Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การติดเชื้ออื่น ๆ ขณะตั้งครรภ์
1.การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus: HAV)
อาการและอาการแสดง
ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และปวดศีรษะ แต่เมื่อใดที่ตรวจพบน้ำดีในปัสสาวะแสดงว่าตับมีการทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้มีอาการตับเหลือง ตาเหลือง ตรวจพบ alkaline phosphatase เพิ่มขึ้น อาการจะมีอยู่ 10-15 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ระยะพักฟื้น และหายจากการเป็นโรค
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
การตั้งครรภ์ไม่มีผลทำให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น หากมีการติดเชื้อ HAV ขณะตั้งครรภ์นั้น ร่างกายมารดาจะสร้าง antibody ต่อเชื้อ HAV ซึ่งสามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้ และมีผลคุ้มกันทารกไปจนถึงหลังคลอดประมาณ 6-9 เดือนจากนั้นจะหมดไป
การพยาบาล
1.อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรค การรักษา การดูแลตนเองที่เหมาะสม และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา
2.แนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว ดังนี้
2.1พักผ่อนอย่างเพียงพอ
2.2รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และย่อยง่าย ดื่มน้ำให้เพียงพอ
2.3มาตรวจตามนัด เพื่อประเมินสภาวะของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
2.44หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ ได้แก่ acetaminophen
2.การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus)
พยาธิสภาพ
แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
1.ระยะแรก
เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีอาการแสดงของการได้รับเชื้อและเอนไซม์ตับปกติ แต่ตรวจเลือดจะพบ HBeAg ให้ผลบวก และพบ Hepatitis B virus DNA จำนวนมาก
2.ระยะที่สอง
ประมาณ 2-3 เดือน หลังจากได้รับเชื้อจะเข้าสู่ระยะที่สองจะมีอาการอ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงจากตับโต ปัสสาวะเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้น
3.ระยะที่สาม
เป็นระยะที่ anti-HBe ทำลาย HBeAg จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL อาการตับอักเสบจะค่อยๆดีขึ้น ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน และเข้าสู่ระยะโรคสงบ
4.ระยะที่สี่
เป็นระยะที่เชื้อกลับมามีการแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดการอักเสบของตับขึ้นมาอีก หากตรวจเลือดจะพบ HBeAg ให้ผลลบ และ anti-HBe ให้ผลบวก ในระยะนี้ถ้า anti-HBe ไม่สามารถทำลาย HBeAg ได้จนเหลือน้อยกว่า 105 copies/mL จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนเนื้อตับเสียหาย
อาการและอาการแสดง
ไม่แตกต่างกับสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะฟักตัว 50-150 วัน ดังนั้นในระยะแรกผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอกาาร แต่ถ้ามีอาการจะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง คลำพบตับโต กดเจ็บ ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชาแก่ ๆ ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ไข้จะลดลง อาการทั่วไปจะดีขึ้นและส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติใน 2-4 สัปดาห์ มีบางส่วนที่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะตับวาย
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นพาหะของ Hepatitis B virus แต่ไม่มีอาการแสดงของตับอักเสบจะไม่เสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น แต่หากมีการติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกตายในครรภ์ ทารกที่คลอดออกมามีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ สตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAg เป็นบวก จะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อไวรัสจากสตรีตั้งครรภ์ไปสู่ทารกสูงถึงร้อยละ 90 และสามารถพัฒนาเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคต
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ตรวจคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกคนว่าเป็นพาหะของโรคหรือไม่ หากผลตรวพบเป็นบวก แสดงว่ามีการติดเชื้อและอยู่ในระยะที่มีอาการ ควรแนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อยง่าย ให้พลังงานสูง
2.ให้คำแนะนำแก่สตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับสาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การดำเนินของโรค แผนการักษาพยาบาลที่จะให้แก่สตรีตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด
3.อธิบายแก่สตรีตั้งครรภ์เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัด เพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และแนะนำการสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ หากพบต้องรีบมาโรงพยาบาลทันที
4.ในรายที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง แนะนำการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน
ระยะคลอด
1.ให้ผู้คลอดนอนพักบนเตียงและให้การดูแลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป ประเมินการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ ติดตามความก้าวหน้าของการคลอด
2.หลีกเลี่ยงการเจาะถุงน้ำคร่ำ และการตรวจทางช่องคลอดเพื่อป้องกันถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการคลอด
3.เมื่อศีรษะทารกคลอด ดูดมูก เลือดและสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ออกจาปากและจมูกของทารกให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการทำให้เกิดรอยถลอก
4.ทำความสะอาดทารกทันทีที่คลอด เพื่อลดการสัมผัสกับเชื้อที่อยู่ในเลือดและสารคัดหลั่ง
5.ดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันภายหลังคลอด โดยฉีด HBIG ให้เร็วที่สุดหลังเกิด และให้ HBV 3 ครั้ง
6.ให้การดูแลผู้คลอดโดยยึดหลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อย่างเคร่งครัด
ระยะหลังคลอด
1.ไม่จำเป็นต้องงดให้นมมารดาแก่ทารก แต่หากมารดาหลังคลอดมีหัวนมแตกและมีการอักเสบติดเชื้อของหัวนม แนะนำให้งดให้บุตรดูดนม
2.แนะนำการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป โดยเน้นการรักษาความสะอาดของร่างกาย การป้องกันการปนเปื้อนของเลือดหรือน้ำคาวปลา
3.แนะนำให้นำทารกมารับวัคซีน เพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และนำบุตรมาตรวจตามนัด
3.หัดเยอรมัน (Rubella/German measles)
พยาธิสภาพ
1.กลุ่มไม่มีอาการทางคลินิก โดยกลุ่มนี้จะตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเยอรมันอย่างเดียว และจะกลายเป็นพาหะของโรคต่อไป
2.กลุ่มที่มีอาการทางคลินิก คือ มีผื่นที่ใบหน้า ลามไปที่ลำตัวและแขนขา ลักษณะของผื่นจะเป็นตุ่ม เกิดได้ตั้งแต่วันที่ 7-10 หลังได้รับเชื้อ และจะคงอยู่ 4 สัปดาห์ อาจมีปวดข้อม ปวดเข่า พบต่อมน้ำเหลืองโต ทั้งสองกลุ่มสามารถทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อได้
อาการและอาการแสดง
ได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร ตาแดง ไอ เจ็บคอ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหูโต อาจมีปวดข้อ ไข้จะเป็นอยู่ 1-2 วันก็จะหายไป หลังนั้นจะมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีแดง มองเห็นเป็นปื้นหรือจุดกระจัดกระจาย โดยจะเริ่มขึ้นที่ใบหน้าจากนั้นจะแผ่กระจายลงตามหน้าอก ลำตัว แขนขา จนทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว อาการจะชัดเจนวันที่ 7-10 และคงอยู่ 4 สัปดาห์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีต้งครรภ์
การติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ไม่ทำให้อาการของรุนแรงขึ้น และไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น จึงไม่เกิดผลกระทบต่อมารดา
ผลกระทบต่อทารก
1.ความผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น ตับม้ามโต โลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
2.ความผิดปกติถาวร ได้แก่ หูหนวก หัวใจพิการ ตาบอด ปัญญาอ่อน
3.ความผิดปกติที่ไม่พบขณะแรกเกิด แต่ปรากฎภายหลัง เช่น ภาวะเบาหวาน โรคต่อมไทยรอยด์ สูญเสียการได้ยิน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
การพยาบาล
1.ให้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อนเยอรมันแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนโดยก่อนฉีดจะต้องแน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ หลังจากให้วัคซีต้องคุมกำเนิดต่อไป 3 เดือน
2.ในสตรีที่มาฝากครรภ์ควรตรวจดูว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ หากยังไม่มีแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าชุมชนในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นพาหะของเชื้อ
3.แนะนำให้มาฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และมารับการตรวจที่โรงพยาบาลทันทีที่ส่งสัยว่ามีการติดเชื้อ
4.ประเมินสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์เกี่ยวกับการได้รับภูมิคุ้มกันโรคหัดเยอรมัน การสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค
5.เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับผลของการติดเชื้อต่อสุขภาพของตนแลทารก
6.อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับการตวรจ การดำเนินของโรค ผลของโรคต่อการตั้งครรภ์และต่อทารกในครรภ์ และการรักษาพยาบาล
7.กรณีที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการทำแท้ง
8.รายที่ตัดสินใจดำเนินการตั้งครรภ์ต่อ และคลอดทารกที่มีความพิการ ดูแลด้านจิตใจของมารดาและครอบครัว
9.สตรีที่ไม่มีภูมิคุ้มกันหรือไม่เคยฉีดวัคซีน ควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหัดเยอรมันหลังคลอดทุกราย
4.สุกใส (Varicella-zoster virus: VZV)
พยาธิสภาพ
เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ เชื้อมีระยะฟักตัวนาน 10-20 วัน ในกรณีที่โรคเกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอด เรียกว่า congenital varicella syndrome เกิดจากการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยมารดาติดเชื้อไวรัสสุกใสขณะตั้งครรภ์ มีผลต่อความพิการของทารกในครรภ์
อาการและอาการแสดง
จะมีไข้ต่ำ ๆ นำมาก่อนประมาณ 1-2 วัน แล้วค่อยมีผื่นขึ้น ลักษณะของผื่น และตุ่ม มักจะขึ้นตามไรผม จะเห็นเป็นตุ่มน้ำใสๆ บนฐานสีแดง เหมือนยาดน้ำค้างบนกลีบกุหลาย แล้วค่อยลามไปบริเวณหน้าลำตัว และแผ่นหลัง มีอาการปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วยคล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ บางคนอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอ และหลังหูโตขึ้น จนคลำได้ก้อนกดเจ็บ บางรายอาจจะมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน โดยตุ่มจะทยอยขึ้นเต็มที่ใน 4 วัน หลังจากนั้นจะพัฒนาไปเป็นตุ่มหนอง
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การติดเชื้อในผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็ก โดยเฉพาะในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งมีภาวะภูมิคุ้มกันที่ลดลงจากการตั้งครรภ์ พบว่าความรุนแรงของการติดเชื้อสุกใสมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะอายุครรภ์ใกล้ครบกำหนดคลอดจะยิ่งอันตราย ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 40 จะมีปัญหาภาวะปอดอักเสบ หรือปอดบวม ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว ทำให้ซึมลง และมีอาการชัก
ผลกระทบต่อทารก
1.การติดเชื้อในครรภ์ โดยทารกในครรภ์มีโอกาสติดได้ร้อยละ 10 เท่า ๆ กันทุกไตรมาส โดยเฉพาะในไตรมาสแรก อาจทำให้ทารกเกิดความพิการก่อนกำเนิดได้ เช่น ความผิดปกติของตา สมอง แขนขาลีบเล็ก
2.การติดเชื้อปริกำเนิด อาจติดเชื้อผ่านทางมดลูก และช่องทางคลอด โดยมีความเสี่ยงสูงในรายที่สตรีตั้งครรภ์มีการติดเชื้อสุกใสในระยก่อนกำคลอด 5 วัน และหลังคลอด 2 วัน เนื่องจากหากเป็นโรคก่อนคลอด 5 วัน จะยังไม่มีภูมิคุ้มกันในมารดามากพอที่จะส่งไปช่วยป้องกันในทารก
การพยาบาล
ระยะก่อนตั้งครรภ์
แนะนำให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ที่วางแผนตั้งครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันสุกใสก่อนการตั้งครรภ์ โดยหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนในระยะตั้งครรภ์ หรือการเว้นระยะการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนหลงการฉีดวัคซีน
ระยะตั้งครรภ์
1.แนะนำให้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซีสูง รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
2.ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยอธิบายให้สตรีตั้งครภ์เข้าใจถึงภาวะของโรค การแพร่กระจายเชื้อและการปฏิบัติตน
3.เปิดโอกาสให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวได้ระบายความรู้สึก เพื่อลดความวิตกกังวลของสตรีตั้งครรภ์และครอบครัว
ระยะหลังคลอด
1.กรณีที่มารดามีอาการ ให้แยกทารกแรกเกิดจากมารดาในระยะ 5 วันแรกหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากมารดา
2.ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค โดยการใช้หลัก universal precaution ในการสัมผัสน้ำคาวปลา แนะนำให้แยกของใช้สำหรับมารดา และทารก
3.กรณีพ้นระยะการติดต่อ หรือมารดามีการตกสะเก็ดแล้ว สามารถแนะนำเกี่ยวกับการให้นมมารดาได้
4.แนะนำการรับประทานอาหารโปรตีนและวิตามินสูง พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5.ดูแลให้ทารกรับวัคซีน VariZiG แก่ทารกแรกเกิดทันที หากมารดามีการติดเชื้อในช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 วันหลังคลอด
6.เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด และมาพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
5.โรคติดเชื้อไซโทเมกะโรไวรัส (Cytomegalovirus: CMV)
พยาธิสภาพ
เชื้อติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ ทารกได้รับเชื้อจากมารดาในครรภ์ ในระยะคลอด ในระยะให้นม การถ่ายเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ เพศสัมพันธ์ และทางการสัมผัส พบได้จากสารคัดหลั่งหลายชนิด เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากปากมดลูก น้ำนม น้ำตา อุจจาระ และเลือด พบการติดเชื้อครั้งแรกที่ประเทศบราซิล และจากนั้นเชื้อก็แพร่กระจายไปในหมู่ประชากรทั่วโลก ส่วนใหญ่มักจะได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยไม่มีอาการของโรค นอกจากบางกลุ่มอาจเป็นโรค Mononucleosis ซึ่งมีอาการไข้สูงเป็นเวลานาน มีตับอักเสบเล็กน้อย การติดเชื้อไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะก่อโรคที่รุนแรงในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ การติดเชื้อในทารกในครรภ์
อาการและอาการแสดง
คือ ไข้สูงนาน ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการปอดบวม ตับอักเสบ และอาการทางสมอง การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์เป็นการติดเชื้อในครรภ์ตรวจได้จากปัสสาวะใน 2 สัปดาห์หลังคลอด อาการในเด็กทารกมีตั้งแต่อาการอย่างอ่อน ถึงอาการรุนแรงทางสมองและระบบประสาท
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง หากไวรัสแฝงตัวอยู่ มีการติดเชื้อซ้ำ หรือติดเชื้อใหม่ในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้การดำเนินของโรครุนแรงมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการแท้ง มีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อภาวะ IUGR แท้ง fetal distress คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกเสียชีวิตในครรภ์ และตายคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ซักประวัติ เพื่อคัดกรองสตรีตั้งครรภ์ทุกรายเกี่ยวกับการเจ็บป่วยติดเชื้อในอดีต
2.อธิบายสตรีตั้งครรภ์และครอบครัวทราบเกี่ยวกับโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง การดำเนินของโรค ผลกระทบ และแผนการรักษา
3.แนะนำและเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เช่น การงดมีเพศสัมพันธ์
ระยะคลอด
1.ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precation เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ในขณะรอคลอด และขณะคลอด ควรแยกห้องคลอด และอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ
2.ขณะคลอดควรดูดเมือกออกจากปากและจมูกทารกโดยเร็ว
ระยะหลังคลอด
1.ให้การดูแลในระยะหลังคลอดเหมือนมารดาทั่วไป โดยเน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
2.งดให้นมมารดา หากมารดาหลังคลอดมีการติดเชื้อ
3.แนะนำการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นย้ำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดและความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
4.แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติของทารกที่ต้องรีบมาพบแพทย์
6.การติดเชื้อโปรโตซัว (Toxoplasmosis)
อาการและอาการแสดง
มักไม่ค่อยแสดงอาการ จะมีอาการน้อยมาก คือ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ แต่อาจมีกลุ่มอาการของ Mononucleosis รายที่รุนแรงจะมีพยาธิที่สมอง Chorietinitis ปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรรตั้งครรภ์
การแท้ง คลอดก่อนกำหนด ถุงน้ำคร่ำและเยื่อหุ้มทารกอักเสบ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ผลกระทบต่อทารก
ทารกติดเชื้อในครรภ์ กรณีที่ทารกมีการติดเชื้อแต่กำเนิดทารกแรกเกิดจะมีลักษณะสำคัญ คือ ไข้ ชัก ทารกหัวบาตร ทารกมักเสียชีวิตหลังคลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค เปิดโอกาสให้ซักถาม และให้กำลังใจ
2.ติดตามผลการตรวจเลือด
3.เน้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง การรับประทานยา และการสังเกตอาการข้างเคียงของยา
4.แนะนำเกี่ยวกับการสัมผัสเชื้อ
ระยะคลอด
1.ให้การดูแลในระยะคลอดเหมือนผู้คลอดทั่วไป เน้นหลัก Universal precaution เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
2.ภายหลังทารกคลอดเช็ดตาด้วย 0.9%NSS เช็คตาทันที จากนั้นป้ายตาด้วย 1% tetracycline ointment
ระยะหลังคลอด
1.เฝ้าระวังการตกเลือดและการติดเชื้อหลังคลอด
2.แนะนำการปฏิบัติตนหลังคลอด เน้นเรื่องการรักษาความสะอาด การมาตรวจตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติของทารก
7.การติดเชื้อไวรัสซิก้า (Zika)
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัวอยู่ที่ 3-12 วัน มักมีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยจะมีอาการไม่รุนแรง และจะมีอาการอยู่ 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ไม่รุนแรงเท่าโรคไข้เลือดออก ส่วนน้อยที่มีภาวะแทรกซ้อยทางระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
แสดงอาการมากในไตรมาสที่ 3 อาการที่พบคือ มีผื่นขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ผื่นหลังคลอด อาการอื่น ๆ คือ ไข้ หนาวสั่น ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงตัว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ต่อมน้ำเหลืองโต ซีด บวม คลื่นไส้ อาเจียน และทางระบบทางเดินหายใจ
ผลกระทบต่อทารก
ทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ คือ ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ตาและการมองเห็น ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ทารกตายในครรภ์ และตายหลังคลอด
การพยาบาล
1.ให้คำแนะนำในการป้องกันสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อ อาการและอาการแสดง ความรุนแรงของโรค วิธีการปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าบุคคลในบ้านป่วยเป็นโรคโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์
