Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม …
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม
ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
สาเหตุและพยาธิสภาพ
ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเอง
โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆ เรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith)
ชิ้นเล็กๆ ตกลงไปอุดกั้นอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง
เกิดจากเนื้อเยื่อต่อมน้ําเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ผนังไส้ติ่งที่หนาตัวขึ้นตามการอักเสบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
เกิดจากการติดเชื้อที่ระบบทางเดิน
หายใจส่วนบน ที่ส่งผลให้ต่อมน้ําเหลืองทั่วร่างกาย รวมทั้งต่อมน้ําเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยา
ตอบสนองด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปปิดกั้นไส้ติ่ง
อาการและอาการแสดง
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวดอาจจะเพียงเล็กน้อยหรือมาก
ปวดตื้อๆ ตลอดเวลาหรืออาจปวดมากเป็นพักๆ อาจมีท้องผูก หรือท้องเสีย
มีอาการกดเจ็บ และ ท้องแข็ง (guarding) มีไข้ อาจสูงถึง 38.3 องศาเซลเซียส
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด
การประเมินและการวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูง
การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจ CT scan
การซักประวัติ ตรวจร่างกายจากอาการและอาการแสดง
แนวทางการรักษา
พิจารณาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อทํา appendectomy สำหรับสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่3
ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
หากอาการไม่รุนแรงอาจพิจารณาทําการผ่าตัดlaparotomyเพื่อทําlaparoscopic
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
ควรวินิจฉัยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบอักเสบขณะตั้งครรภ์ออกจากอาการของโรคอื่น
ถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis)
สาเหตุและพยาธิสภาพ
ขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขนาดของมดลูก ซึ่งทําให้เกิดแรงดันและกดเบียดทําให้การไหลเวียน และระบายของถุงน้ําดีไม่ทําให้ muscle tone และความยืดหยุ่นในถุงน้ําดีลดลง มีการหนาตัวของท่อ น้ําดี เมื่อมีการกดทับเป็นเวลานาน จะทําให้มีการเพิ่มระดับโปรเจสเตอโรน ที่มีผลต่อภาวะ hypercholesterolemia การอักเสบของถุงน้ําดีเฉียบพลัน
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดท้องที่เป็นพักๆ สลับหนักและเบา คลื่นไส้อาเจียน และตัวเหลืองขณะตั้งครรภ์
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกายพบ colicky sign และปวดมากบริเวณ right-upper quadrant or epigastrium
การตรวทางห้องปฏิบัติการ
2.1 ตรวจความเข้มข้นของเลือด CBC พบมีการเพิ่มของ leukocyte
2.2 ตรวจ U/A อาจพบการเพิ่มขึ้นของ WBC
การตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น Radiographic diagnostic การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงอาจ พบมีการขยายของท่อน้ําดีมีการอุดกั้น หรือพบนิ่วในถุงน้ําดี
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด
การรักษา
การทํา Laparoscopic for cholecystectomy/ cholecystectomy
ดูแลให้ใส่สาย Nasogastric suctioning
Analgesia;morphine
ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา
ให้ยาปฏิชีวนะกลุ่มbroad-spectrumที่ครอบคลุมกลุ่มß-lactamทั้งนี้ในสตรีตั้งครรภ์ไตร
มาสที่หนึ่งห้ามให้ chloramphenicol และ tetracycline
ให้งดอาหารและน้ํา
ยาระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ(antispasmodics)
ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก tocolytic therapy
ภาวะลําไส้อุดกั้น (Bowel obstruction)
พยาธิสภาพ
เกิดจากการอุดตันของลําไส้จากพังผืด (adhesions) การบิดของลําไส้ (volvulus) การตีบ ก้อน เนื้องอก หรือไส้เลื่อน
อาการและอาการแสดง
ท้องผูก(constipation)ถ่ายยากถ่ายลําบากถ่ายไม่ออก
ปวดเกร็งแน่นท้อง
อาเจียน
ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆ
การวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่นWBC,electrolyte,X-Ray,MRI
การตรวจร่างกายมีอาการปวดเมื่อคลําทางหน้าท้อง
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การอักเสบและติดเชื้อมดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนดภาวะไม่สมดุลของสารน้ําและอิเล็กโตรลัยท์ปัญหาเกี่ยวกับไต ภาวะปริมาตรเลือดต่ำจากการเสียเลือด ช็อก และเสียชีวิต
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกําหนด คลอดน้ําหนักตัวน้อย ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน ทารกเสียชีวิตในครรภ์
การรักษา
ให้งดอาหารและน้ํา
ใส่สาย Nasogastric tube
ให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา
ให้ยาปฏิชีวนะ
ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์
ให้ออกซิเจน 4 lit/min
พิจารณาการผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศ
ดูแลภาวะท้องผูกภายหลังการผ่าตัด
ติดตามการเกิดซ้ำของภาวะลําไส้อุดกั้นได้อีก ในไตรมาสที่สาม
ติดตามและป้องกันภาวะลําไส้ตาย ภายหลังการผ่าตัด
ถุงน้ํารังไข่ (Ovarian tumor)
สาเหตุและพยาธิสรีรภาพ
มีการโตของ cystic corpus luteum ขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังจะพบภาวะของ ovarian cyst /tumor ที่โตขึ้น ร่วมกับการติดเชื้ออื่นๆของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
อาการและอาการแสดง
ปวดบริเวณปีกมดลูกและรังไข่
การวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง โดยเฉพาะประวัติโรคทางนรีเวช
การตรวจพิเศษ
การตรวจ MRI
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด และคลอดยาก
การรักษา
ส่งชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกมาเพื่อตรวจสอบทางพยาธิวิทยา
เจาะเลือดส่งตรวจค่ามะเร็ง CA-125
หากวินิจฉัยล่าช้าและก้อนยังใหญ่ไม่มาก และการตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด
อาจพิจารณาการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องร่วมกับนําก้อนเนื้องอกออก
การผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์
หากผลการชันสูตรพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ และมารดาต้องได้รับยาเคมีบําบัด ให้งด breast feeding
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Uteri tumor)
อุบัติการณ์
สามารถเกิดได้ 30% แต่จะมีมากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Myoma Uteri
ก้อนของกล้ามเนื้อที่จับตัวเป็นก้อนกลมๆ
Adenomyosis
เนื้องอกที่หนาตัวโดยรวมทั้งหมด เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเข้าไปใน กล้ามเนื้อมดลูก แทรกอยู่ตามกล้ามเนื้อ
อาการและอาการแสดง
ไม่ค่อยแสดงอาการ
อาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุ ครรภ์ที่เพิ่มขึ้น
อาจพบภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์
ตรวจครรภ์พบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุ ครรภ์
การวินิจฉัย
การซักประวัติ โดยเฉพาะประวัติทางนรีเวช
การตรวจพิเศษ
การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจ MRI
การตรวจร่างกายคลําพบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์คลําท่าทารกได้ไม่ชัดเจน
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ระยะคลอด
คลอดยาก และมีโอกาสผ่าตัดคลอดคลอดทางหน้าท้อง
ระยะหลังคลอด
การหดรัดตัวกล้ามเนื้อมดลูกภายหลังคลอดไม่ดี ตกเลือดหลังคลอด และอาจได้รับการตัดมดลูกได้
ระยะต้ังครรภ์
แท้ง คลอดก่อนกําหนด รกลอกตัวก่อนกําหนด และอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้น
การรักษา
ชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัดให้นําส่งตรวจพยาธิวิทยาเพื่อการวินิจฉัยต่อไป
หากก้อนยังใหญ่ไม่มาก ไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ และการ ตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด อาจพิจารณาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเมื่อเข้าสู่ระยะ คลอด
การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัด
การประเมินทางการพยาบาล
การตรวจร่างกาย
การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ การฟังเสียง FHR การบันทึกการดิ้นของทารก การ
ตรวจ NST
การประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
การซักประวัติ
การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
ดูแลให้งดอาหารและน้ําทางปาก
ฟัง FHS ทุก 1-2 ชั่วโมง
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 1-2 ชั่วโมง
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยการ On EFM
เตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดําตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ
การพยาบาลขณะผ่าตัด
จัดท่าในการผ่าตัด
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาและให้ออกซิเจนทันทีระหว่างการผ่าตัดที่พบภาวะ fetal distress
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยการติดเครื่อง EFM ระหว่างการผ่าตัด
การดูแลหลังการผ่าตัด
เฝ้าระวังภาวะ preterm labor
ให้การพยาบาลเหมือนผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป
ประเมินและบันทึก FHS โดยการติดเครื่อง EFM อย่างต่อเนื่อง
ดูแลให้ได้รับยา tocolysis
การพยาบาลเมื่อจําหน่ายกลับบ้าน
ประเมินผู้ให้การดูแล (care giver) ตัวของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่จําเป็นเกี่ยวกับการ ปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน จึงต้องได้รับการให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติอย่างใกล้ชิด และถูกต้องก่อนกลับบ้าน
การบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์ (Trauma during pregnancy)
อุบัติการณ์
พบร้อยละ 7 ของการตั้งครรภ์ และพบภาวะแทรกซ้อนคือการบาดเจ็บทางร่างกาย
ชนิดของการบาดเจ็บที่พบระหว่างการตั้งครรภ์
อุบัติการณ์ของปัญหาความรุนแรงกับสตรีที่สูงขึ้น
อุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ
มีความเสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด รกลอกตัว ก่อนกําหนด มดลูกแตก ทารกในครรภ์ได้รับบาดเจ็บ ทารกตายในครรภ์ ทารกตายคลอด
พยาธิวิทยา
การได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะของมารดา (head injury) จะทําให้มีการฉีกขาดของหลอด เลือดดํา
การตกเลือดในช่องท้องและอวัยวะสืบพันธุ์ (retroperitoneal hemorrhage) จากการ กระทบกระเทือนของช่องท้องส่วนล่างและระบบอวัยวะสืบพันธ์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการบาดเจ็บ
Immediate care
1.2 การช่วยฟื้นคืนชีพควรช่วยชีวิตมารดาเป็นอันดับแรก
1.3 ทีมให้การพยาบาลต้องทําการประเมินอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์ และมี ประสิทธิภาพ
1.1 การพยาบาลควรคํานึงถึงการตั้งครรภ์ร่วมกับการรักษา
Minor trauma
2.1 Bleeding/vg., uterine irritability
2.2 Abdominal tenderness, abdominal pain or cramps
2.3 Hypovolemia
2.4 FHR เปลี่ยนแปลง
2.5 Fetal activity หายหรือลดลง
2.6 Leakage of amnioticfluid
2.7 พบ fetal cell ใน maternalcirculation
Majortrauma
3.1 ในการช่วยฟื้นคืนชีพแบบ ABCs ควรประเมินแบบ systematic evaluation
3.2ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพสําเร็จควรมีการประเมินสภาพร่างกายทั่วไปตามระบบต่างๆ
3.3 กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ พยาบาลผดุงครรภ์และพยาบาลเด็ก ควรประสานงานและทํางานแบบสหวิชาชีพ ร่วมกับแพทย์หลายสาขา และทําหน้าที่ในการดูแล
3.4 ให้การดูแลตามกระบวนการเศร้าโศกและสูญเสีย (Grief and loss support)
3.5 การจําหน่ายสตรีตั้งครรภ์เพื่อกลับบ้าน
การช่วยฟื้นคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น
การตอบสนองขั้นแรก(Firstresponder)
1.1 แจ้ง maternal cardiac arrest team
1.2 บันทึกเวลาที่เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
1.3 จัดท่านอน supine
1.4 เริ่มทําการ chest compressions หากไม่มีการตอบสนองให้ทําตามกระบวนการต่อไปทันที
การตอบสนองขั้นต่อมา(Subsequentresponders)
2.1 การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมารดา (maternal interventions)
2.1.5 ดูแลและประเมินให้กระบวนการ CPR มีคุณภาพ
2.1.6 ให้ IV fluid เหนือ diaphargm
2.1.4 ดูแลให้ได้รับการติด Monitor waveform capnography
2.1.7 ประเมินภาวะ Hypovolemia และดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา
2.1.2 ดูแลให้ได้รับชนิดยา ขนาด ปริมาณและวิถีทางที่ให้ยาให้ถูกต้อง
2.1.8 ดูแลและจัดการให้ท่อทางเดินหายใจโล่ง ไม่อุดกั้นตลอดกระบวนการช่วยคืนชีพ
2.1.3 ดูแลให้ได้รับ 100% oxygen ทางท่อทางเดินหายใจ
2.1.9 กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ได้รับ MgSo4 ทางหลอดเลือดดํา ให้ทําการหยุดทันที และให้Calcium chloride 10 ml ใน 10% solution,
2.1.1 ดูแลและช่วยเหลือในการช็อคไฟฟ้า (defibrillation) ทันที
2.1.10 ระหว่างและหลังการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ดูแลและให้การพยาบาลอย่าง ต่อเนื่องทั้งหมดตามหลักของการช่วยฟื้นคืนชีพต่อจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ
2.2 การปฏิบัติการพยาบาลทางสูติศาสตร์ (Obstetric interventions)
2.2.1 นวดหัวใจด้วยมือ
2.2.2 ถอด internal และ external fetal monitors ออกก่อน
2.3 การเตรียมพร้อมเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกรณีฉุกเฉิน
2.3.1 ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพไปแล้วเป็นเวลา 4 นาที และไม่พบสัญญาณชีพปรากฏ
ให้ทําการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที
2.3.2 ตั้งเป้าหมายให้คลอดภายใน 5 นาที นับจากเวลาที่เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ
ค้นหาและดูแลรักษาปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น(BEAU-CHOPS)
1.1 Bleeding/DIC/accident
1.2 Embolism: coronary/pulmonary/amniotic fluid embolism
1.3 Anesthetic complications
1.4 Uterine atony
1.5 Cardiac disease (MI/ischemia/aortic dissection/cardiomyopathy)
1.6 Hypertension/preeclampsia/eclampsia
1.7 Other: differential diagnosis of standard guidelines, accident, abuse
1.8 Placenta abruptio/previa
1.9 Sepsis