Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อน ทางนริเวชกรรมและศัลยก…
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์
ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อน
ทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม :
:explode:ภาวะลำไส้อุดกั้น:explode:
(Bowel obstruction)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
เกี่ยวกับอาการและอาการแสดง
เช่น อาการปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ ประวัติท้องผูก
คลื่นไส้และอาเจียน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
เช่น WBC, electrolyte, X-Ray, MRI
การตรวจร่างกาย
มีอาการปวดเมื่อคลำทางหน้าท้อง
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะ
ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์
ให้ออกซิเจน 4 lit/min
พิจารณาการผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศ
แต่ภายหลังการทำอาจพบว่า เกิดภาวะพังผืดในช่องท้อง
ซึ่งนำไปสู่การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องได้ในภายหลัง
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ดูแลภาวะท้องผูก ภายหลังการผ่าตัด
ใส่สาย Nasogastric tube เพื่อการระบาย gastric content
ติดตามการเกิดซ้ำของภาวะลำไส้อุดกั้นได้อีกในไตรมาสที่สาม
NPO
ติดตามและป้องกันภาวะลำไส้ตายภายหลังการผ่าตัด
อาการและอาการแสดง
ปวดเกร็งแน่นท้อง
อาเจียน
ท้องผูก (constipation) ถ่ายยาก ถ่ายลำบาก ถ่ายไม่ออก
ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพักๆ
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การอักเสบและติดเชื้อ มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
ภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเล็กโตรลัยท์
ปัญหาเกี่ยวกับไต ภาวะปริมาตรเลือดต่ำ
จากการเสียเลือด ช็อกและเสียชีวิต
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด
คลอดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
พยาธิสภาพ
ภาวะลำไส้อุดกั้นจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 20-25 สัปดาห์
และมักแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ สามเนื่องจากการขยายของมดลูกจะมีผลต่อลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่โดยตรง
การอุดกั้นจะมีผลต่อการ ทำงานและการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ที่ลดลง การไหลเวียนเลือดในร่างกายจะเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ สารอาหารในหลอดเลือดลดลง
ลำไส้ที่มีการอุดกั้นจะบวม และมีการแข็งของเศษอาหารและอุจจาระ ในส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามการบีบตัว
ของลำไส้ ทำให้มีการตีบของลำไส้ การบีบตัวของลำไส้อาจเพิ่มขึ้นได้กรณีที่มีการบีบตัวของอาหารย้อนกลับและพบมีการบวมตามร่างกายเนื่องจาก ภาวะไม่สมดุลของสารน้ำ
และอิเลคโตรลัยท์ร่วมกับมีการอักเสบของลำไส้
เกิดจากการอุดตันของลำไส้จากพังผืด (adhesions)
การบิดของลำไส้ (volvulus) การตีบ ก้อน เนื้องอก
หรือไส้เลื่อน โดยร้อยละ 77 ของสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะลำไส้
อุดกั้นมีประวัติการผ่าตัดในช่อง ท้อง อุ้งเชิงกรานและ
การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องหรือมีประวัติ
การอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
:star:ไส้ติ่งอักเสบ:star:
(appendicitis)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และคลอดก่อนกำหนด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูง
การตรวจพิเศษ
เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การตรวจ CT scan
การซักประวัติ
ตรวจร่างกายจากอาการและอาการแสดง
เช่น อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
อาการปวด หรือท้องเสีย ท้องแข็ง มีไข้
อาจมีการหดรัดตัวของมดลูก
อาการและอาการแสดง
คลื่นไส้ อาเจียน
อาการปวดอาจจะเพียงเล็กน้อยหรือมากก็ได้
ปวดตื้อๆ ตลอดเวลาหรืออาจปวดมากเป็นพักๆ
อาจมีท้องผูก หรือท้องเสียก็ได้
เบื่ออาหาร
มีอาการกดเจ็บ และ ท้องแข็ง (guarding)
มีไข้ อาจสูงถึง 38.3 oC
แนวทางการรักษา
พิจารณาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อทำ appendectomy สำหรับสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่3
ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
หากอาการไม่รุนแรงอาจพิจารณาทำการผ่าตัด laparotomy เพื่อทำ laparoscopic ซึ่งอายุครรภ์ที่เหมาะสมที่สามารถทำได้คือไตรมาสที่หนึ่งและสอง
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug) เพื่อป้องกันการหดรัดตัวของมดลูก ก่อนกำหนด และคลอดก่อนกำหนด
ควรวินิจฉัยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบอักเสบขณะตั้งครรภ์ออกจากอาการของโรคอื่น
สาเหตุและพยาธิสภาพ
เกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเอง โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆ เรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" ชิ้นเล็กๆ ตกลงไปอุดกั้นอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งเกิดการเจริญ รุกล้ำเข้าไปในผนังไส้ติ่ง จนเกิดการอักเสบตามมา
การตั้งครรภ์เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สองมดลูกที่โตขึ้น
จะทำให้การคลำหาตำแหน่งที่อักเสบได้ยากขึ้น เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้นจะดันเบียดลำไส้เล็กส่วนซีคัม (cecum) ให้เลื่อนสูงขึ้นไปทางด้านหลัง ด้านขวา จึงทำให้การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้ยาก นอกจากนี้ระดับเม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นอาจไม่สามารถ ระบุได้แน่ชัดว่ามีการอักเสบติดเชื้อขึ้นในร่างกายเนื่องการการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะตั้งครรภ์
โดยปกติก็มีระดับเม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นมากกว่าปกติอยู่แล้ว
:red_flag:ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน:red_flag: (Acute Cholecystitis)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง
มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
และคลอดก่อนกำหนด
การวินิจฉัย
การตรวทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจความเข้มข้นของเลือด CBC พบมีการเพิ่มของ leukocyte
ตรวจ U/A อาจพบการเพิ่มขึ้นของ WBC
การตรวจพิเศษอื่นๆ
เช่น Radiographic diagnostic การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงอาจ พบมีการขยายของท่อน้ำดี
มีการอุดกั้น หรือพบนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจร่างกายพบ
colicky sign และปวดมาก
บริเวณ right-upper quadrant or epigastrium
อาการและอาการแสดง
คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะ ภายหลังการรับประทานอาหารที่มีไขมัน
ตัวเหลืองขณะตั้งครรภ์
มีอาการปวดท้องที่เป็นพักๆ สลับหนักและเบา (colicky pain)
การรักษา
ให้งดอาหารและน้ำ
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
การทำ Laparoscopic for cholecystectomy/ cholecystectomy ปลอดภัยที่สุดหากทำ
ในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง
ดูแลให้ใส่สาย Nasogastric suctioning
Analgesia; morphine
ให้ ยาปฏิชีวนะกลุ่ม broad-spectrum ที่ครอบคลุมกลุ่ม ß-lactam ทั้งนี้ในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่หนึ่งห้ามให้ chloramphenicol และ tetracycline
และสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่สามห้ามให้ยากลุ่ม sulfa
ยาระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
สาเหตุและพยาธิสภาพ
ขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขนาดของมดลูก เกิดแรงดันและกดเบียดทำให้
การไหลเวียนและระบายของถุงน้ำดีไม่ ทำให้ muscle tone
และความยืดหยุ่นในถุงน้ำดีลดลง มีการหนาตัวของท่อน้ำดี
เมื่อมีการกดทับเป็นเวลานาน จะทำให้มีการเพิ่มระดับโปรเจสเตอโรน
ที่มีผลต่อภาวะ hypercholesterolemia การอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลันพบได้บ่อยในมารดาที่มีอายุมาก และ มารดาที่มีประวัติการอักเสบของถุงน้ำดีอยู่แล้ว ซึ่งการอักเสบส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดกั้น
ของถุงน้ำดี การเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และอาจเกิดภาวะ pancreatitis
:<3: การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัด :<3:
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
เตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยการ On EFM
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 1-2 ชั่วโมง
ฟัง FHS ทุก 1-2 ชั่วโมง
ดูแลให้งดอาหารและน้ำทางปาก
การพยาบาลขณะผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาและเตรียมให้ออกซิเจนทันทีระหว่างการผ่าตัดที่พบภาวะ fetal distress
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยการติดเครื่อง EFM ระหว่างการผ่าตัด
จัดท่าในการผ่าตัด หากเป็นไปได้ควรจัดท่านอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย กึ่งตะแคงซ้าย โดยระมัดระวังไม่ให้กดทับเส้นเลือด vena cava ทำให้ทารกขาดเลือดและออกซิเจน
การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล
พยาบาลผดุงครรภ์ควรให้ความรู้เกี่ยวกับ กระบวนการและวิธีการผ่าตัด เพื่อลดความกลัวเกี่ยวกับการสูญเสียบุตร
การดูแลหลังการผ่าตัด
เฝ้าระวังภาวะ preterm labor
ประเมินและบันทึก FHS โดยการติดเครื่อง EFM
อย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังภาวะ fetal distress
ให้การพยาบาลเหมือนผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป
ดูแลให้ได้รับยา tocolysis เช่น magnesium sulfate, calcium channel blockers, oxytocin antagonists and prostaglandin inhibitor
การประเมินทางการพยาบาล
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ การฟังเสียง FHR
การบันทึกการดิ้นของทารก การ ตรวจ NST
การตรวจร่างกาย
การประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
การซักประวัติ
การพยาบาลเมื่อจำหน่ายกลับบ้าน
ประเมินผู้ให้การดูแล (care giver) ตัวของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่จำเป็นเกี่ยวกับการ ปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน จึงต้องได้รับการให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติอย่างใกลช้ิด และถูกต้องก่อนกลับบ้าน โดยให้ครอบคลุมเกี่ยวกับ การดูแลแผลผ่าตัด
การรับประทานอาหารและ การเผาผลาญที่อาจได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด
การประเมินภาวะไข้ และการติดเชื้อ อาการและ อาการแสดงถึงภาวะแทรกซ้อนของแผลผ่าตัดติดเชื้อ, thrombophlebitis, pneumonia การมา ตรวจตามนัด ยาและการรักษาที่ได้รับ
:fire:เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก:fire: (Uteri tumor)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
โดยเฉพาะประวัติทางนรีเวช มีเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการปวดท้องที่ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
การตรวจพิเศษ
เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจ MRI
การตรวจร่างกาย
คลำพบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์
คลำท่าทารกได้ไม่ชัดเจน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ระยะคลอด
คลอดยาก และมีโอกาสผ่าตัดคลอดคลอด
ทางหน้าท้อง
ระยะหลังคลอด
การหดรัดตัวกล้ามเนื้อมดลูกภายหลังคลอดไม่ดี
ตกเลือดหลังคลอด และอาจได้รับการตัด มดลูกได้
ระยะตั้งครรภ์
แท้ง คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด และอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้นขณะตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
ไม่ค่อยแสดงอาการ ปวดท้องโดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น อาจพบภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์ได้
การรักษา
ชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัดให้นำส่งตรวจพยาธิวิทยา
เพื่อการวินิจฉัยต่อไป
หากก้อนยังใหญ่ไม่มาก ไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ และการ ตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปจนครบกำหนด
การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopic myomectomy )
ควรทำเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์
:explode: การบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์ :explode:
(Trauma during pregnancy)
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการบาดเจ็บ
Minor trauma
FHR เปลี่ยนแปลง
Fetal activity หายหรือลดลง
Hypovolemia
Abdominal tenderness, abdominal pain or cramps
Bleeding/vg., uterine irritability
Leakage of amnioticfluid
พบ fetal cell ใน maternalcirculation
Major trauma
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ พยาบาลผดุงครรภ์และพยาบาลเด็ก ควรประสานงานและทำงานแบบสหวิชาชีพ ร่วมกับแพทย์หลายสาขา และทำหน้าที่ในการดูแล
ให้การดูแลตามกระบวนการเศร้าโศกและสูญเสีย
ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพสำเร็จ ควรมีการประเมินสภาพร่างกายทั่วไปตามระบบตา่งๆ ว่าอยู่ในสภาพปกติหรือไม่ โดยจะประเมินและแก้ไขปัญหา
การจำหน่ายสตรีตั้งครรภ์เพื่อกลับบ้าน ควรสอนเกี่ยวกับ
-การสังเกตอาการเลือดออกหรือมีสารคัดหลั่งออกจากแผล
-การดิ้นของทารกในครรภ์
-Signs and symptom of preterm labor
-Signs and symptom PROM
-Signs and symptom placenta abrubtion
-หากการบาดเจ็บเกิดจากอุบัติเหตุ ควรแนะนำการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกต้อง สำหรับสตรีตั้งครรภ์คือสายคาดต้องคาดผ่านกระดูกซี่โครงด้านข้างและอยู่เหนือสะโพกหรือต้นขา ไม่ คาดผ่านหน้าท้อง
-หากเกิดจากการถูกกระทำความรุนแรงควรแนะนำเกี่ยวกับวงจรการเกิดความ รุนแรง แนะนำแหล่งช่วยเหลือเมื่อฉุกเฉิน
ในการช่วยฟื้นคืนชีพแบบ ABCs ควรประเมินแบบ systematic evaluation ก่อนให้ การดูแล
Immediate care
การช่วยฟื้นคืนชีพควรช่วยชีวิตมารดาเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากสามารถช่วยชีวิตแม่ ได้แล้ว จึงให้การดูแลทารกในครรภ์ต่อไป
ทีมให้การพยาบาลต้องทำการประเมินอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์ และมี ประสิทธิภาพ
