Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ยาในผู้สูงอาย(1) - Coggle Diagram
การใช้ยาในผู้สูงอาย(1)
การเปลี่ยนแปลงทางด้านเภสัชพลศาสตร์และเภสัชจลนศาสตร์ในผู้สูงอายุ
เภสัชพลศาสตร์
(Pharmacodynamics)
หมายถึง การออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกาย กลไกที่ทำให้เกิดฤทธิ์ในการรักษา อาการข้างเคียงและพิษของยา การจับของยาเข้ากับโมเลกุลของร่างกายที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ขนาดยาที่ใช้กับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย
เภสัชจลนศาสตร์
(Pharmacokinetics)
2.1 การดูดซึมยา (drug absorption)
ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมยาในผู้สูงอายุ
การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลงทำให้กระเพาะอาหารมีสภาวะเป็นกรดน้อยลง
การไหลเวียนของเลือดที่ไปยังกระเพาะอาหารลดลง ทำให้การดูดซึมยาลดลง และช้าลง
การเคลื่อนไหวของหลอดอาหารลดลง ทำให้อาหารเข้าสู่กระเพาะอาหารได้ช้ากว่าปกติ
การบีบตัวของกระเพาะอาหารลดลง ทำให้อาหารผ่านจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้ใหญ่ช้าลง จึงต้องใช้เวลานานในการขับอาหารเข้าสู่ลำไส้
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและกล้ามเนื้อ ทำให้การให้ยาผ่านทางชั้นไขมันใต้ผิวหนังหรือชั้นกล้ามเนื้อโดยการฉีดเข้าไปในพลาสม ยาจะกระจายอย่างรวดเร็วทำให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าการให้ยาโดยการรับประทาน การเลือกบริเวณที่จะฉีดยา ไม่ควรเลือกกล้ามเนื้อบางบริเวณในการให้ยา
การสูญเสียเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังในผู้สูงอายุร่วมกับการเปราะของหลอดเลือด ทำให้การให้ ยาทางหลอดเลือดดำมีปัญหาได้ ส่งผลให้การให้สารน้ำทดแทนในภาวะขาดน้ำไม่มีประสิทธิภาพและเกิดผลเสียในระยะยา
2.2 การกระจายตัวของยา (drug distribution)
ปัจจัยที่มีผลต่อการกระจายตัวของยาที่บริหารในผู้สูงอาย
ความเข้มข้นของพลาสมาอัลบูมินลดลง ส่งผลให้ยาจับกับโปรตีนอัลบูลมินลดลง โดยเฉพาะยาในรูปกรดอ่อน เป็นผลให้ระดับยาในรูปสารอิสระเพิ่มขึ้น
ความเข้มข้นของพลาสมาโปรตีน α-acid glycoprotein เพิ่มขึ้นจะจับกับยาในรูปด่างอ่อนได้ดี
ปริมาณไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้ยาที่ละลายในไขมันได้ดีจะสะสมแน่นขึ้น
การไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะต่างๆลดลงทำให้การกระจายตัวของยาช้าลงไปด้วย
จำนวนยาทั้งหมดในร่างกายและน้ำในเซลล์ลดลงเนื่องจากผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า70ปีพบว่า total body water จะลดลงร้อยละ10-15ยาที่ละลายน้ำได้ดีลดลงและอยู่ในรูปสารอิสระเพิ่มขึ้น
2.3 การเปลี่ยนแปลงยา (drug metabolism/biotransformation)
หลังจากที่ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ยาส่วนหนึ่งจะถูกกระบวนการชีวเคมีในตับเปลี่ยนแปลงยา ผลจากความเสื่อมทางสรีรวิทยาและกายวิภาค ทำให้จำนวนเซลล์ตับลดลง ปริมาตรของตับและระบบ ไหลเวียนโลหิตที่ตับลดลง จึงมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงยาทำให้ประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากการทำหน้าที่ของตับถูกจำกัด
การลดลงของการระบบไหลเวียนโลหิตที่ตับยาส่วนใหญ่จะ ถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับ โดยขึ้นกับปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงตับว่าสามารถพาตัวยาเข้าสู่ตับได้มากน้อยเพียงใด
การลดลงของการทำงานของเอนไซม์ต่างๆที่เซลล์ตับ เอนไซม์ต่างๆในเซลล์ตับจะเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของยาให้เป็นโมเลกุลใหม่ที่สามารถละลายน้ำได้ดีและถูกขับออกทางไตได้ง่าย เรียกกระบวนการนี้ว่า biotransformation
2.4 การขับถ่ายยา (drug excretion/renal clearance)