2.การติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์ ให้การพยาบาลดังนี้
2.1อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินของโรค สาเหตุ อาการและอาการแสดง ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
2.2ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะอุณหภูมิ หากมีไข้ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ และไม่ควรรับประทานยากลุ่ม NSAID
2.3เตรียมสตรีตั้งครรภ์ เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ และติดตามผลเพื่อรายงานแพทย์
2.4ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยฟังเสียงหัวใจทารก การวัดระดับยอดมดลูก การส่งตรวจและติดตามผลการทำ NST
2.5เน้นย้ำการมาตรวจตามนัด เพื่อประเมินสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์
3.การดูแลในระยะคลอดให้การดูแลเหมือนผู้คลอดทั่วไป ยึดหลัก Universal precaution เมื่อทารกคลอด ให้รีบดูน้ำคร่ำและสารคัดหลั่งที่อยู่ในคอ ช่องปาก และจมูกออกมาให้สะอาด
4.ตรวจร่างกายทารกแรกเกิด ประเมินสภาพร่างกายทั่วไปโดยเฉพาะการวัดขนาดของศีรษะ
5.การดูแลมารดาหลังคลอดให้การดูแลเหมือนมารดาทั่วไป เน้นย้ำการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง แม่ที่พ้นระยะการติดเชื้อสามารถเลี้ยงนมมารดาได้
8.โรคโควิด-19 กับการตั้งครรภ์ (Covid-19 during Pregnancy)
อาการและอาการแสดง
ไม่แสดงอาการใด ๆ และมีอาการแสดงอุณหภูมิ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือให้ประวัติว่ามีไข้ในการป่วยครั้งนี้ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจติดขัด หรือหายใจลำบาก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้ครรภ์
ทำให้การดำเนินของโรครุนแรงขึ้น เนื่องจากภูมิต้านทานของร่างกายขณะตั้งครรภ์ลดต่ำลง เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด มีการติดเชื้อของเยื่อหุ้มเด็ก ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด รกเสื่อม
ผลกระทบต่อทารก
ทารกในครรภ์พัฒนาการล่าช้า คลอดน้ำหนักตัวน้อย คลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อโควิด-19 ของทารกแรกเกิดอาจตรวจพบการติดเชื้อได้ในทันทีหลังคลอด หรือตรวจพบภายใน 7 วันหลังคลอดได้
การพยาบาล
1.การดูแลและการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ดังนี้
1.1หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ สถานที่แออัด
1.2รักษาระยะห่าง ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น
1.3หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
1.4รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ
1.5หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
1.6ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม
1.7สตรีตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอดทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ หากมีอาการป่วยเล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
2.การดูแลสตรีตั้งครรภ์ มารดาหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติการเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ปฏิบัติดังนี้
2.1แยกตนเองออกจากครอบครัว และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน
2.2งดการออกไปในที่สาธารณะโดยไม่จำเป็น และงดการพูดคุยหรือใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
2.3กรณีครบกำหนดนัดฝากครรภ์ ต้องแจ้งพยาบาลผดุงครรภ์ให้ทราบว่าตนอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วัน
2.4กรณีเจ็บคครรภ์คลอด ต้องไปโรงพยาบาลทันที
3.การดูแลทารกแรกเกิด ในกรณีมารดาเป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อและติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่มีหลักฐานการติดต่อผ่านทางรกหรือทางน้ำนม ทารกที่เกิดจากแม่ติดเชื้อจัดเป็นผู้มีความเสี่ยง จะต้องมีการแยกตัวออกจากผู้อื่น และต้องสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน
4.แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำนม จึงสามารถกินนมแม่ได้ โดยปฏิบัติตามแนวทางป้องกันอย่างเคร่งครัด
5.ข้อแนะนำการปฏิบัติสำหรับมารดาหลังคลอด ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อหรือมารดาที่ติดเชื้อ และมีสภาพร่างกายพร้อมที่จะปั๊มนมได้ ดังนี้
5.1ก่อนเริ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
5.2อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบู่
5.3ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที
5.4สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
5.5หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมที่เกี่ยวกับกับการเตรียมนมและการปั๊มนม
5.6ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ เช่น ที่ปั๊มนม ขวดนม ด้วยน้ำยาล้างอุปกรณ์ และนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