Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การติดเชื้อระบบขับถ่ายปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ (Urinary system Infection…
การติดเชื้อระบบขับถ่ายปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์
(Urinary system Infection during pregnancy)
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะในขณะตั้งครรภ์
มีการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคที่สำคัญของระบบทางเดินปัสสาวะ ตั้งแต่ภายในกรวยไตจนถึงท่อไต จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากโดยเฉพาะด้านขวา ร่วมกับการถูกกดทับของมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีการคั่งของน้ำปัสสาวะในไต ท่อไต ค้างอยู่นาน ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ และมีการย้อนกลับของเชื้อเข้าสู่ไต ทำให้เกิดภาวะ pyelonephritis ตามมา
มีการเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่ของไต และเพิ่มหน้าที่การกรองของไตขึ้นประมาณร้อยล 45 ทำให้ระดับ creatinine และ BUN ในเลือดลดต่ำลง ส่วนหน้าที่ของ tubule ในการดูดซึมกลับของโซเดียม กรดอมิโนส่วนใหญ่
วิตามินชนิดที่ละลายน้ำได้ และกลูโคสสูงขึ้น เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของภาวะกรด-ด่าง ทำให้ความเข้มข้นของสารต่างๆ เหล่านี้ในปัสสาวะลดลง การดูดซึมกลับของโปรตีนน้อยมาก ทำให้ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ หากตรวจพบว่าค่าของโปรตีนในปัสสาวะมีมากกว่า 300 มิลลิกรัมใน 24 ชั่วโมง ถือว่า ผิดปกติ
ชนิดของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบขับถ่ายปัสสาวะขณะตั้งครรภ์
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแต่ไม่แสดงอาการ (Asymptomatic bacteriuria: ASB)
ตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะมากกว่า 105 colony forming unit/ml (cfu/ml) จากการเก็บปัสสาวะอย่างสะอาด 2 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อ
เกิด ASB ในสตรีตั้งครรภ์ประมาณร้อยละ 3 - 13จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากขณะตั้งครรภ์จะมีการยืดขยายของทางเดินปัสสาวะ เชื้อโรคอาจแพร่กระจายไปยังกรวยไตทำให้เกิดกรวยไตอักเสบได้ ถ้าไม่ได้กรับการรักษาจะพัฒนาเป็น กรวยไตอักเสบ (pyelonephritis)
เมื่อพบ ASB ในสตรีที่ไม่ตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
การติดเชื้อเฉียบพลันที่กระเพาะปัสสาวะ (Acute cystitis)
การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ร่วมกับมีอาการเจ็บปวดขณะถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะจนต้องรีบปัสสาะ (urgency) ปัสสาวะมีสีขุ่นหรือสีแดง มีไข้สูง อ่อนเพลีย และปวดบริเวณท้องน้อย
พบอุบัติการณ์การเกิด acute cystitis ในสตรีตั้งครรภ์พบได้ร้อยละ 1-4
หากเคยมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแบบไม่แสดงอาการมาก่อนจะมีโอกาสที่จะพัฒนากลายเป็นการ ติดเชื้อเฉียบพลันที่กระเพาะปัสสาวะได้ถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน
การติดเชื้อเฉียบพลันที่กรวยไต (Acute pyelonephritis)
ตรวจพบแบคทีเรียในปัสสาวะ มากกว่า 105 cfu/ml ร่วมกับปัสสาวะเป็นหนอง มีไข้ หนาวสั่น และปวดบริเวณบั้นเอว
พบประมาณร้อยละ 1-4 ของการตั้งครรภ์
หากเคยมีประวัติการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะชนิด ไม่แสดงอาการมาก่อน อุบัติการณ์จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13-40
กลุ่มอาการโรคไตรั่ว หรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (Nephrotic syndrome)
พบโปรตีนในปัสสาวะมากประมาณ 5 กรัมต่อวัน โปรตีนในเลือดต่ำ ไขมันในเลือดสูง
บวมโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทำให้ทารกในครรภ์น้ำหนักน้อย
คลอดก่อนกำหนด
ภาวะไตวาย (renal failure)
ไตวายเรื้อรัง (chronic renal failure)
สาเหตุมาจากโรคหลายอย่าง เช่น DM, SLE, glomerulonephritis
หากตั้งครรภ์ได้ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์เลวลงอาจพิจารณายุติการตั้งครรภ์
ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure)
สาเหตุจากการแท้งติดเชื้อ (septic abortion), preeclampsia with severe feature, hemolytic uremia syndrome
มารดาที่มีภาวะนี้ได้รับการดูแลและสามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้
สาเหตุและปัจจัยส่งเสริม
เกิดจากการติดเชื้อ Escherichia Coli (E. Coli) ที่อยู่รอบท่อปัสสาวะ
ปัจจัยส่งเสริม คือ การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขณะตั้งครรภ์ทำให้ท่อไตตึงตัว
ทำให้การเคลื่อนไหวและการหดรัดตัวของท่อไตลดลง ประสิทธิภาพในการดูดซึมกลับลดลง
ทำให้ปัสสาวะค้างอยู่ในทางเดินปัสสาวะ ะจากการที่มดลูกมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นและกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้รูเปิดของหลอดไตที่กระเพาะปัสสาวะเกิดการบิดงอ ขับปัสสาวะออกไม่สะดวก ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะและกรวยไตอักเสบเฉียบพลันตามมา
พยาธิสรีรวิทยา
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณปากช่องคลอด หรือทวารหนักใกล้ท่อปัสสาวะ ย้อนกลับขึ้นไป
(ascending infection) ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของ ระบบทางเดินปัสสาวะขณะตั้งครรภ์
จากผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และการขยายตัวของขนาดมดลูก เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะ
ตั้งครรภ์ของไต
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower UTI)
อาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด กระปิดกระปรอย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ บางรายอาจพบปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ ปวดบริเวณ
หัวหน่าว
อาการและอาการแสดงติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน (Upper UTI)
พบปัสสาวะเป็นสีขุ่น หรือสีน้ำล้างเนื้อ เจ็บบริเวณชายโครง ปวดหลังบริเวณตำแหน่งของไต มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน หากอาการรุนแรงอาจมีอาการของการติดเชื้อในกระแสเลือด และหากไม่ได้รับการรักษาอาจช็อกและเสียชีวิต
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
เกิดการแท้ง
การเจ็บครรภ์
คลอดก่อนกำหนด
ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ผลต่อทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกน้ำหนักตัวน้อย
ทารกตายคลอด
การประเมินและวินิจฉัย
การซักประวัติ ซักประวัติเกี่ยวกับการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ ซักประวัติอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์
การตรวจร่างกาย จะตรวจพบปัสสาวะขุ่น หรือพบปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ มีไข้ ปวดบริเวณท้องน้อยเหนือหัวหน่าว หากกดบริเวณ costovertebral angle จะปวดมาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจ urine analysis จะพบไข่ขาว เม็ดเลือดขาย ตรวจ urine culture จะพบเชื้อแบคทีเรียมากกว่า 105 dfu/ml รายที่มีการติดเชื้อที่กรวยไต ควรตรวจ urine culture เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกทุกรายและตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์
แนวทางการป้องกันและรักษา
การป้องกัน
แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งหลังขับถ่าย
แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
ทำการคัดกรองการติดเชื้อตั้งแต่ต้น โดยตรวจเพาะเชื้อปัสสาวะ (urine culture) ในสตรีที่มาฝากครรภ์ครั้งแรกทุกรายหรือทำเฉพาะในรายที่มีความเสี่ยง
การรักษา
รายที่มีการติดเชื้อแบบ ASB จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาทุกราย ป้องกันการเกิด upper UTI โ ดยให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ampicillin, cephalexin, amoxicillin และ nitrofurantoin หลังจากได้รับการรักษา 7 วัน ควรตรวจ urine culture เพื่อตรวจหาเชื้อโรคซ้ำ จากนั้นตรวจทุกเดือนจนกระทั่งคลอด ถ้ายังตรวจพบเชื้ออาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อในระยะยาว
รายที่มีการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะที่มีความไวต่อเชื้อและ
ปลอดภัยต่อมารดาและทารกมากที่สุด
รายที่เป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ และให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ ส่งตรวจ Urine culture เมื่อตรวจไม่พบเชื้อใน
ปัสสาวะจึงเปลี่ยนมาเป็นยาชนิดรับประทานและติดตามผลการตรวจเพาะเชื้อเป็นระยะไปจน ถึงหลัง
คลอด
การพยาบาล
ระยะตั้งครรภ์
1.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินของโรค ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสตรีตั้งครรภ์และ
ทารก และแผนการรักษาพยาบาล
2.เน้นความสำคัญของการมาตรวจครรภ์ตามนัดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
3.แนะนำการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
พักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยแนะนำให้นอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับท่อไต
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2,000-3,000 มิลลิลิตร และไม่กลั้นปัสสาวะ
4.กรณีที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและได้รับการรักษา ติดตามการเปลี่ยนแปลงของโรค รวมทั้งสังเกตอาการผิดปกติ
กรณีที่ต้องรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ให้การพยาบาลดังนี้
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์เข้าในถึงความจำเป็นในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
ดูแลให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แนะนำให้นอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกกดทับท่อไต
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อในร่างกาย
ประเมินเสียงหัวใจของทารกและการดิ้นของทารก
สังเกตและบันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย และติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินการทำงานของไต
7.ให้การพยาบาลเพื่อบรรเทาความไม่สุขสบาย
6.ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ยาปฏิชีวนะ ยาลดไข้ ยากลุ่มสเตียรอยด์
8.ดูแลประคับประคองจิตใจ ในรายที่มีอาการรุนแรง
ระยะคลอด
ให้การพยาบาลเช่นเดียวกับผู้คลอดทั่วไป และเน้นเรื่องการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกทุกครั้งหลังการขับถ่ายสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ และในกรณีที่คลอดก่อนกำหนดเตรียมอุปกรณ์ในการช่วยเหลือทารกแรกเกิดให้พร้อม
ระยะหลังคลอด
การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ให้คำแนะนำเช่นเดียวกับคำแนะนำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ เน้นการคุมกำเนิด ในรายที่มีบุตรเพียงพอแล้วหรือเป็นโรคไตติดเรื้อรังควรคุมกำเนิดแบบถาวร เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้โรครุนแรงมากขึ้น และเป็นอันตรายต่อชีวิตของมารดา