การพยาบาลควรคำนึงถึงการตั้งครรภ์ร่วมกับการรักษา ตั้งแต่การประเมินและวินิจฉัย การให้ยา และการช่วยฟื้นคืนชีพ
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
มักพบว่ามีความเสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัว ก่อนกำหนด มดลูกแตก ทารกในครรภ์ได้รับบาดเจ็บ ทารกตายในครรภ์ ทารกตายคลอด
:!!:การช่วยฟื้นคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น :!!:
การตอบสนองขั้นต่อมา (Subsequent responders)
การปฏิบัติการพยาบาลทางสูติศาสตร์ (Obstetric interventions)
ถอด internal และ external fetal monitors ออกก่อน (หากมี)
นวดหัวใจด้วยมือ โดยจัดให้มดลูกเลื่อนขึ้นไปด้านบนซ้ายของลำตัว (left uterine displacement (LUD) เพื่อลดการกดทับหลอดเลือด aortocaval
การเตรียมพร้อมเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกรณีฉุกเฉิน
ตั้งเป้าหมายให้คลอดภายใน 5 นาที นับจากเวลา
ที่เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ
ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพไปแล้วเป็นเวลา 4 นาที และไม่พบสัญญาณชีพปรากฏ ให้ทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที
การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมารดา (maternal interventions)
ดูแลและประเมินให้กระบวนการ CPR มีคุณภาพ
ให้ IV fluid เหนือ diaphargm
ดูแลให้ได้รับการติด Monitor waveform capnography
ประเมินภาวะ Hypovolemia และดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ดูแลให้ได้รับ 100% oxygen ทางท่อทางเดินหายใจ
ดูแลและจัดการให้ท่อทางเดินหายใจโล่ง ไม่อุดกั้นตลอดกระบวนการช่วยคืนชีพ
ดูแลให้ได้รับชนิดยา ขนาด ปริมาณและวิถีทางที่ให้ยาให้ถูกต้อง
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ได้รับ MgSo4 ทางหลอดเลือดดำ ให้ทำการหยุดทันที และให้ Calcium chloride 10 ml ใน 10% solution
ดูแลและช่วยเหลือในการช็อคไฟฟ้า (defibrillation) ทันที
ระหว่างและหลังการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ดูแลและให้การพยาบาลอย่าง ต่อเนื่องทั้งหมดตามหลักของการช่วยฟื้นคืนชีพต่อจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ
ค้นหาและดูแลรักษาปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น (BEAU-CHOPS)
Cardiac disease
Hypertension/preeclampsia/eclampsia
Uterine atony
Other: differential diagnosis of standard guidelines, accident, abuse
Anesthetic complications
Placenta abruptio/previa
Embolism: coronary/pulmonary/amniotic fluid embolism
Sepsis
Bleeding/DIC/accident
การตอบสนองขั้นแรก (First responder)
บันทึกเวลาที่เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
จัดท่านอน supine
แจ้ง maternal cardiac arrest team
เริ่มทำการ chest compressions วางมือไว้เหนือกระดูก sternum โดยตำแหน่งที่วาง จะสูงกว่าในคนปกติเล็กน้อย หากไม่มีการตอบสนองให้ทำตามกระบวนการต่อไปทันที
:black_flag:ถุงน้ำรังไข่:black_flag:
(Ovarian tumor)
การวินิจฉัย
การตรวจพิเศษ
เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจ MRI
การซักประวัติ
เกี่ยวกับอาการและอาการแสดง
โดยเฉพาะประวัติโรคทางนรีเวช
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
คลอดก่อนกำหนด และคลอดยาก
อาการและอาการแสดง
มีภาวะ ท้องมานน้ำ
ในระยะคลอดพบว่ามีการคลอดยาก
ปวดบริเวณปีกมดลูกและรังไข่โดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น
การรักษา
เจาะเลือดส่งตรวจค่ามะเร็ง CA-125
หากวินิจฉัยล่าช้าและก้อนยังใหญ่ไม่มาก และการตั้งครรภ์สามารถดำเนิน
ต่อไปจนครบกำหนด
ส่งชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกมาเพื่อตรวจสอบทางพยาธิวิทยา
หากผลการชันสูตรพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ และมารดาต้องได้รับยาเคมีบำบัด
ให้งด breast feeding
การผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตัดก้อนเนื้องอกออกในกรณีที่ก้อนเนื้อนั้นมีขนาดน้อยกว่า 8 เซนติเมตร หรือทำการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อนำก้อนเนื้องอกและปีกมดลูกและรังไข่ข้างที่มีพยาธิสภาพออก หากขนาดของก้อนเนื้องอกใหญ่กว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป
ควรทำการผ่าตัดเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์
สาเหตุและพยาธิสรีรภาพ
มีการโตของ cystic corpus luteum ขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังพบภาวะของ ovarian cyst /tumor ที่โตขึ้น ร่วมกับการติดเชื้ออื่นๆ
ของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกได้ ซึ่งมักพบว่ามีขนาดโตขึ้น
เมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์