Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาลเกี่ยวกับการป้องกัน และควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ, นางสาววรัญญา…
การพยาลเกี่ยวกับการป้องกัน
และควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การติดเชื้อ (Infection)
ทางออกของเชื้อโรคในการแพร่กระจาย
ทางเดินหายใจ
ทางเดินอาหาร
ทางเดินปัสสาวะ
อวัยวะสืบพันธุ์
เลือด
ผิวหนัง
สิ่งนำเชื้อ (เชื้อจะกระจายต้องมีพาหะ)
อากาศ
อาหารและน้ำ
วัตถุ
แมลงและสัตว์
บุคคลมีเชื้อโรค
วิธีการแพร่กระจายเชื้อ
Vectorborne transmission แมลง หรือสัตว์นำโรค
Common Vehicle transmission จากเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร ยา สารน้ำที่ให้แก่ผู้ป่วย
Air bone transmission สูดหายใจเอาอากาศที่มีเชื้อปนเปื้อน
Contact transmission
1) Direct contact คนสู่คน (person-to-person spread)
2) Indirect contact เป็นการสัมผัสวัตถุมีเชื้อปนเปื้อน
3) Droplet spread ฝอยละออง สารคัดหลั่ง
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล Nosocomial infection
การติดเชื้อที่เกิดจากการได้รับเชื้อขณะที่ผุ้ป่วยได้รับการตรวจ/ได้รับการพยาบาล และการติดเชื้อของบุคลากรจากการปฏิบัติงาน (เกิดภายใน 48-72 ชั่วโมงเมื่อรับผู้ป่วย)
ภาวะปลอดเชื้อและเทคนิคปลอดเชื้อ
เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic technique)
ไม่เคร่งครัด (Medical asepsis)
เทคนิคการทำให้สะอาด (Clean technique)
การแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อด้วยวิธีการแยกเฉพาะ (Isolation technique)
เคร่งครัด (Surgical asepsis)
เทคนิคการทำให้สะอาด การใส่ gloves เสื้อคลุม gown ที่นึ่งแล้ว
การใช้ปากคีบไร้เชื้อหยิบเครื่องมือเครื่องใช้ปราศจากเชื้อ
เทคนิคปราศจากเชื้อ (Sterile technique)
เครื่องมือเครื่องใช้ปราศจากเชื้อ (sterile)
การทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้
การล้าง (Cleansing)
วัตถุประสงค์ของการล้างเครื่องมือก่อนนําไปทําลายเชื้อ
เพื่อลดจํานวนเชื้อโรคบนเครื่องมือช่วยให้น้ำยามีประสิทธิภาพ
ลดสิ่งปนเปื้อนบนผิวของเครื่องมือ
ช่วยให้คราบสกปรกที่ติดตามซอกมุมของเครื่องมือ คราบที่ติดแน่น หลุดออกไปได้
4.ช่วยลดอันตรายในการหยิบจับอุปกรณ์ก่อนนําไปทําลายเชื้อต่อไป
ข้อควรคํานึงในการล้าง
กําจัดเลือด หนอง สารคัดหลั่งและอื่น ๆ ออกก่อนทําความสะอาด
ไม่ทําให้อุปกรณ์ชํารุดเสียหาย
ไม่ทําให้อุปกรณ์สกปรกมากกว่าเดิม
4.ด่างจากสบู่หากล้างออกไม่หมดจะช่วยเคลือบเชื้อจุลชีพไว้ จึงควรสารตกค้างหลงเหลืออยู่ให้หมด
เครื่องใช้
1.อุปกรณ์ช่วยในการขัดถูที่มีความหยาบแต่ไม่คม
สารซักฟอก หรือสบู่
อุปกรณ์สวมใส่เพื่อป้องกันความสกปรกกระเด็นถูกร่างกาย เช่น ถุงมือยาง เอี่ยมพลาสติก ผ้าปิดปากจมูก แว่นตา
วิธีทํา
1.สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน ระมัดระวังไม่ให้เปื้อนบริเวณใกล้เคียง
คราบลาสเตอร์เช็ดด้วยเบนซินแล้วตามด้วยแอลกอฮอล์
คราบเลือดหรือสารคัดหลั่งเช็ดหรือล้างด้วยน้ําเกลือหรือน้ําร้อน ถ้าไม่หลุดล้างด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H202) อีกครั้ง
อุปกรณ์ห้ามล้างน้ำใช้ผ้าชุบน้ำยาทําความสะอาด
ในบริเวณที่ไม่สามารถเช็ดได้ (รู ท่อ)ให้ใช้ไม้ก้านยาวพันสําลีชุบน้ํายา
ล้างคราบสิ่งสกปรก และคราบสารผงซักฟอกออกให้หมดโดยใช้น้ําก๊อกที่ไหลชะผ่าน
เช็ดให้แห้งหรือวางผึ่งลมก่อนเก็บหรือทําให้ปราศจากเชื้อ
ทําความสะอาดอุปกรณ์ขัดล้าง
การต้ม (Boiling)
สำหรับเครื่องใช้ที่เป็นโลหะและเครื่องแก้วทุกชนิด เครื่องเคลือบ
น้ำต้องท่วมของที่ต้องการต้ม ต้มเดือดนาน 10 นาที จะสามารถทําลายเชื้อได้ยกเว้นสปอร์เชื้อโรคอันตรายต้มเดือดนาน 20 นาที
การเตรียมสิ่งของที่จะต้ม
ของที่จะต้มได้รับการทําความสะอาดดีแล้ว
แยกชนิดของที่จะต้ม เครื่องใช้มีคมไม่ควรต้ม เพราะจะทําให้เสียความคม ของที่ใช้กับอวัยวะสะอาด ไม่ควรต้มปนกับของที่ใช้กับอวัยวะ สกปรก
ของที่ต้มครบเวลาแล้ว ต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปราศจากเชื้อมีฝาปิดมิดชิด
หลักสําคัญในการต้ม
น้ําต้องท่วมของทุกชิ้นอย่างน้อย 1 นิ้ว
เครื่องมือน้ำหนักเบาควรใช้ของที่มีน้ําหนักทับ
ปิดผาหม้อต้ม เริ่มนับเวลาเมื่อน้ําเดือดเต็มที่
ในขณะต้มต้องไม่เปิดฝาหม้อต้ม ไม่เพิ่มสิ่งของอื่นลงไป เมื่อของที่ต้มอยู่ยังต้มไม่ครบ 15 หรือ 20 นาที
เมื่อครบกําหนดให้เก็บของที่ต้มแล้วลงในภาชนะที่ปราศจากเชื้อ สะอาดมีฝาปิดมิดชิด
น้ํายาที่ใช้ในการทําลายเชื้อ
แอลกอฮอล์ (Alcohols)
ทําลายเชื้อแต่ไม่ทําลายสปอร์ ทําให้โลหะเกิดสนิม
อัลดีไฮ (Aldehydes)
ทําลายเชื้อในเวลา 10 นาที ทําลายสปอร์แบคทีเรียได้ใน 10 ชั่วโมง แต่แพง ระคายเคืองผิวหนัง ทางเดินหายใจ ตา
ไดกัวไนด์ (Diguanide)
chlorhexidine ความเข้มข้นต่ำกว่า 0.2% ทําลายแบคทีเรียแกรมบวก เชื้อไวรัส เชื้อรา และสปอร์แบคทีเรียไม่ได้
ฮาโลเจน (Halogens)
ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ํายา Hypochlorite และ Iodine เช่น ไอโอดีน ไฮเตอร์ แต่ไม่สามารถ ทําลายสปอร์แบคทีเรียได้
เหม็น โลหะเป็นสนิม ระเหยง่าย ห้ามผสมกับ
กรด และฟอร์มาลิน
ไฮโดเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide)
สามารถทําลายเชื้อโรครวมทั้งไวรัส โดยใช้ Hydrogen peroxide 6% นาน 30 นาที
น้ํายาที่ฟีนอล (Phenols)
ไม่ทําลายเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและสปอร์แบคทีเรีย ไม่ควรใช้กับทารกแรกเกิด บริเวณที่เตรียมอาหาร กลิ่นแรง ระคายเคืองผิวหนัง กัดกร่อนยางธรรมชาติและพลาสติก
Quartemary Ammonium Compounds (QACs)
มีฤทธิ์ทําลายเชื้อน้อย เช่น Benzalkonium chloride เป็นส่วนประกอบใน savlon
การทำให้ปราศจากเชื้อ
Radiation
ใช้แสงอัลตราไวโอเลตฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสบางชนิดแต่ไม่ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสเอดส์
ในกรณีเชื้อวัณโรคเมื่อถูกแสงแดดจะถูกทําลายภายใน 1-2 ชั่วโมง
นิยมใช้ลดจํานวนจุลชีพในอากาศใช้เวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง
Dry heat or hot air sterilization
การใช้ Hot air Oven ทำลายเชื้อโดยใช้ความร้อนแห้งที่ 165-170 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
เหมาะสําหรับเครื่องมือที่เป็นของมีคม ใช้สําหรับเครื่องแก้วที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ กระบอกฉีดยาชนิดนํากลับมาใช้อีก
ป้องกันการเกิดสนิมในเครื่องมือที่ไม่ได้ทํามาจากสแตนเลส ไม่เหมาะกับผ้าและยาง
Steam under pressure
มีประสิทธิภาพมากที่สุด เหมาะกับเครื่องมือที่ทนความร้อนและความชื้น มีผิวเรียบแข็ง เช่น เครื่องมือผ่าตัด ภาชนะที่ทําด้วยสแตนเลส ไม่เหมาะกับเครื่องมือที่ทนความร้อนไม่ได้
