Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ, image, image,…
การพยาบาลเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
ช่องทางในการติดเชื้อ
ระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ผิวหนัง
ระบบทางเดินอาหาร
ปาก
ทางออกของเชื้อโรคในการแพร่กระจาย
ทางเดินปัสสาวะ
อวัยวะสืบพันธุ์
ทางเดินอาหาร
เลิอด
ทางเดินหายใจ
ผิวหนัง
สิ่งที่นำเชื้อ
อาหารและน้ำ
สัมผัสโดยตรงกับคน
อากาศ
วัตถุต่างๆ
แมลงและสัตว์
บุคคลที่มีเชื้อ
วิธีการแพร่กระจายเชื้อ
Air bone transmission
transmissionเป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
Common Vehicle transmission
transmissionเป็นการแพร่กระจายเชื้อ จากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร น้า ยา สารน้าที่ให้แก่ผู้ป่วย
Vectorborne
transmissiontransmissionเป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยแมลง หรือสัตว์นาโรค
Contact transmission
1) Direct contact เป็นการแพร่กระจายเชื้อจากคนสู่คน (person to person spread)
2) Indirect contact เป็นการสัมผัสสิ่งของหรืออุปกรณ์การแพทย์ที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่เป็นการที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางตัวกลาง
3) Droplet spread เกิดจากการสัมผัสกับฝอย ละอองน้ามูก น้าลาย
ความไวของแต่ละบุคคลในการรับการติดเชื้อ
ภาวะโภชนาการ
อ่อนเพลีย
ความเครียด
เป็นภูมิแพ้
ภาวะปลอดเชื้อและเทคนิคปลอดเชื้อ
ภาวะปลอดเชื้อหรือการกีดกั้นเชื้อ (
Asepsis
) หมายถึงการปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่จะเกิดกับเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม เป็นการวางกลยุทธ์ในการควบคุมการติดเชื้อ ลดแหล่งของเชื้อโรคและการแพร่กระจายเชื้อ
เทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic technique)
การกีดกั้นเชื้อชนิดไม่เคร่งครัด (Medical asepsis)
เทคนิคการทาให้สะอาด(Clean technique)
การแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อด้วยวิธีการแยกเฉพาะ (Isolation technique)
การกีดกั้นเชื้อชนิดเคร่งครัด (Surgical asepsis)
ทคนิคการทาให้สะอาด การใส่ถุงมือ (gloves) เสื้อคลุม (gown) ที่นึ่งแล้ว
การใช้ปากคีบที่ทาให้ไร้เชื้อหยิบเครื่องมือเครื่องใช้ที่สะอาดปราศจากเชื้อ
เทคนิคปราศจากเชื้อ (Sterile technique)
เครื่องมือเครื่องใช้ปราศจากเชื้อ (sterile)
ความหมายของคำศัพท์
Contamination : การสัมผัส ปนเปื้อนเชื้อโรค
Disinfection หมายถึง ขบวนการทำลายเชื้อโรคแต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ได้ วิธีทำลายเชื้อโรคแบบนี้เช่น การต้ม การแช่น้ำยา
Sterile : สิ่งของหรือเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อโรค รวมทั้งชนิดที่มีสปอร์
Disinfectant หมายถึง สารเคมีหรือน้ำยาที่ใช้ทำลายจุลินทรีย์ แต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ น้ำยานี้จะทาลายเนื้อเยื่อด้วย ฉะนั้นจะใช้กับผิวหนังไม่ได้
Sterilization : ขบวนการทำลายเชื้อโรคทุกชนิด รวมทั้งพวกที่มีสปอร์ให้หมดสิ้นไป
Antisepticsหมายถึง สารเคมีที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
การฆ่าเชื้อและทำให้ปราศจากเชื้อ
semi critical or intermediate items
: เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องสะอาดไม่มีเชื้อโรค ยกเว้นสปอร์ของแบคทีเรีย
critical items
: เครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสกับเยื่อบุ ก่อนใช้ต้องทาให้ปราศจากเชื้อ
non critical items
: เครื่องมือที่สัมผัสกับผิวหนังภายนอก ไม่ได้สัมผัสกับเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย ก่อนใช้ต้องล้างให้สะอาด
การทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้
การต้ม (Boiling)
การต้มเป็นวิธีการทำลายเชื้อที่ดี ง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพดี การต้มเดือดนาน10 นาที จะสามารถทำลายเชื้อได้ยกเว้นสปอร์
ไวรัส HIV องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ต้มเดือดนาน 20 นาที เพื่อให้มั่นใจ
หลักสำคัญในการต้ม
ปิดผาหม้อต้ม เริ่มนับเวลาเมื่อน้ำเดือดเต็มที่
ในขณะต้มต้องไม่เปิดฝาหม้อต้ม เพราะจาทำให้อุณหภูมิภายในหม้อต้มลดลง และต้องไม่เพิ่มสิ่งของอื่นลงไป เมื่อของที่ต้มอยู่ยังต้มไม่ครบ 15
หรือ 20 นาที
เครื่องมือเครื่องใช้ที่มีน้ำหนักเบา ควรใช้ของที่มีน้ำหนักทับเพื่อให้จมอยู่ใต้น้ำ เช่นท่อพลาสติกแข็ง เป็นต้น
เมื่อครบกำหนดให้เก็บของที่ต้มแล้วลงในภาชนะที่ปราศจากเชื้อหรือสะอาดมีฝาปิดมิดชิด
น้ำต้องท่วมของทุกชิ้นอย่างน้อย 1 นิ้ว
การใช้สารเคมี (Chemical)
Disinfectant
หมายถึง สารเคมีหรือน้ำยาที่ใช้ทำลายจุลินทรีย์ แต่ไม่สามารถทำลายชนิดที่มีสปอร์ น้ำยานี้จะทำลายเนื้อเยื่อด้วย ฉะนั้นจะใช้กับผิวหนังไม่ได้
Antiseptics
หมายถึง สารเคมีที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ สามารถใช้กับสิ่งมีชีวิตได้ปลอดภัย
น้ำยาที่ใช้ในการทำลายเชื้อ
อัลดีฮัยด์(Aldehydes)
ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา ในเวลา 10 นาที
ทำลายสปอร์แบคทีเรียได้ใน10 ชั่วโมง
ราคาแพง
ระคายเคืองผิวหนัง
ไดกัวไนด์(Diguanide)
สารที่ใช้คือ chlorhexidine
ถ้าความเข้มข้นต่ำกว่า 0.2 % ไม่สามารถทำลายแบคทีเรียแกรมบวก เชื้อไวรัส เชื้อรา และสปอร์ของแบคทีเรียได้
แอลกอฮอล์ (Alcohols)
ทำลายเชื้อได้ดีแต่ไม่ทำลายสปอร์ อาจทำให้เครื่องมือโลหะเกิดสนิท
น้ายาที่ฟีนอล (Phenols)
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อวัณโรค เชื้อรา ยกเว้นเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และสปอร์ของแบคทีเรีย
ไม่ควรใช้กับทารกแรกเกิด บริเวณที่เตรียมอาหาร
ฮัยโดเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen)
สามารถทำลายเชื้อโรครวมทั้งไวรัสโดยใช้ Hydrogen peroxide 6 % นาน 30 นาที
ฮาโลเจน (Halogens)
สามารถทำลายเชื้อโรคได้ต่างกัน
ตามความเข้มข้นของน้ำยา
กลิ่นเหม็น โลหะเป็นสนิม ระเหยง่าย ต้องเก็บในภาชนะทึบแสง ห้ามผสมกับ กรด และฟอร์มาลิน
Quartemary Ammonium Compounds (QACs)
มีฤทธิ์ทาลายเชื้อน้อย เช่น Benzalkonium chloride เป็นส่วนประกอบใน savlon
การล้าง (Cleansing)
การล้างเป็นขั้นแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำลายเชื้อในขั้นต่อไปสิ่งของที่ปนเปื้อนมากๆ น้ำยาไม่สามารถทำลายเชื้อได้ หากไม่มีการล้าง
วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นการลดสิ่งปนเปื้อนที่ติดอยู่บนผิวของเครื่องมือ
ความสกปรกที่ติดแน่นบางอย่างไม่สามารถจะหลุดได้
เพื่อลดจานวนเชื้อโรคบนเครื่องมือให้เหลือปริมาณน้อยที่สุด
ช่วยลดอันตรายในการหยิบจับอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่เป็นเบื้องต้น
การทำให้ปราศจากโรค
วิธีทางกายภาพ
Dry heat or hot air sterilization
สามารถทำลายเชื้อโดยใช้ความร้อนแห้งที่อุณหภูมิ 165-170 องศาเซลเซียส ระยะเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง การใช้ความร้อนแห้งนี้เหมาะสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นของมีคม ไม่ทำให้ของเสียคม ใช้สำหรับเครื่องแก้วที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ
Steam under pressure
เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เชื่อถือได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการฆ่าเชื้อและสปอร์ของเชื้อ เครื่องมือเครื่องใช้ที่สามารถทำให้ปราศจากเชื้อด้วยวิธีนี้ ได้แก่ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทนความร้อนและความชื้น มีผิวเรียบแข็ง เช่น เครื่องมือผ่าตัด ภาชนะที่ทำด้วยสแตนเลสวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทนความร้อนสูงไม่ได้อุณหภูมิที่ใช้ในการทำให้ปราศจากเชื้ออยู่ระหว่าง 121-123 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดัน 15-17 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว โดยใช้เวลานาน 15-45 นาที
Radiation
เป็นการใช้แสงอัลตราไวโอเลตซึ่งเป็นแสงสีม่วง สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสบางชนิด แต่ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสเอดส์ในแสงแดดมีแสงอัลตราไวโอเลตอยู่ ดังนั้นในกรณีเชื้อวัณโรคเมื่อถูกแสงแดดจะถูกทาลายภายใน 1-2 ชั่วโมง
วิธีทางเคมี
การใช้ 2 % Glutaradehyde
ทำลายเชื้อและสปอร์ของแบคทีเรีย เป็นสารที่ไม่ทำลายยางหรือพลาสติกและไม่ทำให้เกิดสนิมใช้แช่เครื่องมือเครื่องใช้นาน 3-10 ชั่วโมง เพื่อให้ปราศจากเชื้อ
การใช้ Peracetic acid
เป็นส่วนผสมระหว่าง acetic acid กับ hydrogen peroxide มีคุณสมบัติในการกัดกร่อนสูง แต่ต้องละลายในน้ำอุ่น เครื่องมือเครื่องใช้ที่แช่ใน Peracetic Acid Acid เพื่อทำให้ปลอดเชื้อจะต้องใช้เวลารวดเร็วคือ 35-40 นาที ที่อุณหภูมิ 50-55 องศาเซลเซียส
การใช้ก๊าซ Ethylene oxide
เป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติทำลายเชื้อสูง สามารถทำลายได้ทั้งไวรัส แบคทีเรียรวมทั้งสปอร์ของแบคทีเรีย นิยมใช้ทำให้ปราศจากเชื้อในเครื่องมือเครื่องใช้ที่ไม่สามารถทนความร้อนและความชื้นได้ เช่น พลาสติกโพลีแอทธีลิน เป็นต้น ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเครื่องมือเครื่องใช้อบก๊าซไว้ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง
การหยิบจับของปราศจากเชื้อ
ของที่ปราศจากเชื้อจะอยู่ในภาชนะที่มีฝาปิดหรือในห่อ เช่น หม้อนึ่งลาสี ก๊อส หรือถาดแช่เครื่องมือที่มีฝาปิดเมื่อจะหยิบจับของเหล่านี้ไปใช้ จะต้องรักษาของที่หยิบและของที่เหลือให้ปราศจากเชื้อโดยใช้ปากคีบ ที่มีลักษณะยาวและแช่อยู่ในกระปุกที่แช่น้ำยา(Transfer forceps) หยิบ
หลักพื้นฐานของภาวะปราศจากเชื้อ
1. ดูแลให้ของปลอดเชื้อนั้นคงความปลอดเชื้อ
1.1 ปากคีบปลอดเชื้อ (Transfer forceps) ใช้สำหรับหยิบจับ เคลื่อนย้ายของปลอดเชื้อต้องสะอาดและคงความปลอดเชื้อตลอดเวลา
1.2การเทน้ำยาปลอดเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% ให้ถือขวดน้ำยาสูงกว่าภาชนะปลอดเชื้อประมาณ 6 นิ้ว ปากขวดต้องไม่สัมผัสกับของใช้หรือภาชนะรองรับ ระวังน้ำยากระเด็นทำให้เกิดการปนเปื้อน
1.3หลีกเลี่ยงการทำน้ายาหกเปื้อนผ้า ห่อของปลอดเชื้อ จะทำให้อุปกรณ์ที่อยู่ในผ้าห่อเกิดการปนเปื้อน
1.4หลีกเลี่ยงการพูดคุย ไอ จาม หรือข้ามกรายของปลอดเชื้อ เพราะเชื้อโรคมีโอกาสแพร่กระจายไปตามละอองอากาศ
1.5 อุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิดที่จะสอด / ใส่ผ่านผิวหนังเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยจะต้องปลอดเชื้อ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดยา ผ้าปิดแผล สายสวนปัสสาวะ
1.6 การเทน้ำยาหรือวางของปลอดเชื้อไม่ควรชิดขอบด้านนอกของภาชนะหรือผ้าห่อของปลอดเชื้อ ให้วางห่างจากขอบนอกของภาชนะหรือผ้าห่อของปลอดเชื้อถัดเข้ามาประมาณ 1นิ้ว
1.7 การเปิดห่อผ้าของปลอดเชื้อให้จับมุมบนสุดของผ้าเปิดไปทางด้านตรงกันข้ามกับผู้ทำ ต่อมาเปิด 2 มุมผ้าด้านข้าง ซ้าย-ขวาก่อน สุดท้ายจึงจับมุมผ้าด้านในสุดของห่อผ้าเปิดออกโดยไม่ข้ามกรายของปลอดเชื้อ หากเป็นห่อสาเร็จรูป ใช้มือทั้งสองข้างฉีกห่อสาเร็จรูปแยกออกจากกันโดยไม่สัมผัสด้านในของห่อปลอดเชื้อ
หากของปลอดเชื้อสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ปลอดเชื้อให้ถือว่าของนั้นไม่ปลอดเชื้อ หรือเกิดการปนเปื้อนขึ้น เรียกว่า
contamination
2.1 ใช้ปากคีบปลอดเชื้อในการหยิบของปลอดเชื้อ ไม่ใช้ปากคีบที่ไม่ปลอดเชื้อหรือผ่านการใช้งานแล้วหยิบของปลอดเชื้อ
2.2 หากหยิบจับของปลอดเชื้อด้วยมือ หรืออุปกรณ์ที่ไม่ปลอดเชื้อ จะถือว่าเครื่องมือเครื่องใช้นั้นเกิดการปนเปื้อน
2.3 การใช้ปากคีบหยิบจับของปลอดเชื้อไม่ควรใช้ปากคีบหยิบบริเวณขอบของภาชนะ หรือใช้ปากคีบเปิดผ้าห่อของปลอดเชื้อ เพราะบริเวณเหล่านี้มีโอกาสเกิดการปนเปื้อน
2.4 ของปลอดเชื้อที่มีรอยฉีกขาด รอยเปิดสัมผัสกับภายนอก ถือว่าไม่ปลอดเชื้อ
2.5 ดูแลให้ของปลอดเชื้อสัมผัสกับอากาศน้อยที่สุด หากเปิดใช้ต้องรีบปิดทันที
2.6ห่อของปลอดเชื้อที่เปิดใช้แล้ว แสดงว่าเกิดการปนเปื้อน ไม่นำไปรวมกับของปลอดเชื้อ
3. ของปลอดเชื้อต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวและอยู่ในสายต
3.2 เมื่อเปิดของปลอดเชื้อแล้ว ไม่ละทิ้งหรือหันหลังให้ของปลอดเชื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการปนเปื้อนเกิดขึ้นจากการวางของนั้นนอกสายตา
3.3 หากผู้ปฏิบัติเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจเกี่ยวกับความปลอดเชื้อกับของใช้นั้น ต้องเปลี่ยนของนั้นใหม่ทันที
3.1 การถือของปลอดเชื้อหรือบริเวณที่วางของปลอดเชื้อจะต้องอยู่สูงกว่าระดับเอวเพื่อให้แน่ใจว่าของปลอดเชื้อนั้นอยู่ในสายตา ลดโอกาสเกิดการปนเปื้อน
การล้างมือ(Hand washing)
การล้างมือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดการติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง สามารถทำได้ง่ายและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด การล้างมือควรกระทำก่อนที่จะปฏิบัติการพยาบาลและหลังการพยาบาลผู้ป่วยหลังสัมผัสอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สกปรก
การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล (Alcohol hand rub)
ในกรณีรีบด่วน ไม่สะดวกในการล้างมือด้วยน้ำ และมือไม่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยให้ทำความสะอาดมือด้วย แอลกอฮอล์เจลซึ่งมีน้ำยา alcohol 70 % หรือ alcohol 70 ผสม chlorhexidine 0.5% ซึ่งมีลักษณะเป็นเจล (gel)
ประมาณ 15-25วินาที แต่หากต้องการให้เกิดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสต้องใช้เวลาในการฟอกนาน 30วินาที
การล้างมือแบบธรรมดา
(Normal NormalหรือSocial hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อสุขภาพอนามัยทั่วไป เช่น เมื่อมือเปื้อนหรือก่อนสัมผัสผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ การฟอกมือนานอย่างน้อย15 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซับให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือหรือผ้าเช็ดมือที่แห้งและสะอาด
การล้างมือก่อนปฏิบัติการพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ และภายหลัง (Hygienic hand washing)
ฟอกอย่างทั่วถึงตามขั้นตอนเหมือนการล้างมือแบบธรรมดาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วินาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าแห้งที่สะอาด
การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อหัตถการการทาคลอดที่ต้องป้องกันการติดเชื้อให้ล้างมือด้วยสบู่เหลวทำลายเชื้อ เช่น chlorhexidine
4 % และใช้แปรงที่ปราศจากเชื้อแปรงมือและเล็บในครั้งแรกของวันนั้นๆ
การใส่ถุงมือ (Glove)
ถุงมือจะช่วยป้องกันการติดต่อของเชื้อโรคทั้งทางตรงและทางอ้อมศูนย์ควบคุมโรคติดต่อได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการใส่ถุงมือไว้ 3 ประการคือ
2). ป้องกันและควบคุมเชื้อโรคจากผู้อื่นไปสู่ผู้ป่วย
3). ป้องกันและควบคุมผู้สัมผัสเชื้อเป็นพาหะนาเชื้อไปสู่ผู้อื่น
1). ป้องกันและควบคุมเชื้อโรคจากตัวเราไปสู่ตัวผู้ป่วย จากผู้ป่วยไปสู่บุคคลอื่น
ถุงมือปลอดเชื้อ
(Sterile Gloves)
1) หยิบจับของปลอดเชื้อ
2) ทาหัตถการต่างๆ เช่นการผ่าตัด
3) ป้องกันการติดเชื้อไปยังผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ถุงมือสะอาดหรือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง
(Clean, Disposable Gloves)
1) ป้องกันสิ่งสกปรกสัมผัสมือ เช่น เมื่อมีโอกาสสัมผัสเลือด สารน้ำ สารคัดหลั่ง อุจจาระ และปัสสาวะของผู้ป่วย เป็นต้น
2). เมื่อต้องการเคลื่อนย้ายเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่ผ่านการใช้งานแล้วหรือระหว่างให้การพยาบาลผู้ป่วย
การใช้ผ้าปิดปาก จมูก (Mask)
การใช้ผ้าปิดปาก จมูกจะช่วยป้องกันการได้รับเชื้อโรคจากผู้ป่วยเข้าสู่ทางเดินหายใจ และเป็นการป้องกันผู้ป่วยได้รับเชื้อจากผู้อื่นเข้าสู่ทางเดินหายใจตลอดจนสามารถป้องกันฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศได้ด้วย
การใส่เสื้อกาวน์ (Gown)
