัสกับเลือดของมารดา น้ำคร่ำ และสารคัดหลั่งในช่องคลอดของมารดา
3.การติดเชื้อระยะหลังคลอด จะติดเชื้อได้จากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของมารดา ส่วนใหญ่จะติดเชื้อจากน้ำนมมารดา พบอัตราการติดเชื้อในทารกได้รับนมมารดาร้อยละ 7-12
พยาธิสภาพ
หลังการ่ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะใช้ส่วน GP120 ที่ผิวของเชื้อจับกับ CD4 receptor ของเซลล์เม็ดเลือดขาว จากนั้นเชื้อจะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านั้น แล้วใช้ enzyme reverse transcriptase สร้าง viral DNA แทรกเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้วเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่มีเชื้อไวรัสทำให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อจะแตกสลายง่าย ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง มีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต
อาการและอาการแสดง
1.ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่ติดเชื้อจนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้าง antibody กินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์ จากนั้นเริ่มมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยร่างกาย มีผื่นขึ้น บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก
2.ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ร่างกายจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แต่หากตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และ antibody ต่อเชื้อ HIV สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ จะนาน 5-10 ปี บางรายนานมากกว่า 15 ปี
3.ระยะติดเชื้อที่มีอาการ
อาจพบอย่างใดอย่างหนึ่ต่อไปนี้ ได้แก่ มีอุณภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.8 องศาเซลเซียส เป็นพักๆ หรือติดต่อกันทุกวัน ท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลดเกิน 10%ของน้ำหนักตัว
4.ระยะป่วยเป็นเอดส์
จะไข้ ผอม ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง ซีด อาจพบลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา แผลเริมเรื้อรัง ผิวหนังเป็นแผลพุพอง ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมเต็มที่ ทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกาย ทำให้เกิดวัณโรคปอด ปอดอักเสบ และอาจมีความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความจำไม่ดี หลงลืมง่าย ไม่สมาธิ ชักกระตุก เป็นต้น
การป้องกันและการรักษา
1.การให้ยาต้านไวรัสแก่สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ เพื่อลดปริมาณของเชื้อในเลือดให้ต่ำที่สุด คือน้อยกว่า 50 copies/ml และเพิ่มปริมาณ CD4 ให้สูงที่สุด โดยการรักษาจะให้ยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกัน
2.การให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสระหว่างตั้งครรภ์ ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส PCP โดยให้ยา TMP-SMX (80/400 mg) ให้กินครั้งละ 2 เม็ด ทุก 24 ชั่วโมง
3.พิจารณาระยะเวลาที่จะให้คลอด และวิธีการคลอด
4.หลังคลอดหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่ม ergotamine เช่น methergine เป็นต้น
5.หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะทารกโดยไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผล
6.หลีกเลี่ยงการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา โดยระยะเวลาที่ทารกจะติดเชื้อจากการได้รับนมมารดาส่วนใหญ่ใน 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
7.ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อทุกรายควรได้รับการดูแลรักษาโดยกุมารแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ยาต้านไวรัส