อุณหภูมิที่ใช้อยู่ระหว่าง 121-123 C ใต้ความดัน 15-17 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 15-45 นาที
การใช้ก๊าซ Ethylene oxide
ทําลายได้ทั้งไวรัส แบคทีเรียรวมทั้งสปอร์
นิยมใช้กับเครื่องมือที่ทนความร้อนและความชื้นไม่ได้ ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเครื่องมืออบก๊าซไว้ที่อุณหภูมิ 30 C นาน 3 ชั่วโมง
เพื่อให้ก๊าชระเหยออกก่อนนําไปใช้ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 5 วัน หรือ 8 ชั่วโมงใต้อุณหภูมิ 120 C ใช้มิฉะนั้นอาจทําให้ผิวหนังไหม้
การใช้ 2% Glutaradehyde
Glutaraldehyde เช่น Cidex นิยมที่ใช้มากที่สุด ทําลายเชื้อและสปอร์แบคทีเรีย
ไม่ทําลายยางหรือพลาสติกและไม่เกิดสนิม
ใช้แช่เครื่องมือเครื่องใช้นาน 3-10 ชั่วโมง
เหมาะกับเครื่องมือที่มีเลนส์ เครื่องมือทางทันตกรรม เครื่องช่วยหายใจ และ เครื่องมือที่มีคม ต้องล้างน้ำยาให้ หมดก่อนนําไปใช้
การใช้ Peracetic acid
เป็นส่วนผสมระหว่าง acetic acid กับ hydrogen peroxide กัดกร่อนสูงต้องละลายในน้ําอุ่น
เครื่องมือเครื่องใช้ที่แช่ ใน Peracetic Acid เพื่อทําให้ปลอดเชื้อจะต้องใช้เวลารวดเร็วคือ 35-40 นาที ที่อุณหภูมิ 50-55 C
ล้างน้ํายาออกให้หมด ทําให้แห้งด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เครื่องมือเกิดการปนเปื้อน
เหมาะกับท่อส่ง ระบบน้ําทําไตเทียม และกล้องส่องตรวจต่างๆ
การหยิบจับของปราศจากเชื้อ
ใช้ปากคีบที่มีลักษณะยาวแช่อยู่ในกระปุกที่แช่น้ํายา (Transfer forceps) หยิบ ปากคีบส่งของควรเป็นเป็นร่องไม่มีเขี้ยว ชนิดปลายเป็นเขียวคีบสําลี ก๊อส
วิธีการใช้ปากคีบหยิบของที่ปราศจากเชื้อ
ระวังมิให้ปลายปากคีบถูกกับปากภาชนะรอให้น้ํายาหยดออก ให้หมด
ขณะที่ถือให้ปลายปากคีบอยู่ตต่ำ เพื่อมิให้น้ําไหลไปสู่บริเวณที่ไม่ปราศจากเชื้อ
เมื่อใช้ปากคีบเสร็จแล้วให้จับตรงกลางด้ามให้ปลายชิดกัน แล้วใส่ลงในกระปุกตรง ๆ
วิธีการหยิบของการแบ่งของที่สะอาดปราศจากเชื้อ
เมื่อเปิดฝาถ้าต้องการจะวางกับโต๊ะให้หงายฝาขึ้น เพื่อป้องกัน ไม่ให้ขอบฝาสัมผัสกับโต๊ะ ถ้าถือไว้ให้คว่ำลง
ห้ามเอื้อมข้ามของ sterile ที่เปิดฝาไว้และห้ามจับด้านในของฝา ของที่หยิบออกไปแล้วไม่ควรนําเข้าไปเก็บในหม้อนั้นอีก
หลักพื้นฐานของภาวะปราศจากเชื้อ
ดูแลให้ของปลอดเชื้อนั้นคงความปลอดเชื้อ
1.1 Transfer forceps ใช้สําหรับหยิบจับต้องคงความปลอดเชื้อ ควรถือให้สูงกว่าระดับเอวและปลายปากคีบชี้ลงเสมอ
1.2 การเทน้ำยาปลอดเชื้อ น้ํายาสูงกว่าภาชนะประมาณ 6 นิ้ว ปากขวดต้องไม่สัมผัสกับภาชนะรองรับ ห้ามกระเด็นห้ามไหลเปื้อนขวด
1.3 หลีกเลี่ยงการทําน้ำยาหก
1.4 หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ จาม หรือข้ามกรายของปลอดเชื้อ
1.5 อุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดจะต้องปลอดเชื้อ
ของปลอดเชื้อต้องไม่สัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปลอดเชื้อ
หากของปลอดเชื้อสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปลอดเชื้อให้ถือว่าของนั้นไม่ปลอดเชื้อ
2.1 ใช้ปากคีบปลอดเชื้อในการหยิบของปลอดเชื้อ
2.2 หากหยิบจับของปลอดเชื้อด้วยมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อถือว่าเครื่องมือเกิดการปนเปื้อน
2.3 ไม่ควรใช้ปากคีบหยิบบริเวณขอบของภาชนะหรือใช้ปากคีบเปิดผ้าห่อของปลอดเชื้อ
2.4 ของปลอดเชื้อมีรอยเปิดสัมผัสกับภายนอกถือว่าไม่ปลอดเชื้อ
2.5 ของปลอดเชื้อสัมผัสกับอากาศน้อยที่สุด
2.6 ห่อของปลอดเชื้อที่เปิดใช้แล้วแสดงว่าเกิดการปนเปื้อน
3.ของปลอดเชื้อต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวและอยู่ในสายตา
3.1 ของปลอดเชื้ออยู่สูงกว่าระดับเอว
3.2 เมื่อเปิดของปลอดเชื้อแล้วไม่ละทิ้งหรือหันหลังให้ของปลอดเชื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการปนเปื้อนเกิดขึ้นนอกสายตา
3.3 หากไม่มั่นใจเความปลอดเชื้อกับของใช้นั้นต้องเปลี่ยนใหม่ทันที
การปฏิบัติในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การล้างมือ(Hand washing)
กระทําก่อนที่จะปฏิบัติการพยาบาลและหลังการพยาบาลผู้ป่วยลดจํานวนเชื้อจุลชีพที่อาศัยอยู่บนผิวหนังป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค
การล้างมือแบบธรรมดา (Normal หรือ Social hand washing)
เพื่อสุขภาพอนามัยทั่วไป ฟอกมือนานอย่างน้อย 15 วินาที แล้วล้างออก
การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล
(Alcohol hand rub)
alcohol 70% หรือ alcohol 70% ผสม chlorhexidine 0.5 % กําจัดเชื้อโรคออกจากมือทั้งแบคทีเรียแกรมบวกแกรม ลบ เชื้อรา เชื้อที่ดื้อต่อยาหลายชนิดและไวรัส บีบน้ำยาประมาณ 10 มล. ประมาณ 15-30 วินาที
การล้างมือก่อนปฏิบัติการพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
และภายหลัง (Hygienic hand washing)
การล้างมือภายหลังการสัมผัสผู้ป่วยติดเชื้อหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อ เช่น การสวนปัสสาวะให้ล้างมือด้วยสบู่เหลวผสมยาทําลายเชื้อ เช่นchlorhexidine gluconate 4 % iodophor 7.5 % ไม่น้อยกว่า 30 วินาทีล้างออกด้วยน้ำ
การล้างมือก่อนทําหัตถการ (Surgical hand washing)
เพื่อหัตถการการทําคลอด ล้างมือด้วยสบู่เหลวทําลายเชื้อ เช่น chlorhexidine 49% และใช้แปรงที่ปราศจากเชื้อแปรงมือและเล็บ แล้วฟอกมือและแขนถึงข้อศอก 5 นาที ในการล้างมือครั้งต่อไปฟอกมือนาน 3-5 นาที
การป้องกันการติดเชื้อแบบมาตรฐาน (Standard precaution)
การใช้ผ้าปิดปาก-จมูก (mask)
ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินหายใจ ควรใช้ผ้าปิดปาก-จมูกที่มี ประสิทธิภาพในการกรองสูงเช่น N 95 mask ซึ่งสามารถกรองเชื้อโรคขนาดเล็กถึง 1 ไมครอนได้ ส่วน N 100 หรือ Hyper mask สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 100 %
ถอดทันทีภายหลังเสร็จสิ้น กิจกรรมการพยาบาลและเมื่อเกิดความสกปรกหรือขึ้น ระยะเวลาในการใช้ผ้า ปิดปากและจมูกไม่ควรเกิน 20-30 นาที
การใส่เสื้อกาวน์ (Gown)
ควรเปลี่ยนเสื้อกาวน์ทุกเวร กรณีถ้าเปื้อนหรือเปียกให้เปลี่ยนทันที โดยการกลับเสื้อด้านในออกทิ้งในภาชนะที่เตรียมไว้ และล้างมือให้สะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ป่วยอื่นและสิ่งแวดล้อม
การมีสุขาภิบาลและสุขอนามัยที่ดี (Sanitation and Hygiene)
เครื่องป้องกัน (Protection Barriers)
หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ (Avoid Accidents)
หลัก Standard precaution
1.สวมถุงมือ ใช้ผ้าปิดปาก จมูก สวมแว่นตา สวมเสื้อคลุม
ระวังการบาดเจ็บจากเข็มและของมีคมต่าง ๆ
บุคลากรเมื่อมือมีบาดแผลควรเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง
ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการใช้ทุกครั้งในการปฏิบัติงานทางการแพทย์
การปฏิบัติที่ปลอดภัยจากการใช้ของมีคม
1.ไม่ส่งของมีคมด้วยมือต่อมือ
เข็มที่ใช้เจาะเลือดผู้ป่วยให้เก็บทิ้งคนเดียว
การเย็บแผลให้ใช้ forceps หยั่งแผลเวลาเย็บ
ใช้ forceps ปลดหลอดแก้วออกจากสายยาง
ไม่ควรสวมปลอกเข็มคืน แต่ถ้าจําเป็นต้องสวม ควรสวมปลอก เข็มโดยใช้มือเดียว (one hand technique)
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
การสัมผัส
(Contact Transmission)
.1 Direct Contact - การสัมผัสโดยตรง ระหว่างคนกับคน
1.2 Indirect Contact - การสัมผัสทางอ้อมโดยผ่านสิ่งแวดล้อมหรือ เครื่องมือที่ไม่ปราศจากเชื้อ
1.3 Droplet Contact- การสัมผัสผ่านละอองเสมหะ ในระยะไม่เกิน 3 ฟุต
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกและปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสผู้ป่วยทั้งบุคลากรและญาติ
ล้างมือแบบ hygienic handwashing หลังถอดถุงมือและก่อนออก จากห้องแยก
Droplet Precautions (การติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ทางละอองในอากาศ)
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกและปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดN95
3.สวมถุงมือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย
ล้างมือแบบ hygienic handwashing หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดา
ถ้าต้องมีความจําเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอก ห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิด ปาก-จมูกชนิดธรรมดา
Airborne Precautions (การติดเชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศ)
1 - 3 เหมือน Contact Precautions (การติดเชื้อที่แพร่กระจายได้จากการสัมผัส)
สวมถุงมือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทุกครั้งที่ สัมผัสผู้ป่วย
ถ้าต้องมีความจําเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ออกนอก ห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิด ธรรมดา
5.ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดา
เทคนิคการแยก (Isolation Technique)
จุดประสงค์ในการแยกผู้ป่วย
ป้องกันการแพร่กระจายโรคติดต่อ
ป้องกันการติดโรคจากผู้ป่วย
ป้องกันการซ้ําเติมโรคในผู้ป่วยที่มีความต้านทานต่ํา เรียกว่าการแยกเพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ผู้ป่วย (protective isolation or reverse barrier technique)
เพื่อทําลายเชื้อโรคซึ่งเป็นตัวทําให้เกิดโรค
การแยกผู้ป่วยอาจจําแนกออกเป็น 7 แบบ
แยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ
แยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
แยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางบาดแผลและผิวหนัง
แยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและติดต่อง่าย
แยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางเลือดและน้ําเหลือง
แยกผู้ป่วยในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อ
แยกผู้ป่วยในรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
นางสาววรัญญา มั่นศรี เลขที่64 ห้อง2A รหัส 63123301127