Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความต้องการด้านการหายใจ - Coggle Diagram
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความต้องการด้านการหายใจ
บทนำ
โครงสร้างและหน้าที่ของระบบหายใจ
การหายใจ (respiration) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งก๊าซออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ ของร่างกาย เพื่อนำไปใช้ในการสร้างพลังงานและนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเนื้อเยื่อ
อวัยวะในระบบหายใจ มี 2 ส่วนสำคัญ
ท่อทางเดินอากาศ
ถุงลมปอด
ระบบหายใจแบ่งตามโครงสร้าง
ระบบหายใจส่วนบน (upper respiratory tract)
จมูก
คอหอย
กล่องเสียง
ระบบหายใจส่วนล่าง (lower respiratory tract)
หลอดลมใหญ่ หรือหลอดลมคอ (trachea)
หลอดลมเล็ก หรือหลอดลมแยก (bronchi)
ถุง ลมปอด (alveolus)
ระบบหายใจแบ่งตามหน้าที่
ส่วนท่อทางเดินอากาศ (conducting division)
เริ่มตั้งแต่โพรงจมูกจนถึงหลอดลมฝอยส่วนปลาย อากาศที่ไหลผ่านไปมาในท่อทางเดินหายใจกับเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงโดยรอบ ปริมาตรท่อทางเดินอากาศใน ส่วนนี้จึงถึงเรียกว่า anatomic dead space
ผนังท่อทางเดินหายใจส่วนนี้ประกอบด้วย เซลล์เยื่อบุ ซึ่งมีเซลล์ ขนกวัด (cilia) จำนวนมากปกคลุมอยู่ นอกจากนี้ยังมีต่อมและเซลล์สร้างมูก (globlet cells and mucus glands) ทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่ง (mucus) แทรกอยู่ หากมีการระคายเคืองหรือการอักเสบ จะมีการสร้าง สารคัดหลั่งเพิ่มขึ้น
ถ้าการระคายเคืองหรือ การอักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดสารคัดหลั่งจำนวนมากจนทำให้เกิดการอุดตันขึ้นในท่อทางเดินอากาศได้ หากเซลล์ ขนกวัดไม่สามารถพัดโบกจะทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบหายใจได้ง่ายขึ้น ส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ (respiratory division)
ถุงลมประกอบด้วย เซลล์เยื่อบุชั้นเดียว นอกจากนี้ที่ผิวของเซลล์เยื่อบุถุงลมยังมีแมคโครฟาจ (macrophage) ทำหน้าที่กิน (phagocyte) สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในถุงลม
กลไกการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมของระบบหายใจ
ร่างกายมีระบบป้องกันและวิธีกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาด ใหญ่จะถูกดักหรือกรองที่บริเวณจมูก ส่วนที่มีขนาดเล็กซึ่งผ่านเข้าทางเดินหายใจจะถูกกำจัดโดยเซลล์สร้างมูก ซึ่งแทรกอยู่ระหว่างเซลล์บุผิว จะทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งมีลักษณะเหนียว คอยดักจับสิ่งแปลกปลอม
lamina propria มี submucosal gland ทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งที่มีลักษณะใสกว่า เรียกว่า sol layer ซึ่งทำให้เซลล์ขนกวัดที่เซลล์บุผิวเคลื่อนไหวได้สะดวก โดยจะพัดโบกให้เสมหะเคลื่อนตัวขึ้นจนถึงลำคอ เสมหะอาจถูกขับออกจากร่างกายโดยกลไกการไอ หรือ อาจถูกกลืนลงกระเพาะอาหาร
ความสำคัญของก๊าซออกซิเจน
มนุษย์ต้องการก๊าซออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิต
ก๊าศออกซิเจน เข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจเข้าไปด้วยการทำงานของกลไกของระบบประสาทและระบบสารเคมี
ถ้า ร่างกายมีภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (Hypoxemia) หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยการให้ก๊าซออกซิเจนมีผลให้ เซลล์พร่องก๊าซออกซิเจน (Hypoxia) การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปอดส่งผล กระตุ้นการทำงานของศูนย์ควบคุมการหายใจเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหายใจทำงานมากขึ้น ก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยง เนื้อเยื่อต่างๆลดลง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานเพิ่มขึ้น อวัยวะที่มีผลก่อนคือสมองเพราะทนต่อการขาดก๊าซ ออกซิเจนได้น้อย สมองขาดก๊าซออกซิเจน 7 – 10 นาที สมองจะถูกทำลายจนไม่สามารถคืนสู่ปกติได้อีก