การใส่เสื้อกาวน์จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ เสื้อกาวน์ โดยทั่วไปจะเปิดด้านหลังและมีเชือกสำหรับผูกที่คอและเอว เสื้อควรจะใหญ่และยาวเล็กน้อยเพียงพอที่จะคลุมชุดเครื่องแบบได้มิดชิด แขนยาว ควรเปลี่ยนเสื้อกาวน์ทุกเวร
การป้องกันการติดเชื้อแบบมาตรฐาน (Standard precaution)
เป็นการระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อโรคที่ใช้กับผู้ป่วยทุกคนโดยไม่คานึงถึงการวินิจฉัยโรค และชนิดของชิ้นเนื้อทั้งผู้ป่วยที่ทราบและไม่ทราบว่าติดเชื้อหรือไม่ เป็นการป้องกันอันดับแรกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ โดยระมัดระวังเลือด สารคัดหลั่ง น้ำในร่างกาย
ช่องทางการแพร่กระจาย
Droplet Precautions
(การติดเชื้อที่แพร่กระจายได้ทางละอองในอากาศ)
3 . สวมถุงมือชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย
ล้างมือแบบ hygienic handwashing หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิด N 95
ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดาตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหารและแปรงฟัน
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกและปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ถ้าต้องมีความจำเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอก ห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดธรรมดา
Airborne Precautions
(การติดเชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศ)
3.ล้างมือแบบ
hygienic handwashing
หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
สวมถุงมือชนิดใช้ครั้ง เดียวทิ้ง ทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิด N 95
5.ให้ผู้ป่วยใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม และใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิดธรรมดาตลอดเวลา ยกเว้นเวลารับประทานอาหารและแปรงฟัน
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกพิเศษ และปิดประตูทุกคครั้ง หลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ถ้าต้องมีความจาเป็นในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอก ห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดธรรมดา
Contact Precautions
(การติดเชื้อที่แพร่กระจายได้จากการสัมผัส)
สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสผู้ป่วยทั้งบุคลากรและญาติ
ล้างมือแบบ
hygienic handwashing
หลังถอดถุงมือและก่อนออกจากห้องแยก
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยกและปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
เทคนิคการแยก (Isolation Technique)
คือ วิธีในการแยกผู้ป่วยเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากผู้ป่วยไปสู่บุคคลอื่น หรือจากบุคคลอื่นไปสู่ผู้ป่วย ป้องกันการแพร่กระจายโรคติดต่อ และ ป้องกันการติดโรคจากผู้ป่วย
จำแนกเป็น 7 แบบ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางบาดแผลและผิวหนัง
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและติดต่อง่าย
การแยกผู้ป่วยในรายที่เป็นโรคติดต่อทางเลือด และน้าเหลือง
การแยกผู้ป่วยในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อ
การแยกผู้ป่วยในรายที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง