Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม …
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม
ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เจ็บครรภ์คลอดก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด
การประเมิน
การซักประวัติ ตรวจร่างกายจากอาการและอาการแสดง เช่น อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวดหรือท้องเสียท้องแข็ง มีไข้อาจมีการหดรัดตัวของมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูง
การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจ CT scan
อาการ
เริ่มจากอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวดอาจจะเพียงเล็กน้อยหรือมากก็ได้ มีอาการปวดตื้อๆ ตลอดเวลาหรืออาจปวดมากเป็นพักๆ อาจมีท้องผูก หรือท้องเสียก็ได้ มีอาการกดเจ็บ และท้องแข็ง (guarding) มีไข้ อาจสูงถึง 38.3 องค์ศา
แนวทางการรักษา
1.ควรวินิจฉัยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบอักเสบขณะตั้งครรภ์ออกจากอาการของโรคอื่น
2.หากอาการไม่รุนแรงอาจพิจารณาทําการผ่าตัด
3.พิจารณาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อทํา appendectomy สําหรับสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่3
4.ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
5.ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug) เพื่อป้องกันการหดรัดตัวของมดลูก
สาเหตุ
ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชั
ถุงน้ํารังไข่ (Ovarian tumor)
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง โดยเฉพาะประวัติโรคทางนรีเวช
2.การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจMRI
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด และคลอดยาก (dystocia)
อาการ
ปวดบริเวณปีกมดลูกและรังไข่โดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นมีภาวะท้องมานน้ําและในระยะคลอดพบว่ามีการคลอดยาก
การรักษา
การผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopic) เพื่อตัดก้อนเนื้องอกออก (cystectomy) ในกรณีที่ก้อนเนื้อมีขนาดน้อยกว่า 8 เซนติเมตร
ส่งชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกมาเพื่อตรวจสอบทางพยาธิวิทยา
เจาะเลือดส่งตรวจค่ามะเร็ง CA-125
หากวินิจฉัยล่าช้าและก้อนยังใหญ่ไม่มาก และการตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด อาจต้องผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องร่วมกับนําก้อนเนื้องอกออก
หากผลการชันสูตรพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ และมารดาต้องได้รับยาเคมีบําบัด ให้งด breast feeding
สาเหตุ
มีการโตของ cystic corpus luteum ขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังจะพบภาวะของovarian cyst /tumor ที่โตขึ้น ร่วมกับการติดเชื้ออื่นๆของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกได้
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัด
การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
1.ดูแลให้งดอาหารและน้ําทางปาก
2.ฟัง FHS ทุก 1-2 ชั่วโมง
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 1-2 ชั่วโมง
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยการ On EFM
เตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
การพยาบาลขณะผ่าตัด
1.จัดท่าในการผ่าตัด หากเป็นไปได้ควรจัดท่านอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย กึ่งตะแคงซ้าย
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยการติดเครื่องEFM ระหว่างการผ่าตัดเพื่อประเมินเสียงหัวใจของทารกที่อาจเกิดภาวะ fetal distress ได้
การดูแลหลังการผ่าตัด
ให้การพยาบาลเหมือนผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป
เฝ้าระวังภาวะ preterm labor
ประเมินและบันทึกFHS โดยการติดเครื่องEFM อย่างต่อเนื่อง
ดูแลให้ได้รับยา tocolysis
การพยาบาลเมื่อจําหน่ายกลับบ้าน
ประเมินผู้ให้การดูแล (care giver) ตัวของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่จําเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน จึงต้องได้รับการให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติอย่างใกล้ชิดและถูกต้องก่อนกลับบ้าน โดยให้ครอบคลุมเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัดการรับประทานอาหารและการเผาผลาญที่อาจได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด
การประเมินทางการพยาบาล
3.การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ การฟังเสียง FHR การบันทึกการดิ้นของทารก
การตรวจร่างกาย
5.การประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
การซําประวัติ
ภาวะลําไส้อุดกั้น(Bowel obstruction)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การอักเสบและติดเชื้อ มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด ภาวะไม่สมดุลของสารน้ําและอิเล็กโตรลัยท์ ปัญหาเกี่ยวกับไต ภาวะปริมาตรเลือดต่ําจากการเสียเลือด ช็อก และเสียชีวิต
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกําหนด คลอดน้ําหนักตัวน้อย ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน ทารกเสียชีวิตในครรภ์
การรักษา
ให้งดอาหารและน้ํา
ใส่สาย Nasogastric tubeเพื่อการระบาย gastric content
ให้สารน้ําทางหลอดเลือดดํา
ให้ยาปฏิชีวนะ
ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์ โดยใส่เครื่อง EFM
การวินิจฉัย
1.การตรวจร่างกาย มีอาการปวดเมื่อคลําทางหน้าท้อง
2.การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง เช่น อาการปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ ประวัติท้องผูก คลื่นไส้และอาเจียน เป็นต้น
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น WBC
อาการ
2.ปวดเกร็งแน่นท้อง
3.อาเจียน
1.ท้องผูก (constipation) ถ่ายยาก ถ่ายลําบาก ถ่ายไม่ออก
4.ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆ
ถุงน้ําดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis)
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด และคลอดก่อนกําหนด
การวินิจฉัย
1.การตรวจร่างกายพบcolicky sign และปวดมากบริเวณ right-upper quadrant or epigastrium
2.การตรวทางห้องปฏิบัติการ ตรวจความเข้มข้นของเลือด CBC พบมีการเพิ่มของ leukocyte ตรวจU/Aอาจพบการเพิ่มขึ้นของ WBC
การตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น Radiographic diagnosticการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
อาการ
มีอาการปวดท้องที่เป็นพักๆ สลับหนักและเบา (colicky pain)คลื่นไส้อาเจียนโดยเฉพาะภายหลังการรับประทานอาหารที่มีไขมันมีไข้ และตัวเหลืองขณะตั้งครรภ์
การรักษา
1.ให้งดอาหารและน้ํา
2.ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา
3.ดูแลให้ใส่สาย Nasogastric suctioning
4.Analgesia; morphine
5.ให้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม broad-spectrum ที่ครอบคลุมกลุ่ม ß-lactam ทั้งนี้ในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่หนึ่งห้ามให้ chloramphenicol และtetracycline และสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่สามห้ามให้ยากลุ่ม sulfa
สาเหตุ
ขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขนาดของมดลูก ซึ่งทําให้เกิดแรงดันและกดเบียดทําให้การไหลเวียนและระบายของถุงน้ําดีไม่ทําให้ muscle tone และความยืดหยุ่นในถุงน้ําดีลดลง มีการหนาตัวของท่อน้ําดี
การช่วยฟื้นคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น
หลักในการปฏิบัติ การช่วยฟื้นคืนคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น
2.การตอบสนองขั้นต่อมา (Subsequent responders)
2.1 การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมารดา (maternal interventions)
ดูแลและช่วยเหลือในการช็อคไฟฟ้า (defibrillation) ทันที
ดูแลให้ได้รับชนิดยา ขนาด ปริมาณและวิถีทางที่ให้ยาให้ถูกต้อง
ดูแลให้ได้รับ 100% oxygen ทางท่อทางเดินหายใจ
ดูแลให้ได้รับการติด Monitor waveform capnography
ดูแลและประเมินให้กระบวนการ CPR มีคุณภาพ
2.2 การปฏิบัติการพยาบาลทางสูติศาสตร์ (Obstetric interventions)
นวดหัวใจด้วยมือ โดยจัดให้มดลูกเลื่อนขึ้นไปด้านบนซ้ายของลําตัว เพื่อลดการกดทับหลอดเลือด aortocaval
ถอด internal และ external fetal monitors ออกก่อน
2.3 การเตรียมพร้อมเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกรณีฉุกเฉิน
ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพไปแล้วเป็นเวลา 4 นาที และไม่พบสัญญาณชีพปรากฏ ให้ทําการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที
ตั้งเป้าหมายให้คลอดภายใน 5 นาที นับจากเวลาที่เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ
3.ค้นหาและดูแลรักษาปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น(BEAU-CHOPS)
สิ่งหลุดอุดหลอดเลือด (Embolism: coronary/pulmonary/amniotic fluid embolism)
ภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยาระงับความรู้สึก (Anesthetic complications)
ภาวะเลือดออก (Bleeding/DIC/accident)
ภาวะมดลูกไม่หดรัดตัว (Uterine atony)
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac disease)
1.การตอบสนองขั้นแรก (First responder)
บันทึกเวลาที่เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
จัดท่านอน supine
แจ้ง maternal cardiac arrest team
เริ่มทําการ chest compressions วางมือไว้เหนือกระดูก sternum โดยตําแหน่งที่วางจะสูงกว่าในคนปกติเล็กน้อย)
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Uteri tumor)
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ระยะตั้งครรภ์
แท้งคลอดก่อนกําหนดรกลอกตัวก่อนกําหนด และอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้นนขณะตั้งครรภ์
ระยะคลอด
คลอดยากและมีโอกาสผ่าตัดคลอดคลอดทางหน้าท้อง
ระยะหลังคลอด
การหดรัดตัวกล้ามเนื้อมดลูกภายหลังคลอดไม่ดีตกเลือดหลังคลอดและอาจได้รับการตัดมดลูกได้
การรักษา
การผ่าตัดด้วย Laparoscopic myomectomy ควรทําเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์
ชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัดให้นําส่งตรวจพยาธิวิทยาเพื่อการวินิจฉัยต่อไป
3.หากก้อนยังใหญ่ไม่มากไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์และการตั้งครรภ์สามารถดําเนินต่อไปจนครบกําหนด อาจพิจารณาผ่าตัดคลอด
การวินิจฉัย
1.การตรวจร่างกายคลําพบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์ คลําท่าทารกได้ไม่ชัดเจน
การซักประวัติ โดยเฉพาะประวัติทางนรีเวช มีเลือดออกทางช่องคลอด มีอาการปวดท้องที่ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
3.การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจ MRI
อาการ
มักทราบก่อนการตั้งครรภ์ไม่ค่อยแสดงอาการปวดท้องโดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นอาจพบภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์ได้
การบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์(Trauma during pregnancy)
ชนิดของการบาดเจ็บที่พบระหว่างการตั้งครรภ์
อุบัติการณ์ของปัญหาความรุนแรงกับสตรีที่สูงขึ้น ทําให้พบการบาดเจ็บจากความรุนแรงได้บ่อยขึ้นในขณะตั้งครรภ์ สตรีตั้งครรภ์วัยผู้ใหญ่ ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายและทางเพศขณะตั้งครรภ์
อุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
มักพบว่ามีความเสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกําหนด คลอดก่อนกําหนด รกลอกตัวก่อนกําหนด มดลูกแตก ทารกในครรภ์ได้รับบาดเจ็บ ทารกตายในครรภ์ ทารกตายคลอด
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการบาดเจ็บ
2.Minor trauma
2.1 Bleeding
2.2 Abdominal tenderness
2.3 Hypovolemia
3.Major trauma
3.1 ในการช่วยฟื้นคืนชีพแบบ ABCs ควรประเมินแบบ systematic evaluation ก่อนให้การดูแล
3.2 ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพสําเร็จ ควรมีการประเมินสภาพร่างกายทั่วไปตามระบบต่างๆ
3.3 กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ พยาบาลผดุงครรภ์และพยาบาลเด็กควรประสานงานและทํางานแบบสหวิชาชีพ
3.4 ให้การดูแลตามกระบวนการเศร้าโศกและสูญเสีย (Grief and loss support)
3.5การจําหน่ายสตรีตั้งครรภ์เพื่อกลับบ้าน
1.Immediate care
1.2 การช่วยฟื้นคืนชีพควรช่วยชีวิตมารดาเป็นอันดับแรก
1.1 การพยาบาลควรคํานึงถึงการตั้งครรภ์ร่วมกับการรักษา ประเมินและวินิจฉัย การให้ยา และการช่วยฟื้นคืนชีพ
1.3 ทีมให้การพยาบาลต้องทําการประเมินอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพ