การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม

ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis)

ภาวะลําไส้อุดกั้น(Bowel obstruction)

ถุงน้ํารังไข่ (Ovarian tumor)

เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Uteri tumor)

ถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis)

การบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์(Trauma during pregnancy)

การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัด

การช่วยฟื้นคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น

ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

การประเมินและการวินิจฉัย

อาการและอาการแสดง

แนวทางการรักษา

สาเหตุและพยาธิสภาพ

ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

เริ่มจากอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวดอาจจะเพียงเล็กน้อยหรือมากก็ได้ มีอาการปวดตื้อๆ ตลอดเวลาหรืออาจปวดมากเป็นพักๆ อาจมีท้องผูก หรือท้องเสียก็ได้ มีอาการกดเจ็บ และท้องแข็ง (guarding) มีไข้ อาจสูงถึง 38.3 oC

อาการทางระบบทางเดินอาหาร อาจจะเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากมักมีความสัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งอาจแตกทะลุทําให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) และอาจเกิดเป็นก้อนถุงหนองได้

เจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูง

การตรวจพิเศษ

การซักประวัติ ตรวจร่างกายจากอาการและอาการแสดง

พิจารณาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อทํา appendectomy สําหรับสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่3

ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา

หากอาการไม่รุนแรงอาจพิจารณาทําการผ่าตัด laparotomy เพื่อทํา laparoscopic ซึ่งอายุครรภ์ที่เหมาะสมที่สามารถทําได้คือเมื่ออายุครรภ์อยู่ในไตรมาสที่หนึ่งและสอง อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) ได้ในไตรมาสที่สาม

ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug) เพื่อป้องกันการหดรัดตัวของมดลูกก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด

ควรวินิจฉัยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบอักเสบขณะตั้งครรภ์ออกจากอาการของโรคอื่น

ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

การวินิจฉัย

อาการและอาการแสดง

การรักษา

สาเหตุและพยาธิสภาพ

ขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขนาดของมดลูก ซึ่งทําให้เกิดแรงดันและกดเบียดทําให้การไหลเวียนและระบายของถุงน้ําดีไม่ทําให้ muscle tone และความยืดหยุ่นในถุงน้ําดีลดลง มีการหนาตัวของท่อน้ําดี เมื่อมีการกดทับเป็นเวลานาน จะทําให้มีการเพิ่มระดับโปรเจสเตอโรน ที่มีผลต่อภาวะhypercholesterolemia การอักเสบของถุงน้ําดีเฉียบพลันพบได้บ่อยในมารดาที่มีอายุมาก และมารดาที่มีประวัติการอักเสบของถุงน้ําดีอยู่แล้ว ซึ่งการอักเสบส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดกั้นของถุงน้ําดีการเกิดนิ่วในถุงน้ําดี และอาจเกิดภาวะ pancreatitis ตามมาได้

มีอาการปวดท้องที่เป็นพักๆ สลับหนักและเบา (colicky pain)คลื่นไส้อาเจียนโดยเฉพาะภายหลังการรับประทานอาหารที่มีไขมันมีไข้ และตัวเหลืองขณะตั้งครรภ์

เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด

การตรวทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจพิเศษอื่นๆ

การตรวจร่างกายพบcolicky sign และปวดมากบริเวณ right-upper quadrant or epigastrium

ตรวจความเข้มข้นของเลือด CBC พบมีการเพิ่มของ leukocyte

ตรวจU/Aอาจพบการเพิ่มขึ้นของ WBC

ดูแลให้ใส่สาย Nasogastric suctioning

Analgesia; morphine

การทําLaparoscopic for cholecystectomy/ cholecystectomyปลอดภัยที่สุดหากทําในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่สองเนื่องจากทารกมีการแบ่งตัวที่สมบูรณ์และมดลูกมีขนาดไม่ใหญ่มากและไม่เสี่ยงต่อการแท้ง

ให้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม broad-spectrum ที่ครอบคลุมกลุ่ม ß-lactam ทั้งนี้ในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่หนึ่งห้ามให้ chloramphenicol และtetracycline และสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่สามห้ามให้ยากลุ่ม sulfa

ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา

ยาระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ(antispasmodics)

ให้งดอาหารและน้ํา

ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก tocolytic therapy

การวินิจฉัย

ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

อาการและอาการแสดง

การรักษา

พยาธิสภาพ

เกิดจากการอุดตันของลําไส้จากพังผืด (adhesions)การบิดของลําไส้ (volvulus) การตีบ ก้อนเนื้องอก หรือไส้เลื่อน โดยร้อยละ 77 ของสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะลําไส้อุดกั้นมีประวัติการผ่าตัดในช่องท้อง อุ้งเชิงกรานและ การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องหรือมีประวัติการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน โดยภาวะลําไส้อุดกั้นจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 20-25 สัปดาห์และมักแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สามเนื่องจากการขยายของมดลูกจะมีผลต่อลําไส้เล็กและลําไส้ใหญ่โดยตรง

ปวดเกร็งแน่นท้อง

อาเจียน

ท้องผูก (constipation) ถ่ายยาก ถ่ายลําบาก ถ่ายไม่ออก

ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆ

การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง

การตรวจทางห้องปฏิบัติกา

การตรวจร่างกาย มีอาการปวดเมื่อคลําทางหน้าท้อง

ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์

ผลกระทบต่อทารกในครรภ์

การอักเสบและติดเชื้อ มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด ภาวะไม่สมดุลของสารน้ําและอิเล็กโตรลัยท์ ปัญหาเกี่ยวกับไต ภาวะปริมาตรเลือดต่ําจากการเสียเลือด ช็อก และเสียชีวิต

เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกําหนด คลอดน้ําหนักตัวน้อย ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน ทารกเสียชีวิตในครรภ์

ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์ โดยใส่เครื่อง EFM

ให้ออกซิเจน 4 lit/min

ให้ยาปฏิชีวนะ

พิจารณาการผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศ อย่างไรก็ตามภายหลังการทําอาจพบว่าเกิดภาวะพังผืดในช่องท้อง (adhesion)ซึ่งนําไปสู่การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องได้ในภายหลัง

ให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา

ดูแลภาวะท้องผูก (constipation)ภายหลังการผ่าตัด

ใส่สาย Nasogastric tubeเพื่อการระบาย gastric content

ติดตามการเกิดซ้ําของภาวะลําไส้อุดกั้นได้อีก(recurrent obstruction ในไตรมาสที่สาม

ให้งดอาหารและน้ํา

ติดตามและป้องกันภาวะลําไส้ตาย (bowel necrosis)ภายหลังการผ่าตัด

การวินิจฉัย

ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

อาการและอาการแสดง

การรักษา

สาเหตุและพยาธิสรีรภาพ

มีการโตของ cystic corpus luteum ขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังจะพบภาวะของovarian cyst /tumor ที่โตขึ้น ร่วมกับการติดเชื้ออื่นๆของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกได้ซึ่งมักพบว่ามีขนาดโตขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ โดยพบว่าก้อนเนื้อนั้นกลายเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 1:25,000 รายของการตั้งครรภ์

ปวดบริเวณปีกมดลูกและรังไข่โดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นมีภาวะท้องมานน้ําและในระยะคลอดพบว่ามีการคลอดยาก

การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง โดยเฉพาะประวัติโรคทางนรีเวช

การตรวจพิเศษ

เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด และคลอดยาก (dystocia)

เจาะเลือดส่งตรวจค่ามะเร็ง CA-125

หากวินิจฉัยล่าช้าและก้อนยังใหญ่ไม่มาก และการตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด อาจพิจารณาการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องร่วมกับนําก้อนเนื้องอกออกC/S with hysterectomyor a bilateral salphigo-oophorectomyภายหลังได้

ส่งชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกมาเพื่อตรวจสอบทางพยาธิวิทยา

หากผลการชันสูตรพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ และมารดาต้องได้รับยาเคมีบําบัด ให้งด breast feeding

การผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopic) เพื่อตัดก้อนเนื้องอกออก (cystectomy) ในกรณีที่ก้อนเนื้อนั้นมีขนาดน้อยกว่า 8 เซนติเมตร หรือทําการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนําก้อนเนื้องอกและปีกมดลูกและรังไข่(salphigo-oophorectomy)ข้างที่มีพยาธิสภาพออก หากขนาดของก้อนเนื้องอกใหญ่กว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป ทั้งนี้การผ่าตัดควรทําเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์

อาการและอาการแสดง

การวินิจฉัย

Adenomyosis

ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์

Myoma Uteri

การรักษา

หมายถึง ก้อนของกล้ามเนื้อที่จับตัวเป็นก้อนกลมๆ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุ หากอายุ 30ปีขึ้นไป หากพบว่ามีภาวะ Myoma ในช่วงตั้งครรภ์ การดําเนินของโรคจะเป็นได้ 3รูปแบบ 1)ขนาดเท่าเดิม2)โตขึ้น 1ใน 3และ3) เล็กลง 1ใน 3ทั้งนี้จะมีผลกระทบหรือไม่ขึ้นอยู่กับขนาดและตําแหน่งของ Myoma

หมายถึงเนื้องอกที่หนาตัวโดยรวมทั้งหมด เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก แทรกอยู่ตามกล้ามเนื้อ ทําให้หนาแต่ไม่ได้เป็นก้อนชัดเจนอาจเกิดการฝ่อของเนื้องอกขณะตั้งครรภ์ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์เพราะการฝ่อจะทําให้ก้อนเนื้อกลายเป็นน้ําและแตกได้ และส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

มักทราบก่อนการตั้งครรภ์ไม่ค่อยแสดงอาการปวดท้องโดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นอาจพบภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์ได้ตรวจครรภ์พบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์คลําท่าทารกได้ยาก

การซักประวัติ โดยเฉพาะประวัติทางนรีเวชมีเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการปวดท้องที่ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก

การตรวจพิเศษ

การตรวจร่างกายคลําพบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์ คลําท่าทารกได้ไม่ชัดเจน

ระยะคลอด

ระยะหลังคลอด

ระยะตั้งครรภ์

แท้งคลอดก่อนกําหนดรกลอกตัวก่อนกําหนด และอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้นนขณะตั้งครรภ์

คลอดยากและมีโอกาสผ่าตัดคลอดคลอดทางหน้าท้อง

การหดรัดตัวกล้ามเนื้อมดลูกภายหลังคลอดไม่ดีตกเลือดหลังคลอดและอาจได้รับการตัดมดลูกได้

ชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัดให้นําส่งตรวจพยาธิวิทยาเพื่อการวินิจฉัยต่อไป

หากก้อนยังใหญ่ไม่มากไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์และการตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด อาจพิจารณาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด

การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopicmyomectomy)ควรทําเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์

การพยาบาลก่อนผ่าตัด

การพยาบาลขณะผ่าตัด

การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล

การดูแลหลังการผ่าตัด

การประเมินทางการพยาบาล

การพยาบาลเมื่อจําหน่ายกลับบ้าน

การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ การฟังเสียง FHR การบันทึกการดิ้นของทารกการตรวจNST

การตรวจร่างกาย

การประเมินการหดรัดตัวของมดลูก

การซําประวัติ

การผ่าตัดในสตรีตั้งครรภ์ย่อมทําให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการตั้งครรภ์และสุขภาพของทารกในครรภ์ พยาบาลผดุงครรภ์ควรให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการผ่าตัด เพื่อลดความกลัวเกี่ยวกับการสูญเสียบุตร

ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยการ On EFM (electro fetal monitor)

เตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด

ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 1-2 ชั่วโมง

ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดําตามแผนการรักษา

ฟัง FHS ทุก 1-2 ชั่วโมง

ดูแลให้ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ

ดูแลให้งดอาหารและน้ําทางปาก

ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา และเตรียมให้ออกซิเจนทันทีระหว่างการผ่าตัดที่พบภาวะ fetal distress

ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยการติดเครื่องEFM ระหว่างการผ่าตัดเพื่อประเมินเสียงหัวใจของทารกที่อาจเกิดภาวะ fetal distress ได้ เนื่องจากมดลูกขาดเลือดไปเลี้ยงขณะผ่าตัด จากการเสียเลือดของมารดารวมถึงประเมินการหดรัดตัวของมดลูกก่อนกําหนด

จัดท่าในการผ่าตัด หากเป็นไปได้ควรจัดท่านอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย กึ่งตะแคงซ้าย โดยระมัดระวังไม่ให้กดทับเส้นเลือด vena cavaทําให้ทารกขาดเลือดและออกซิเจน

เฝ้าระวังภาวะpreterm labor

ประเมินและบันทึกFHS โดยการติดเครื่องEFM อย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังภาวะfetal distress

ให้การพยาบาลเหมือนผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป

ดูแลให้ได้รับยา tocolysis

ประเมินผู้ให้การดูแล (care giver) ตัวของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่จําเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน จึงต้องได้รับการให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติอย่างใกล้ชิดและถูกต้องก่อนกลับบ้าน โดยให้ครอบคลุมเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดการรับประทานอาหารและการเผาผลาญที่อาจได้รับผลกระทบจากการผ่าตัดการประเมินภาวะไข้ และการติดเชื้ออาการและอาการแสดงถึงภาวะแทรกซ้อนของแผลผ่าตัดติดเชื้อ,thrombophlebitis, pneumoniaการมาตรวจตามนัดยาและการรักษาที่ได้รับแหล่งสนับสนุนที่สามารถช่วยเหลือเมื่อฉุกเฉินหากการตั้งครรภ์ยังสามารถดําเนินต่อไปได้ ควรให้คําแนะนําเกี่ยวกับการนับลูกดิ้นอาการและอาการแสดงของการคลอดก่อนกําหนด

ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์

พยาธิวิทยา

ชนิดของการบาดเจ็บที่พบระหว่างการตั้งครรภ์

การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการบาดเจ็บ

อุบัติการณ์

พบร้อยละ 7 ของการตั้งครรภ์ และพบภาวะแทรกซ้อนคือการบาดเจ็บทางร่างกาย โดยเฉพาะเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นก็ยิ่งพบว่ามีความเสี่ยงในการบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะไตรมาสที่สามพบการเกิดการบาดเจ็บมากกว่าไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ โดยร้อยละ 10 พบว่าเป็นการบาดเจ็บในไตรมาสแรกและร้อยละ 40 พบในไตรมาสที่สอง และร้อยละ 50 พบในไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์

อุบัติการณ์ของปัญหาความรุนแรงกับสตรีที่สูงขึ้น ทําให้พบการบาดเจ็บจากความรุนแรงได้บ่อยขึ้นในขณะตั้งครรภ์ถึงร้อยละ 17 (1 ใน 6คน) ของสตรีตั้งครรภ์วัยผู้ใหญ่ ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายและทางเพศขณะตั้งครรภ์

อุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์ การหกล้มและกระแทก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการตายของมารดาขณะตั้งครรภ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางสูติศาสตร์ โดยสาเหตุการตายส่วนใหญ่มาจากการบาดเจ็บของศีรษะ (head injury) และภาวะช็อกจากการตกเลือด

มักพบว่ามีความเสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด รกลอกตัวก่อนกําหนด มดลูกแตก ทารกในครรภ์ได้รับบาดเจ็บ ทารกตายในครรภ์ ทารกตายคลอด

การได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะของมารดา (head injury) จะทําให้มีการฉีกขาดของหลอดเลือดดํา ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญของการตายของมารดาทําให้มีการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ตามมาซึ่งจะพบว่าทารกมักเสียชีวิตจากการแตกของกะโหลกศีรษะ (skull fracture with subsequent intracranial hemorrhage)

การตกเลือดในช่องท้องและอวัยวะสืบพันธุ์ (retroperitoneal hemorrhage) จากการกระทบกระเทือนของช่องท้องส่วนล่างและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ โดยอาจพบการแตกหรือฉีกขาดของตับ ม้าม และไต

Pelvic fracture อาจพบภาวะของ bladder trauma, retroperitoneal bleeding, ข้อต่อบริเวณกระดูกเชิงกราน กระดูกsymphysis pubis อาจพบว่าแตกหรือเคลื่อนได้ และการประเมินต้องเฝ้าระวังการเกิดภาวะ internal hemorrhage

Uterine rupture เกิดการฉีกขาด หรือแตก ขณะได้รับบาดเจ็บ พบได้ร้อยละ 0.6 ของการตั้งครรภ์ ภาวะมดลูกแตกนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

Abruptio placenta ภายในเวลา 48 ชม. หลังการบาดเจ็บ มักพบการลอกตัวของรก โดยการลอกตัวของรกเกิดจากสาเหตุของการเสียรูปร่างของ elastic myometrium รอบๆ บริเวณที่รกเกาะตัวอยู่ จากการเพิ่มแรงดันที่เกิดจากการกระแทกในมดลูกทําให้มีการลอกตัวของ decidua basalis

Minor trauma

Major trauma

Immediate care

การช่วยฟื้นคืนชีพควรช่วยชีวิตมารดาเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากสามารถช่วยชีวิตแม่ได้แล้ว จึงให้การดูแลทารกในครรภ์ต่อไป ทั้งนี้อัตราการอยู่รอดของทารกในครรภ์จะขึ้นอยู่กับการรอดชีวิตของมารดาด้วย

ทีมให้การพยาบาลต้องทําการประเมินอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพต้องสามารถประเมินระดับและความเสี่ยงของการตั้งครรภ์

การพยาบาลควรคํานึงถึงการตั้งครรภ์ร่วมกับการรักษา ตั้งแต่การประเมินและวินิจฉัย การให้ยา และการช่วยฟื้นคืนชีพ

FHR เปลี่ยนแปลง

Fetal activity หายหรือลดลง

Hypovolemia

Leakage of amnioticfluid

Abdominal tenderness, abdominal pain or cramps

พบ fetal cell ใน maternalcirculation

Bleeding/vg., uterine irritability

กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ พยาบาลผดุงครรภ์และพยาบาลเด็กควรประสานงานและทํางานแบบสหวิชาชีพ ร่วมกับแพทย์หลายสาขา และทําหน้าที่ในการดูแลสนับสนุนทางอารมณ์เนื่องจากอาจมีบุคคลในครอบครัวที่ได้รับอุบัติเหตุเช่นกันและอาจอยู่ในขั้นวิกฤตและเสียชีวิต

การจําหน่ายสตรีตั้งครรภ์เพื่อกลับบ้าน ควรสอนเกี่ยวกับ

ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพสําเร็จ ควรมีการประเมินสภาพร่างกายทั่วไปตามระบบต่างๆ ว่าอยู่ในสภาพปกติหรือไม่โดยจะประเมินและแก้ไขปัญหาตามตารางที่ 1ทีมในการรักษาพยาบาลควรจะประกอบไปด้วย

ให้การดูแลตามกระบวนการเศร้าโศกและสูญเสีย (Grief and loss support)

ในการช่วยฟื้นคืนชีพแบบ ABCs ควรประเมินแบบ systematic evaluation ก่อนให้การดูแล

ทีมวิสัญญี (Anesthesia) ประกอบด้วย วิสัญญีแพทย์ (หากมี) หรือวิสัญญีพยาบาล และผู้ช่วยวิสัญญี

ทีมดูแลทารกในครรภ์(Neonatology) ประกอบด้วยพยาบาลทารกแรกเกิดหนัก กุมารแพทย์และวิสัญญีกุมารแพทย์

ทีมสูติกรรม (Obstetrics) ประกอบด้วยพยาบาลผดุงครรภ์และสูติแพทย์

Signs and symptom of preterm labor

Signs and symptom PROM

การดิ้นของทารกในครรภ์

Signs and symptom placenta abrubtion

การสังเกตอาการเลือดออกหรือมีสารคัดหลั่งออกจากแผล

หากการบาดเจ็บเกิดจากอุบัติเหตุ ควรแนะนําการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกต้องสําหรับสตรีตั้งครรภ์คือสายคาดต้องคาดผ่านกระดูกซี่โครงด้านข้างและอยู่เหนือสะโพกหรือต้นขา ไม่คาดผ่านหน้าท้อง

หากเกิดจากการถูกกระทําความรุนแรงควรแนะนําเกี่ยวกับวงจรการเกิดความรุนแรง แนะนําแหล่งช่วยเหลือเมื่อฉุกเฉิน

การตอบสนองขั้นต่อมา (Subsequent responders)

ค้นหาและดูแลรักษาปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น(BEAU-CHOPS)

การตอบสนองขั้นแรก (First responder)

บันทึกเวลาที่เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น

จัดท่านอน supine

แจ้ง maternal cardiac arrest team

เริ่มทําการ chest compressions วางมือไว้เหนือกระดูก sternum โดยตําแหน่งที่วางจะสูงกว่าในคนปกติเล็กน้อย)หากไม่มีการตอบสนองให้ทําตามกระบวนการต่อไปทันที

การปฏิบัติการพยาบาลทางสูติศาสตร์ (Obstetric interventions)

การเตรียมพร้อมเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกรณีฉุกเฉิน

การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมารดา (maternal interventions)

ดูแลและประเมินให้กระบวนการ CPR มีคุณภาพ

ให้ IV fluid เหนือ diaphargm

ดูแลให้ได้รับการติด Monitor waveform capnography

ประเมินภาวะ Hypovolemia และดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา

ดูแลให้ได้รับ 100% oxygen ทางท่อทางเดินหายใจ

ดูแลและจัดการให้ท่อทางเดินหายใจโล่ง ไม่อุดกั้นตลอดกระบวนการช่วยคืนชีพ

ดูแลให้ได้รับชนิดยา ขนาด ปริมาณและวิถีทางที่ให้ยาให้ถูกต้

กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ได้รับ MgSo4 ทางหลอดเลือดดํา ให้ทําการหยุดทันที และให้ Calcium chloride 10 ml ใน 10% solution, หรือให้ calcium gluconate 30 ml. ใน 10% solution

ดูแลและช่วยเหลือในการช็อคไฟฟ้า (defibrillation) ทันที

ระหว่างและหลังการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ดูแลและให้การพยาบาลอย่างต่อเนื่องทั้งหมดตามหลักของการช่วยฟื้นคืนชีพต่อจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ (CPR, positioning, defibrillation, drugs, and fluids)

นวดหัวใจด้วยมือ โดยจัดให้มดลูกเลื่อนขึ้นไปด้านบนซ้ายของลําตัว(left uterine displacement (LUD) เพื่อลดการกดทับหลอดเลือด aortocaval

ถอด internal และ externalfetal monitors ออกก่อน (หากมี)

ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพไปแล้วเป็นเวลา 4 นาที และไม่พบสัญญาณชีพปรากฏ ให้ทําการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที

ตั้งเป้าหมายให้คลอดภายใน 5 นาที นับจากเวลาที่เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ

Cardiac disease (MI/ischemia/aortic dissection/cardiomyopathy)

Hypertension/preeclampsia/eclampsia

Uterine atony

Other: differential diagnosis of standard guidelines, accident, abuse

Anesthetic complications

Placenta abruptio/previa

Embolism: coronary/pulmonary/amniotic fluid embolis

Sepsis

Bleeding/DIC/accident