ร่างกายสามารถกำจัดยาออกได้ทางไต ตับ น้ำดีและปอด นอกจากนี้ยายังสามารถขับถ่ายออกได้ทางน้ำนมและเหงื่อได้ด้วยแต่ในปริมาณที่น้อยมาก ยาอาจถูกกำจัดออกทางร่างกายทั้งในรูปที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงหรือถูกเปลี่ยนแปลงก็ได้อวัยวะหลักที่ใช้ขับถ่ายยาคือ ไต
หมายถึง การเป็นไปของยาเมื่อยาเข้าสู่ร่างกาย หรือหมายถึง การที่ร่างกายจัดการกับยาที่ได้รับซึ่งได้แก่ การดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกาย/การกระจายตัวของยา/การเปลี่ยนแปลงของยา/และการขับถ่าย ยาออกจากร่างกายซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้รวมกับขนาดของยาที่ให้จะเป็นสิ่งกำหนดถึงความเข้มข้นของยาในบริเวณที่ยาไปออกฤทธิ์และเป็นผลต่อเนื่องไปถึงความแรงของฤทธิ์ยาที่เกิดขึ้นเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์และระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการสูงอายุที่มีผลต่อการใช้ยา
การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกาย
ในผู้สูงอายุมวลกล้ามเนื้อโดยรวมทั้งปริมาณน้ำใน
ร่างกายจะลดลง ส่งผลกระทบต่อความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดและการกระจายของยาในร่างกาย
มวลกล้ามเนื้อและปริมาณน้ำในร่างกายที่ลดลงในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดพิษของยาได้
ง่ายทั้งยาที่ละลายในน้ำและยาที่ละลายในไขมัน
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ผู้สูงอายุความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจจะลดลง ทำให้ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาทีลดลงเส้นใยอีลาสตินของหลอดเลือดแดงจะมีความยืดหยุ่นลดลง
มีการสะสมของแคลเซียมเพิ่มขึ้นมีการเพิ่มจำนวนของคอลลาเจนบริเวณผนังของหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงยืดหยุ่นน้อยลง
ความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายและความแรงของชีพจรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวสูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร
การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง การเคลื่อนไหวของ อวัยวะในระบบทางเดินอาหารช้าลง ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น อาหารที่ย่อยแล้วจะเคลื่อนตัวลง ลำไส้และขับออกได้ช้าลง ส่งผลต่ออัตราการดูดซึม และการย่อยของยา
ตับหน้าที่เผาผลาญยาก่อนขับออกจากร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจไปเลี้ยงตับลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการเผาผลาญยาของตับลดลง
ถ้าตับเสียหน้าที่จะมีผลทำให้ระดับยาสูงในกระแสเลือด โอกาสเกิดพิษจากยาขึ้นอยู่กับอัตราการเผาผลาญยาที่ลดลง ทำให้ผู้สูงอายุเกิดอาการเหมือนกับได้รับยานั้นอยู่ถึงแม้จะหยุดยาไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงการทำหน้าที่ของไต
หน่วยไตที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติมีน้อยลง ทำให้การทำงานของไตในการขับน้ำและของเสียอื่นๆลดลง การเปลี่ยนแปลงการทำงานของไตที่เกิดขึ้นมีผลต่อการกระจายตัวและการขับถ่ายของยาอย่างมาก ซึ่งจะถูกขับออกทาง ไต เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการทำหน้าที่ของไตยาจะถูกขับออกช้าลง มีผลให้ความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดพิษจากยาได้ง่าย
การเปลี่ยนแปลงการรับรู้และประสาทสัมผัส
การสูญเสียการได้ยิน ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากการใช้ยาที่มีพิษ ต่อหู ทำให้เกิดเสียงดังในหู เวียนศีรษะและสูญเสียการได้ยิน เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Aminoglycoside ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา ประสิทธิภาพในการใช้ยา และการให้ความร่วมมือในการรักษาด้วยยา เช่น รูม่านตามีขนาดเล็กลง และตอบสนองต่อแสงช้าลง การแยกสีลดลง เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเม็ดยาแต่ละชนิดได้ชัดเจน ไม่สามารถอ่านฉลากยาได้ เนื่องจากมองเห็นไม่ชัด