หากเซลล์ร่างกายพร่องก๊าซออกซิเจนอย่างรุนแรงจนเซลล์ขาดก๊าซออกซิเจน (Anoxia) อัตราเมตาบอลิทึมของ เซลล์ลดลง เซลล์เริ่มตาย
ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย
หลักการให้ออกซิเจนบำบัด
ถ้าเกิดความผิดปกติ ของกระบวนการขนส่งออกซิเจน จะเกิด ภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัย การรักษา และการพยาบาลอย่างถูกต้อง จะทำให้เกิดผลเสียถึง แก่ชีวิตได้
การให้ออกซิเจนบำบัดจะใช้เมื่อผู้ป่วยมีความจำเป็นเท่านั้น โดยการให้ออกซิเจนเพื่อการบำบัดมี เป้าหมาย ดังนี้
แก้ไขภาวะ hypoxemia
การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะ severe hypoxemia
การให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วยที่มีการหายใจเหนื่อย จำเป็นต้องหายใจรับออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิต โดยปกติเราหายใจรับอากาศที่มีออกซิเจน 21% เมื่อสมองขาดออกซิเจน 7-10 นาที จะถูกทำลายจนไม่สามารถคืนสู่ปกติได้อีก
คำศัพท์ที่ต้องรู้
ภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (Hypoxemia): ภาวะที่ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ
เซลล์พร่องออกซิเจน (Hypoxia): ภาวะที่เนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความ ต้องการ (ขาดออกซิเจน) ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจะทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน (Anoxia)
หลักการให้ออกซิเจน
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งอยู่เสมอ
รักษาความสะอาดของช่องจมูก ช่องปากและท่อทางเดินหายใจ
ออกซิเจนที่ให้ผู้ป่วยโดยวิธีใดก็ตาม จะต้องผ่านน้ำหรือเครื่องทำความชื้นเสมอ
เลือกวิธีการให้ออกซิเจนให้เหมาะสมกับสภาพและวัยของผู้ป่วย
คำนึงถึงด้านจิตใจของผู้ป่วยและญาติ เพราะผู้ป่วยและญาติมักจะตกใจ เมื่อต้องได้รับการ รักษาด้วยออกซิเจน
ตรวจอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการให้ออกซิเจนให้พร้อมใช้
มีออกซิเจนสำรองไว้เพียงพอ ทั้งออกซิเจนจากถัง (Oxygen cylinder or Tanks) และ ออกซิเจนที่ส่งมาตามท่อซึ่งติดอยู่กับผนัง (Pipe in oxygen)
ดูแลให้อัตราการไหลของออกซิเจนเหมาะสมกับแต่ละชนิดของการให้ออกซิเจนและวัยของ ผู้ป่วย
10.ระวังการเกิดอัคคีภัย ห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณที่มีการให้ออกซิเจนเด็ดขาด
หมั่นสังเกตอาการของผู้ป่วย ขณะได้รับออกซิเจนเสมอ เช่น สีผิว การหายใจ ชีพจร ตลอดจนสภาพจิตใจของผู้ป่วย เช่น กลัว ตื่นเต้น
ข้อบ่งชี้การให้ออกซิเจนบำบัด
การประเมินสภาพร่างกาย
ระบบหายใจ
ระยะแรกของเซลล์พร่องก๊าซออกซิเจนอย่างอ่อน ผู้ป่วยจะหายใจไม่สะดวกต้อง นั่งหายใจ กระสับกระส่าย การหายใจไม่สม่ำเสมอ หายใจเข้าลึกกว่าหายใจออก หายใจหอบ หายใจเข้ามีเสียง ดังปีกจมูกบาน การขาดก๊าซออกซิเจนระดับรุนแรงผู้ป่วยจะหยุดหายใจ
ระบบไหลเวียนเลือด
ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังเริ่มซีดเพราะร่างกาย
จะตอบสนองชดเชยโดยหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญขยายตัวเพื่อให้เลือดที่เลี้ยงผิวหนัง ไต ปอด เพราะ ต้องการก๊าซออกซิเจนน้อยกว่าและทนต่อการขาดก๊าซออกซิเจนได้มากกว่า ผิวหนังสีเขียวคล้ำ โดยเห็นชัด บริเวณริมฝีปาก เล็บมือเล็บเท้า
ระบบประสาท
การพร่องก๊าซออกซิเจน
ป่วยอาจมีอาการง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย หงุดหงิด ความดันเลือดแดงลดลง เพ้อ ชัก หมดสติ
การประเมินการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ค่าระดับก๊าซในเลือดแดง (Arterial blood gas = ABG)
ประเมินจากค่าความดันก๊าซ ออกซิเจนในเลือดแดงและความดันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์แลกเปลี่ยนก๊าซ ออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บ่งบอกถึงระดับความรุนแรงของภาวะพร่องก๊าซออกซิเจนในเลือด
ค่าความดันปกติของก๊าซออกซิเจนในเลือดแดง (Pressure of oxygen: PaO2) = 80-100 มิลลิเมตร ปรอท
ค่าความดันปกติของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดง (Pressure of carbon dioxide: PaCO2)= 35 - 45 มิลลิเมตรปรอท
ภาวะหายใจล้มเหลว (respiratory failure)
ภาวะที่ระบบหายใจไม่สามารถ ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
โดยอาจจะทำให้เกิดการลดลงของ ออกซิเจนในเลือด (hypoxemia, PaO2<60mmHg) หรือมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด (hypercapnia, PaCo2>50 & pH<7.3) หรือทั้งสองแบบร่วมกันได้โดยภาวะนี้อาจเกิดแบบฉับพลัน แบบ เรื้อรัง หรือเกิดแบบฉับพลันในผู้ป่วยที่มีภาวะหายใจล้มเหลวแบบเรื้อรังอยู่ก่อน
ค่าเปอร์เซ็นต์การอิ่มตัวของก๊าซออกซิเจนในเลือด (Arterial oxygen saturation)
เครื่องมือ ที่ใช้วัดเรียก Pulse oximetry แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ของฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือด
การแปรผลควรพิจารณา ปริมาณเม็ดเลือดแดงและหรือค่าฮีโมโกลบินร่วมด้วย
ปกติค่าเปอร์เซ็นต์ความอิ่มตัวของก๊าซออกซิเจนในเลือด ไม่ควรต่ำกว่า 95 %
ผู้ป่วยที่มีระดับความอิ่มตัวของก๊าซออกซิเจนในเลือดน้อยกว่า 90% จะมีภาวะขาดก๊าซ ออกซิเจนยกเว้นผู้ป่วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง
ค่าความเข้มข้นหรือสัดส่วนของก๊าซออกซิเจนในลมหายใจเข้า (Fraction of inspired oxygen (FiO2) concentration)
ปกติลมหายใจเข้าประกอบด้วยก๊าซออกซิเจน 21% หรือ FiO2 = 0.21
ที่อุณหภูมิห้องจะมีค่าความดันของก๊าซออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ประมาณ 100 มิลลิเมตรปรอท
ถ้าค่า Fraction of inspired oxygen concentration เพิ่มขึ้น ค่าความดันของก๊าซออกซิเจนในเลือดแดงจะเพิ่มขึ้น
การบำบัดด้วยออกซิเจน (Oxygen therapy)
การเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนในก๊าซที่หายใจเข้า
ปัจจุบันนิยมวัดสัดส่วนของออกซิเจนในก๊าซที่หายใจ เข้าทั้งหมด 1 ส่วน เรียก FiO2 ถ้าก๊าซที่หายใจเข้ามีออกซิเจน 40% เท่ากับมี FiO2 0.4
ถ้าก๊าซที่หายใจเข้ามี ออกซิเจน 21% เท่ากับมี FiO2 0.21
การตรวจหาระดับฮีโมโกลบิน (Haemoglobin, Hb)
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)
ส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ขาดไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อกลับมายังปอด ทั้งยังช่วยรักษารูปร่างของเม็ดเลือดแดงให้ เป็นปกติ
ฮีโมโกลบิน ผิดปกติจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างต่างไปจากเดิม และอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือดได้
การให้ออกซิเจน (Oxygen administration)
เป็นการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจน การใช้และการดูแลอุปกรณ์การให้ออกซิเจน โดยอาการ และอาการแสดงของการขาดออกซิเจนของร่างกาย ดังนี้
ปากและผิวหนังมีคล้ำเขียว (Cyanosis)
หายใจเร็ว เหมือนหอบ หายใจเข้าลึกกว่าหายใจออก ชีพจรเบาเร็ว
ระดับ Oxygen ในหลอดเลือดแดง (PaO2) น้อยกว่า 80 mmHg.
ค่า ออกซิเจนแซททูเรชั่น (Sa O2) ต่ำกว่า 95 %
จุดประสงค์
เพื่อให้เนื้อเยื่อของร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เพื่อลดการใช้พลังงานในการหายใจ
เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
อุปกรณ์
อุปกรณ์ในการให้ออกซิเจนจากถัง ประกอบด้วย
ถังบรรจุออกซิเจน
มาตรวัดความดันของออกซิเจนในถัง
มาตรวัดและควบคุมจำนวนออกซิเจน (Flow meter)
กระบอกใส่น้ำกลั่นปริมาณ 2/3 ของกระบอก สำหรับเพิ่มความชื้นให้ออกซิเจน
ท่อพลาสติกจากกระบอกทำความชื้นไปยังอุปกรณ์ในการให้ออกซิเจน
อุปกรณ์ในการให้ออกซิเจน ที่ส่งผ่านมาตามท่อซึ่งติดฝาผนัง (Pipe in oxygen)
มาตรวัดและควบคุมจำนวนออกซิเจน (Flow meter)
ขวดน้ำหรือกระบอกน้ำ สำหรับเพิ่มความชื้นให้ออกซิเจน (Humidifier) ซึ่ง ปรับได้ 2 แบบ
2.1 แบบปุด (Bubble diffusion humidifier)
ใช้ใน กรณี ต้องการออกซิเจนที่มีอัตราไหลต่ำๆเท่านั้น
ใช้สายออกซิเจนที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ใช้กับ
อุปกรณ์ให้ออกซิเจน เช่น Nasal cannula, O2 mask, O2 hood เป็นต้น
2.2 แบบฝอยละออง (Nebulizer)
ปรับปุ่มควบคุมความชื้นให้เป็นแบบ Jet ออกซิเจนที่ได้จะมีความชื้นสัมพัทธ์สูง
ใช้สายออกซิเจนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.2 เซนติเมตร (Corrugated tube) ใช้ในอุปกรณ์ให้ออกซิเจน เช่น O2 box, T – piece
การปฏิบัติการพยาบาลเพื่อให้ก๊าซออกซิเจน
ป้องกันการเกิดพิษจากก๊าซออกซิเจน (oxygen toxicity)
ให้ O2 ปริมาณถูกต้องตามแผนการ รักษาหากได้รับก๊าซออกซิเจนเป็นเวลานานในขนาดความเข้มข้นสูงจะเกิดพิษจากก๊าซออกซิเจนได้ทำให้เกิด อันตรายต่อเนื้อปอดโดยตรง
ในเด็กเล็กความเป็นพิษจากก๊าซออกซิเจนไม่ได้ขึ้นกับความเข้มข้นอย่างเดียว แต่เกิดจากความไม่ สมดุลระหว่างการผลิตและการทำลาย oxidant ในเซลล์เนื้อเยื่อปอดด้วย ทำให้เกิดการทำลายเซลล์สมองส่วน การมองเห็น (retrolental fibroplasias) ของเด็ก
ป้องกันก๊าซออกซิเจนกดศูนย์หายใจ ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease)
ต้องให้ก๊าซออกซิเจนในความเข้มข้นประมาณ 25–30% หรืออัตราการไหล 1–3 ลิตร/นาทีทาง nasal cannular โดยเฉลี่ย 2 ลิตร/นาทีระดับ PaO2 50–60 มม.ปรอท SpO2 ประมาณ 90 % เพราะการทำงานของร่างกายผู้ป่วยในภาวะปกติมี CO2ในเลือดมากกว่า 55 มม.ปรอท
ป้องกันการติดเชื้อ
อุปกรณ์ที่ให้ก๊าซออกซิเจนต้องสะอาดปราศจากเชื้อ
ป้องกันร่างกายขาดก๊าซออกซิเจนด้วยอุปกรณ์ชนิด mask แบบมีถุง
ต้องเปิดก๊าซออกซิเจนเข้า ถุง 10 – 20 ลิตร/นาทีซึ่งเป็นก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์เมื่อครอบ mask จึงปรับอัตราไหลตามแผนการรักษา
ป้องกันการเกิดไฟไหม้แขวนป้ายห้ามสูบบุหรี่
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ให้เหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน มีประสิทธิภาพดังนี้
6.1 แหล่งของก๊าซออกซิเจนแบ่งได้ 2 แหล่ง
6.1.1. จากระบบจ่ายกลางของโรงพยาบาล (Hospital Center Pipeline)
6.1.2 จากถัง (Oxygen cylinder or tanks)
6.2 อุปกรณ์ปรับอัตราการไหลของก๊าซ (Flow Meter) เป็นอุปกรณ์ควบคุมปริมาณการไหลของก๊าซออกซิเจนให้ตรงตามแผนการรักษา ประกอบด้วย
6.2.1 แกนกลวงมีทั้งชนิดสวมเข้ากับช่องเปิดของก๊าซออกซิเจนจากผนัง / ถัง เพื่อให้ก๊าซออกซิเจนไหลผ่าน
6.2.2 กระเปาะค่าสเกลตัวเลขมีค่าตั้งแต่ 0 – 15 หน่วยเป็นลิตรต่อนาที
6.2.3 ปุ่มหมุนปรับอัตราการไหลของก๊าซ กรณีหมุนปุ่มเปิดให้ก๊าซออกซิเจน ไหลจะสังเกตเห็นลูกลอยภายในกระเปาะขึ้นตามสเกลตัวเลขที่ต้องการ
6.2.4 เกลียวด้านล่างสำหรับต่อกับขวดใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ
6.2.5 ขวดใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อหรือน้ำสะอาดปราศจากเชื้อซึ่งมีเครื่อง
ควบคุมความชื้น (humidifier) ทำให้เกิดความชื้นบริเวณทางเดินหายใจ
6.2.6 อุปกรณ์พร้อมสายให้ก๊าซออกซิเจน มีหลายชนิด ทั้งระบบความ เข้มข้นต่ำ
(low flow system) และระบบให้ทั้งความเข้มข้นต่ำและสูง (high flow system)
อุปกรณ์การให้ออกซิเจนโดยวิธีต่างๆ
อุปกรณ์ให้ก๊าซออกซิเจนระบบความเข้มข้นต่ำ (low flow system)
Nasal Cannula
อุปกรณ์
ด้วยสายท่อพลาสติกวิไนล์ (vinyl plastic) อ่อนนุ่ม ขนาดเล็ก ตรงกึ่งกลางปลายสายท่อมีทางแยกเป็นสายสั้น ๆ 2 สาย ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร สำหรับสอดเข้าช่องจมูกทั้ง 2 ข้าง
การเตรียมการ
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องให้ออกซิเจน เพื่อลดความวิตกกังวล และเพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ดี
ทำความสะอาดช่องจมูกให้ผู้ป่วย
เตรียม Flow meter Humidifier น้ำกลั่น Cannula พร้อมสายต่อ
สอนให้ผู้ป่วยหายใจทางจมูกเสมอ
วิธีการปฏิบัติ
ต่อ Flow meter Humidifier เข้ากับแหล่งออกซิเจนและต่อ Humidifier ที่ใส่น้ำกลั่น 2/3 กระบอกเข้ากับส่วนล่างของ Flow meter Humidifier
ปรับ Humidifier เป็นแบบปุด
สอด Cannula เข้ารูจมูก 2 ข้างของผู้ป่วย โดยจัดให้ปลาย Cannula ชี้ไปทางด้านหลัง ของรูจมูก
จัดสาย Cannula ให้อยู่กับที่โดยคล้องสายทั้งสองข้างผ่านไปเหนือหูของผู้ป่วย และอ้อม หลังหูแต่ละข้างลงมารัดใต้คาง ปรับให้สายรัดพอเหมาะที่ทำให้ผู้ป่วยสุขสบาย หรือรัดสายรอบศีรษะของ ผู้ป่วย (แล้วแต่ชนิดของ Cannula)
ใช้ผ้ากอซบางรองสายรัด ป้องกันการระคายเคือง
ถ้าจำเป็น อาจใช้พลาสเตอร์ยึดสายกับใบหน้าของผู้ป่วย เพื่อป้องกันสายเลื่อน และทำให้ Cannula อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
เปิดออกซิเจนและปรับอัตราการไหลของออกซิเจนตามแผนการรักษา
สังเกตปฏิกิริยาของผู้ป่วย เช่น การหายใจ ชีพจร สีผิว ระดับความรู้สึกตัว
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย โดยคอยปรับสายรัดศีรษะหรือรัดคาง ดูแลทำความ สะอาดช่องจมูก ถ้าหากเกิดการระคายเคือง ทาสารหล่อลื่นชนิดละลายน้ำได้ในช่องจมูกเท่าที่จำเป็น
ข้อดี
ไม่ยุ่งยาก สะดวก ใช้บ่อย ผู้ป่วยพอใจ
พูดคุยได้ดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารได้
กรณีผู้ป่วยหายใจทางปากก๊าซออกซิเจนผ่านระบบทางเดินหายใจได้
ใช้ได้กับผู้ป่วยโรคปอกอุกกั้นเรื้อรั้ง ( Chronic obstructive pulmonary disease) ได้แก่ โรคหลอดลมอุดกั้น เรื้อรังและถุงลมโป่งพอง
ข้อเสีย
ระคายเคืองช่องจมูก กรณีช่องจมูกอุดตันใช้ไม่ได้
การให้มากกว่า 5–6 ลิตรต่อนาทีความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนในโพรงจมูกจะเกินความ พอดีทำให้ปวดโพรงจมูก เลือดกำเดาออก ปวดแก้วหูกล่องเสียงหดเกร็ง ควรเลือกใช้อุปกรณ์ชนิดอื่น อัตรา การไหลของก๊าซออกซิเจน 1–6 ลิตร/นาทีความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนที่ได้รับ (%O2) 24–44
Face Mask
Simple face mask ( Mask without bag)
เป็นหน้ากากครอบจมูกและปาก มีรู เล็ก ๆ หลายรูให้อากาศออกทางด้านข้างทั้ง 2 มีสายรัดกับศีรษะ (Head strap) สายนำออกซิเจนเข้า Mask เป็นสายเล็กธรรมดา ออกซิเจนที่เข้าสู่ simple face mask ควรเป็นชนิด Humidifier แบบปุด
การให้ออกซิเจน 5–6 ลิตร/นาที จะได้ความเข้มข้นของออกซิเจน 35 เปอร์เซ็นต์ ถ้าให้ออกซิเจน 10 ลิตร/ นาที จะได้ความเข้มข้นของออกซิเจน 55 เปอร์เซ็นต์ ไม่ควร ให้ออกซิเจนโดยวิธีนี้ในอัตราที่ต่ำกว่า 5 – 6 ลิตร/นาที
Partial rebreathing mask ( Mask without bag)
มีรูปร่างคล้าย Simple face mask ออกซิเจนจะเข้าไปในถุงพลาสติกที่เป็น Reservoir bag ซึ่งจะต่ออยู่ตอนล่างของ mask ขณะที่ผู้ป่วยหายใจเข้าจะหายใจเอาออกซิเจนจาก Reservoir bag มากกว่าออกซิเจนที่ผ่านเข้ามา โดยตรง ขณะหายใจออก อากาศจะออกตามช่องด้านข้าง ขณะเดียวกันออกซิเจนจากแหล่งกำเนิดจะไหลเข้า Reservoir bag ถ้า Reservoir bag แฟบ จะทำงานเหมือน Simple face mask ต้องสังเกตดูว่าให้ถุง Reservoir bag โป่งและแฟบเป็นระยะตลอด ไม่รั่ว ถ้าอัตราการให้ออกซิเจนโดยวิธีนี้ 6 – 10 ลิตร/นาที จะได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มข้นมากขึ้น Fi O2 60 – 90%
Non – rebreathing mask ( Mask without bag)
ใช้ในผู้ป่วยที่เจาะคอ โดยต่อกับสายออกซิเจนซึ่งผ่านความชื้น มาแล้ว หรืออาจต่อเข้ากับ nebulizer ชนิดใดก็ได้
อุปกรณ์ให้ก๊าซออกซิเจนระบบความเข้มข้นสูง (high flow system)
Venturi mask (Mask without bag)
Tent
Face tent
Croupette tent
Hood or Oxygen box or Hut tents
Oxygen T - Piece
Tracheostomy collar
Heated humidified high flow nasal cannula (HHHFNC)
Oxygen box
เป็นกล่องพลาสติกใส ที่มีขนาดใหญ่กว่า Oxygen hood มีฝาปิด ด้านบนมีกล่องน้ำแข็ง เพื่อควบคุมอุณหภูมิในกล่องไม่ให้ร้อนเกินไป มีท่อสำหรับระบายน้ำแข็งที่ละลายลงถัง เล็ก ๆ ด้านหน้าของกล่องจะมีช่องว่างครึ่งวงกลม เพื่อครอบศีรษะและส่วนของอกเด็กได้ ออกซิเจนที่ใช้ต้อง ผ่าน Humidifier ปรับแบบ Nebulizer โดยใช้ corrugated tube ต่อเข้ากล่อง อัตราของออกซิเจนที่ใช้ 5 –10 ลิตร/นาที
Oxygen box
เป็นกล่องพลาสติกใส ที่มีขนาดใหญ่กว่า Oxygen hood มีฝาปิด ด้านบนมีกล่องน้ำแข็ง เพื่อควบคุมอุณหภูมิในกล่องไม่ให้ร้อนเกินไป มีท่อสำหรับระบายน้ำแข็งที่ละลายลงถัง เล็ก ๆ ด้านหน้าของกล่องจะมีช่องว่างครึ่งวงกลม เพื่อครอบศีรษะและส่วนของอกเด็กได้ ออกซิเจนที่ใช้ต้อง ผ่าน Humidifier ปรับแบบ Nebulizer โดยใช้ corrugated tube ต่อเข้ากล่อง อัตราของออกซิเจนที่ใช้ 5 –10 ลิตร/นาที
Oxygen tent
มีลักษณะเป็นกระโจมหรือมุ้ง ทำด้วยพลาสติกใส คลุมได้ทั้งตัว ใช้เพื่อปรับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้ทั้งออกซิเจน ความชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมตามต้องการ ใช้ในเด็กที่โตเกิน กว่าจะให้โดยวิธี O2 hood หรือ O2 box แต่ในปัจจุบันความนิยมใช้ลดลง เนื่องจากผู้ป่วยไม่ชอบเพราะ เหมือนถูกแยก กักขัง และต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก ปริมาณออกซิเจนที่ใช้โดยทั่วไป 8-10 ลิตร/นาที ใน O2- tent ขนาดเล็ก หรือ 12 –15 ลิตร/นาที ใน O2 - tent ขนาดใหญ่
ขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติในการให้ออกซิเจน
การให้ออกซิเจนโดยใช้ mask ชนิดต่าง ๆ
การเตรียมการ
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องให้ออกซิเจน เพื่อลดความวิตกกังวลและ เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ดี
เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แก่ Flow meter Humidifier น้ำกลั่น และ O2-mask พร้อมสาย (เลือกชนิดและขนาดของ mask ตามต้องการ)
แนะนำญาติ หรือผู้ที่อยู่ในบริเวณ ไม่ให้สูบบุหรี่ และแขวนป้าย ห้ามสูบบุหรี่
วิธีการปฏิบัติ
ต่อ Flow meter Humidifier จากแหล่งออกซิเจน แล้วต่อ Humidifier ที่ใส่น้ำกลั่น 2 /3 ของกระบอกเข้ากับส่วนล่างของ Flow meter Humidifier
ปรับ Humidifier เป็นแบบปุด
ต่อสายนำออกซิเจนขนาดเล็กเข้ากับข้อต่อของ Mask
เปิดออกซิเจนทิ้งไว้ 1 นาที และปรับอัตราการไหลของออกซิเจนให้ได้ตามแผนการรักษา
บอกกับผู้ป่วยและญาติก่อนการให้ออกซิเจนทุกครั้ง
ครอบ Mask ลงบนหน้าของผู้ป่วยโดยวาง Mask บนสันจมูก และให้ผู้ป่วยมีส่วนในการ จัดวาง Mask ให้แนบสนิทกับใบหน้าตนเอง
ใช้สายยางคล้องรอบศีรษะของผู้ป่วย ป้องกันการหลุดของ Mask จัดไม่ให้แน่นหรือหลวม จนเกินไป ใช้ผ้าก๊อซแผ่นบาง ๆ รองสายยางลดการระคายเคืองของผิวหนัง
ในระหว่างให้ O2 - mask ควรสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับการหายใจ ชีพจร สีผิว ระดับความรู้สึกตัว และดูแลให้ผู้ป่วยมีความสุขสบายโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดบริเวณ หน้าและบริเวณที่ครอบ Mask ซับให้แห้ง อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง ดูแลความสะอาดปาก ฟัน ให้ผู้ป่วยดื่ม น้ำ ถ้าไม่ขัดกับแผนการรักษา
ถ้าจำเป็นต้องถอด Mask ชั่วคราว เพื่อให้การพยาบาล ควรกระทำการพยาบาลนั้น ๆ ด้วยความรวดเร็ว และเตรียมการให้ออกซิเจนให้พร้อมต่อได้ทันทีหรือถ้าผู้ป่วยจำเป็นต้องให้ออกซิเจน ตลอดเวลาก็ให้ออกซิเจนทาง Cannular ชั่วคราว
การให้ออกซิเจนทาง O2 hood
การเตรียมการ
อธิบายญาติผู้ป่วยให้เข้าใจถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ผู้ป่วยเด็กต้องได้รับการรักษาด้วย ออกซิเจน เพื่อลดความวิตกกังวล
เตรียม O2 - hood พร้อมสาย Flow meter Humidifier น้ำกลั่น
ต่อสายนำออกซิเจนเข้ากับ Humidifier ซึ่งปรับเป็นแบบปุดแล้วต่อสายออกซิเจนเข้า Hood ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน ตามแผนการรักษา โดยปกติจะใช้อัตราการไหลของออกซิเจน 100 เปอร์เซ็นต์ เป็น 3 – 5 ลิตร/นาที
ใช้ O2 nebulizer วัดความเข้มข้นของ O2 ใน hood ทุก 2 ชั่งโมง โดยความเข้มข้น ของออกซิเจน ไม่ควรเกิน 40 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่จำเป็นต้องให้ออกซิเจนในขนาดสูง ๆ เมื่อผู้ป่วย อาการดีขึ้นต้องลดปริมาณลงทันที
ดูแลอุณหภูมิของออกซิเจนอยู่ระหว่าง 31 – 34 °C เพราะในทารกเกิดก่อนกำหนดและ ทารกแรกเกิดจะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายอย่างรวดเร็ว หากออกซิเจนที่ให้เย็นเกินไป เด็กจะอยู่ ในภาวะ Cold stress ขาดออกซิเจน เกิด metabolic acidosis ได้
การให้ออกซิเจนทาง O2 box
การเตรียมการ
อธิบายญาติผู้ป่วยให้เข้าใจถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ผู้ป่วยเด็กต้องได้รับการรักษาด้วย ออกซิเจน เพื่อลดความวิตกกังวล
เตรียม O2 box พร้อมสาย Corrugated Flow meter Humidifier น้ำกลั่น น้ำแข็ง ถัง พลาสติกรองน้ำทิ้ง
วิธีการปฏิบัติ
ต่อ Flow meter เข้ากับแหล่งออกซิเจน
ต่อ Humidifier ที่ใส่น้ำกลั่น 2/3 ของกระบอกเข้ากับส่วนล่างของ Flow
ต่อสาย corrugated เข้ากับ Humidifier ซึ่งปรับเป็นแบบ Nebulizer เข้ากับ O2 box
ปรับอัตราการไหลของออกซิเจน ตามแผนการรักษา โดยปกติจะใช้อัตราการไหลของ ออกซิเจน 100 เปอร์เซ็นต์ มากกว่า5 ลิตร/นาที เพื่อไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน box
ถ้าผู้ป่วยเด็กมีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37°c ให้ใส่น้ำแข็งในกล่องใส่น้ำแข็ง และต่อสาย ยางจากกล่องน้ำแข็งทิ้งลงในถังพลาสติกที่เตรียมไว้
สังเกตอาการของผู้ป่วย เช่น สีผิว การหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ
หมายเหตุ
ไม่ควรใช้ผ้าปิดด้านหน้าของ O2- box เพราะจะทำให้เกิดการคั่งของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ใน box ได้
การให้ออกซิเจนทาง O2 tent
การให้ O2 - tent ใช้ในเด็กที่โตเกินกว่าจะใช้ O2 -box ปัจจุบันใช้น้อยลง เนื่องจากเทคนิค การให้ออกซิเจนทาง mask และ cannular ในเด็กดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นประโยชน์ในบางกรณี ที่ต้องการ ความชื้นสูง เช่น ในผู้ป่วย Croup
การเตรียมการ
อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการให้ผู้ป่วยนอนใน tent
เตรียม O2 - tent flow meter เครื่องทำความชื้นของ O2 - tent
วิธีการปฏิบัติ
ต่อ Flow meter เข้ากับแหล่งออกซิเจน
เตรียมเตียง โดยปูผ้าพลาสติกคลุมที่นอนก่อนปูผ้าขวางเตียง
จัดเตรียมกาง Tent แล้วต่อสายออกซิเจนจาก Flow meter เข้าเครื่องทำความชื้น
เปิดออกซิเจน 15 ลิตร/นาที เพื่อให้ออกซิเจนเต็ม tent จะใช้เวลาประมาณ 2 – 5 นาที
เสียบปลั๊กไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศของ Tent เพื่อปรับอุณหภูมิตามต้องการเพื่อให้ผู้ป่วย สุขสบาย
จัดท่าผู้ป่วยเด็กให้นอนในท่าสบาย ศีรษะสูงประมาณ 30 องศา เหน็บชาย Tent เข้าใต้ที่ นอนโดยรอบ
ไม่ควรเปิด Tent บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น
ตรวจสอบอุณหภูมิใน Tent ให้คงที่เสมอ
เด็กอาจร้องไห้ ไม่ยอมนอน เพราะถูกแยกจากมารดาควรอนุญาตให้มารดาอยู่ข้างเตียงและ ยื่นมือเข้าไปสัมผัสบุตร
สังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับสีผิวหนัง การหายใจ การเต้นของหัวใจ
หมายเหตุ
ปริมาณการไหลของออกซิเจนใน Tent แต่ละชนิดและขนาด อาจแตกต่างกัน ควรศึกษาการใช้คู่มือการใช้ Tent อย่างละเอียด
การประเมินผล
ในการประเมินผลของการรักษาด้วยออกซิเจน พยาบาลควรติดตามประเมินผลการรักษาว่าดี ขึ้นหรือไม่ ถ้าพบว่าผู้ป่วยดีขึ้น ก็ควรรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาหยุดการให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย ซึ่งการ ประเมินผลการรักษา
สังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย โดยดูเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ดังนี้
ระบบประสาทส่วนกลาง: ผู้ป่วยจะมีระดับความรู้สึกตัวดีขึ้น ไม่มีอาการ
กระสับกระส่าย หรือสับสน เป็นข้อบ่งชี้ว่าออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเพียงพอ
ระบบหายใจ: ผู้ป่วยจะมีอัตราการหายใจลดลงสม่ำเสมอ ลักษณะของการใช้ กล้ามเนื้อหายใจลดลง ผู้ป่วยไม่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกสบายขึ้น
ระบบการไหลเวียนโลหิต : ผู้ป่วยจะมีชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจ ลดลงสม่ำเสมอ สีผิวเป็นสีชมพู อุ่น จำนวนปัสสาวะต่อชั่วโมง อยู่ในเกณฑ์ปกติคือไม่น้อยกว่า 30 มล. ต่อ ชั่วโมง ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ติดตามระดับของความดันออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ความอิ่มตัวของออกซิเจน (O2Sa) ในเลือด และความเป็นกรด – ด่าง ของเลือด
ประเมินภาวะแทรกซ้อนของการรักษาด้วยออกซิเจน แม้ว่าการรักษาด้วยออกซิเจนจะเป็น ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าร่างกายได้รับออกซิเจนมากเกินไป ก็เกิดอันตรายได้
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการใช้ออกซิเจน
Oxygen toxicity (เนื้อเยื่อต่างๆ ปอด ระบบประสาทส่วนกลาง retina ระบบโลหิตวิทยา ระบบ ต่อมไร้ท่อ)
4.1 ผลของออกซิเจน ต่อระบบหายใจ
Tracheobronchitis เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ: ไอ เจ็บหน้าอก Acute respiratory distress syndrome (ARDS) และ Broncho pulmonary dysplasia (BPD): การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาของปอดจากการได้รับ O2 สูงๆ ทำให้มีการบวมหรือมีเลือดออกใน ปอด มีการสูญเสียเซลล์ในถุงลม และส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซไม่ดีและสารลดแรงตึงผิว (surfactant) เสีย ไป
4.2 Absorption atelectasis
เกิดปอดแฟบ เกิดในกรณีที่ใช้ FiO2 สูง ในผู้ป่วยที่ไม่ได้หายใจเข้า ลึก (ตามปกติในถุงลมจะมี nitrogen อยู่ ซึ่งเป็นก๊าซที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงไม่ถูกดูดซึมหมดไปจากถุงลม ทำให้ถุง ลมไม่แฟบ) ไม่มีอากาศผ่านเข้าออกจากถุงลมตลอดเวลา ทำให้ O2 ถูกดูดซึมไปจากถุงลมหมด ทำให้เกิดปอด แฟบตามมา ดังนั้น ควรให้ FiO2 ต่ำที่สุดเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้มีการหายใจเข้าลึกๆ เป็นระยะ
4.3 Retrolental fibroplasia
เกิดในทารกที่คลอดก่อนกำหนด หลังได้รับออกซิเจน เส้นเลือด ของ retina จะหดและมีการทำลายของ endothelial cell ต่อมาจะเกิดการทำลายของ retina และมี proliferation (การงอก) ของเส้นเลือดที่ผิดปกติไปจากเดิม เกิด retinal detachment (จอประสาทตาลอก) จนทำให้ตาบอดได้
4.4 เกิดภาวะหยุดหายใจเพราะออกซิเจน (Oxygen Apnea) ในกรณีผู้ป่วย COPD
4.5 เกิดการกดสมองส่วน cortex มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypoxia เรื้อรัง เช่น COPD
4.6 อาจระคายเคืองต่อหลอดลม ถ้าใช้ O2ไม่ผ่านน้ำเพื่อให้เกิดความชื้น จะทำให้ secretion แห้ง ยากแก่การขับออก
4.7 เกิดไฟไหม้ (O2เป็นก๊าซที่ช่วยให้ไฟลุกได้)