Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม …
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงหรือแทรกซ้อนทางนริเวชกรรมและศัลยกรรม
ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
สาเหตุและพยาธิสภาพ
เกิดจากมีภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่งส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆ เรียกว่า "นิ่วอุจจาระ"
เกิดจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue)ที่ผนังไส้ติ่งที่หนาตัวขึ้นตามการอักเสบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
การตั้งครรภ์เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สองมดลูกที่โตขึ้น จะทำให้การคลำหาตำแหน่งที่อักเสบได้ยากขึ้น เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้นจะดันเบียดลำไส้เล็กส่วนซีคัม (cecum) ให้เลื่อนสูงขึ้นไปทางด้านหลัง ด้านขวา จึงทำให้การวินิจฉัยที่แน่นอนทำได้ยาก ระดับเม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นอาจไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีการอักเสบติดเชื้อขึ้นในร่างกายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาขณะตั้งครรภ์โดยปกติก็มีระดับเม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นมากกว่าปกติอยู่แล้ว
อาการและอาการแสดง
เริ่มจากอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาการปวด มีอาการปวดตื้อๆ ตลอดเวลาหรืออาจปวดมากเป็นพักๆ อาจมีท้องผูก หรือท้องเสียก็ได้ มีอาการกดเจ็บ และท้องแข็ง (guarding) มีไข้ อาจสูงถึง 38.3 องศาเซลเซียส
อาการทางระบบทางเดินอาหาร อาจจะเชื่อถือไม่ได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งอาจแตกทะลุทำให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis) และอาจเกิดเป็นก้อนถุงหนองได้
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และคลอดก่อนกำหนด
การประเมินและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ ตรวจร่างกายจากอาการและอาการแสดง เช่น อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้
อาเจียน
2.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจพบเม็ดเลือดขาวสูง
3.การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
แนวทางการรักษา
1.ควรวินิจฉัยแยกโรคไส้ติ่งอักเสบขณะตั้งครรภ์ออกจากอาการของโรคอื่น
2.หากอาการไม่รุนแรงอาจพิจารณาทำการผ่าตัด laparotomy เพื่อทำ laparoscopic อายุครรภ์ที่เหมาะสมที่สามารถทำได้คือเมื่ออายุครรภ์อยู่ในไตรมาสที่หนึ่งและสอง
3.พิจารณาการผ่าตัดทางหน้าท้อง เพื่อทำ appendectomy สำหรับสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่3
4.ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
5.ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drug)
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน (Acute Cholecystitis)
สาเหตุและพยาธิสภาพ
ขณะตั้งครรภ์มีการเพิ่มขนาดของมดลูก ซึ่งทำให้เกิดแรงดันและกดเบียดทำให้การไหลเวียนและระบายของถุงน้ำดีไม่ ทำให้ muscle tone และความยืดหยุ่นในถุงน้ำดีลดลง
มีการหนาตัวของท่อน้ำดี เมื่อมีการกดทับเป็นเวลานาน จะทำให้มีการเพิ่มระดับโปรเจสเตอโรน ที่มีผลต่อภาวะhypercholesterolemia การอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลันพบได้บ่อยในมารดาที่มีอายุมาก
มารดาที่มีประวัติการอักเสบของถุงน้ำดีอยู่แล้ว ซึ่งการอักเสบส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดกั้นของ ถุงน้ำดีการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี และอาจเกิดภาวะ pancreatitis ตามมาได้
อาการและอาการแสดง
ปวดท้องที่เป็นพักๆ สลับหนักและเบา (colicky pain) คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะภายหลังการรับประทานอาหารที่มีไขมันมีไข้ และตัวเหลืองขณะตั้งครรภ
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด และคลอดก่อนกำหนด
การวินิจฉัย
1.การตรวจร่างกายพบ colicky sign และปวดมากบริเวณ right-upper quadrant or epigastrium
2.การตรวทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจความเข้มข้นของเลือด CBC พบมีการเพิ่มของ leukocyt
ตรวจ U/A อาจพบการเพิ่มขึ้นของ WBC
3.การตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น Radiographic diagnostic การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงอาจ
พบมีการขยายของท่อน้ำดีมีการอุดกั้น หรือพบนิ่วในถุงน้ำด
การรักษา
1.ให้งดอาหารและน้ำ
2.ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
3.การทำ Laparoscopic for cholecystectomy/ cholecystectomy ปลอดภัยที่สุดหากทำในการตั้งครรภ์ไตรมาสที่สองเนื่องจากทารกมีการแบ่งตัวที่สมบูรณ์และมดลูกมีขนาดไม่ใหญ่มาก และไม่เสี่ยงต่อการแท้ง
4.ดูแลให้ใส่สาย Nasogastric suctioning
5.Analgesia; morphine
6.ให้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม broad-spectrumในสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่หนึ่งห้ามให้ chloramphenicolและ tetracycline และสตรีตั้งครรภ์ไตรมาสที่สามห้ามให้ยากลุ่ม sulfa
7.ยาระงับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (antispasmodics)
8.ให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก tocolytic therapy
ภาวะลำไส้อุดกั้น (Bowel obstruction)
พยาธิสภาพ
เกิดจากการอุดตันของลำไส้จากพังผืด(adhesions) การบิดของลำไส้ (volvulus) การตีบ ก้อนเนื้องอก หรือไส้เลื่อน
การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องหรือมีประวัติการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน โดยภาวะลำไส้อุดกั้นจะเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 20-25 สัปดาห์ มักแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สามเนื่องจากการขยายของมดลูกจะมีผลต่อลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่โดยตรง
จะมีผลต่อการทำงานและการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ที่ลดลง การไหลเวียนเลือดในร่างกายจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่สารอาหารในหลอดเลือดลดลง ลำไส้ที่มีการอุดกั้นจะบวม และมีการแข็งของเศษอาหารและอุจจาระ การบีบตัวของลำไส้อาจเพิ่มขึ้นได้กรณีที่มีการบีบตัวของอาหารย้อนกลับและพบมีการบวมตามร่างกาย เนื่องจากภาวะไม่สมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยท์ร่วมกับมีการอักเสบของลำไส้
อาการและอาการแสดง
ท้องผูก (constipation) ถ่ายยาก ถ่ายลำบาก ถ่ายไม่ออก
ปวดเกร็งแน่นท้อง
อาเจียน
ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆ
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย มีอาการปวดเมื่อคลำทางหน้าท้อง
การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง เช่น อาการปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น WBC, electrolyte, X-Ray, MRI
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
การอักเสบและติดเชื้อ
มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
ภาวะปริมาตรเลือดต่ำจากการเสียเลือด ช็อก และเสียชีวิต
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง
คลอดก่อนกำหนด
ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
การรักษา
ให้งดอาหารและน้ำ
ใส่สาย Nasogastric tube เพื่อการระบาย gastric content
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ให้ยาปฏิชีวนะ
ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทางรกในครรภ์ โดยใส่เครื่อง EFM
ให้ออกซิเจน 4 lit/min
พิจารณาการผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศ
ดูแลภาวะท้องผูก (constipation) ภายหลังการผ่าตัด
9.ติดตามการเกิดซ้ำของภาวะลำไส้อุดกั้นได้อีก (recurrent obstruction ในไตรมาสที่สาม
ติดตามและป้องกันภาวะลำไส้ตาย (bowel necrosis) ภายหลังการผ่าตัด
ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian tumor)
สาเหตุและพยาธิสรีรภาพ
มีการโตของ cystic corpus luteum ขณะตั้งครรภ์
พบภาวะของ ovarian
cyst /tumor ที่โตขึ้น
การติดเชื้ออื่นๆของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
มีขนาดโตขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ โดยพบว่าก้อนเนื้อนั้นกลายเป็นมะเร็งรังไข่ได้ 1:25,000รายของการตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
ปวดบริเวณปีกมดลูกและรังไข่โดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นีภาวะท้องมานน้ำ และในระยะคลอดพบว่ามีการคลอดยาก
การวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง โดยเฉพาะประวัติโรคทางนรีเวช
การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจ MRI
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
เสี่ยงต่อการแท้ง
มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
คลอดก่อนกำหนด
คลอดยาก (dystocia)
การรักษา
การผ่าตัดโดยการส่องกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopic)
ส่งชิ้นเนื้อที่ผ่าตัดออกมาเพื่อตรวจสอบทางพยาธิวิทยา
เจาะเลือดส่งตรวจค่ามะเร็ง CA-125
หากวินิจฉัยล่าช้าและก้อนยังใหญ่ไม่มาก และการตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปจนครบกำหนดพิจารณาการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องร่วมกับนำก้อนเนื้องอกออก C/S with hysterectomy ora bilateral salphigo-oophorectomy ภายหลังได้
หากผลการชันสูตรพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ และมารดาต้องได้รับยาเคมีบำบัด ให้งด breast feeding
เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก (Uteri tumor)
อุบัติการณ์
สามารถเกิดได้ 30% แต่จะมีมากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Myoma Uteri
ก้อนของกล้ามเนื้อที่จับตัวเป็นก้อนกลมๆ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามอายุ หากอายุ 30 ปีขึ้นไป
หากพบว่ามีภาวะ Myoma ในช่วงตั้งครรภ์ การดำเนินของโรคจะเป็นได้ 3 รูปแบบ
1)ขนาดเท่าเดิม 2)โตขึ้น 1 ใน 3 และ 3) เล็กลง 1 ใน 3
Adenomyosis
เนื้องอกที่หนาตัวโดยรวมทั้งหมด เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก แทรกอยู่ตามกล้ามเนื้ออาจเกิดการฝ่อของเนื้องอกขณะตั้งครรภ์ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์
อาการและอาการแสดง
ไม่ค่อยแสดงอาการ ปวดท้องโดยอาการปวดจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น
อาจพบภาวะเลือดออกขณะตั้งครรภ์
ตรวจครรภ์พบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุ
ครรภ์คลำท่าทารกได้ยาก
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกายคลำพบขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์ คลำท่าทารกได้ไม่ชัดเจน
การซักประวัติ โดยเฉพาะประวัติทางนรีเวช มีเลือดออกทางช่องคลอด
การตรวจพิเศษ เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจ MRI
ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
ระยะตั้งครรภ์
แท้ง คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด และอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้นนขณะตั้งครรภ์
ระยะคลอด
คลอดยาก และมีโอกาสผ่าตัดคลอดคลอดทางหน้าท้อง
ระยะหลังคลอด
การหดรัดตัวกล้ามเนื้อมดลูกภายหลังคลอดไม่ดีตกเลือดหลังคลอด และอาจได้รับการตัดมดลูก
การรักษา
การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Laparoscopic myomectomy) ควรทำเมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ ไม่ควรเกิน 18 สัปดาห์
ชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัดให้นำส่งตรวจพยาธิวิทยาเพื่อการวินิจฉัยต่อไป
หากก้อนยังใหญ่ไม่มาก ไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ การตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปจนครบกำหนด อาจพิจารณาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัด
การประเมินทางการพยาบาล
1.การซักประวัติ
2.การตรวจร่างกาย
3.การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ การฟังเสียง FHR การบันทึกการดิ้นของทารก การ
ตรวจ NST
5.การประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล
ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการผ่าตัด เพื่อลดความกลัวเกี่ยวกับการสูญเสียบุตร
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
1.ดูแลให้งดอาหารและน้ำทางปาก
2.ฟัง FHS ทุก 1-2 ชั่วโมง
3.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 1-2 ชั่วโมง
4.ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วยการ On EFM (electro fetal monitor)
5.เตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
6.ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
7.ดูแลให้ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ
การพยาบาลขณะผ่าตัด
1.จัดท่าในการผ่าตัด หากเป็นไปได้ควรจัดท่านอนหงายศีรษะสูงเล็กน้อย กึ่งตะแคงซ้าย
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา และเตรียมให้ออกซิเจนทันทีระหว่างการผ่าตัดที่พบภาวะ fetal distress
ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยการติดเครื่อง EFM ระหว่างการผ่าตัด เพื่อประเมินเสียงหัวใจของทารกที่อาจเกิดภาวะ fetal distressรวมถึงประเมินการหดรัดตัวของมดลูกก่อนกำหนด
การดูแลหลังการผ่าตัด
ให้การพยาบาลเหมือนผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป
เฝ้าระวังภาวะ preterm labor
ประเมินและบันทึก FHS โดยการติดเครื่อง EFM อย่างต่อเนื่อง
ดูแลให้ได้รับยา tocolysis
การพยาบาลเมื่อจำหน่ายกลับบ้าน
ประเมินผู้ให้การดูแล (care giver) ตัวของสตรีตั้งครรภ์ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่จำเป็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน จึงต้องได้รับการให้ความรู้ การมาตรวจตามนัด ยาและการรักษาที่ได้รับ แหล่งสนับสนุนที่สามารถช่วยเหลือเมื่อฉุกเฉิน หากการตั้งครรภ์ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ ควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับ การนับลูกดิ้น อาการและอาการแสดงของการคลอดก่อนกำหนด
การบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์(Trauma during pregnancy)
อุบัติการณ์
พบร้อยละ 7 ของการตั้งครรภ์ และพบภาวะแทรกซ้อนคือการบาดเจ็บทางร่างกาย โดยเฉพาะเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นก็ยิ่งพบว่ามีความเสี่ยงในการบาดเจ็บระหว่างการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น ไตรมาสที่สามพบการเกิดการบาดเจ็บมากกว่าไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ โดยร้อยละ 10
ชนิดของการบาดเจ็บที่พบระหว่างการตั้งครรภ์
อุบัติการณ์ของปัญหาความรุนแรงกับสตรีที่สูงขึ้น
อุบัติเหตุเกี่ยวกับยานยนต์
การเกิดรถชน
มอเตอร์ไซด์ล้ม
การหกล้มและกระแทก
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ความเสี่ยงต่อการแท้ง
มดลูกหดรัดตัวก่อนกำหนด
คลอดก่อนกำหนด
รกลอกตัวก่อนกำหนด
ทารกตายในครรภ์
พยาธิวิทยา
การได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะของมารดา (head injury)มีการฉีกขาดของหลอดเลือดดำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการตายของมารดาทำให้มีการเสียชีวิตของทารกในครรภ
การตกเลือดในช่องท้องและอวัยวะสืบพันธุ์ (retroperitoneal hemorrhage) กระทบกระเทือนของช่องท้องส่วนล่างและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ โดยอาจพบการแตกหรือฉีกขาดของ
ตับ ม้าม และไต
Abruptio placenta ภายในเวลา 48 ชม. หลังการบาดเจ็บ มักพบการลอกตัวของรกโดยการลอกตัวของรกเกิดจากสาเหตุของการเสียรูปร่างของ elastic myometrium รอบๆจากการเพิ่มแรงดันที่เกิดจากการกระแทกในมดลูกทำให้มีการลอกตัวของ decidua basalis
Pelvic fracture อาจพบภาวะของ bladder trauma, retroperitoneal bleeding
Uterine rupture เกิดการฉีกขาด หรือแตก ขณะได้รับบาดเจ็บ พบได้ร้อยละ
0.6 ของการตั้งครรภ์
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการบาดเจ็บ
1.Immediate care
คำนึงถึงการตั้งครรภ์ร่วมกับการรักษา ตั้งแต่การประเมินและวินิจฉัย การให้ยา และการช่วยฟื้นคืนชีพ
การช่วยฟื้นคืนชีพควรช่วยชีวิตมารดาเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากสามารถช่วยชีวิตแม่ได้แล้ว จึงให้การดูแลทารกในครรภ์ต่อไป
ทีมให้การพยาบาลต้องทำการประเมินอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพ ต้องสามารถประเมินระดับและความเสี่ยงของการตั้งครรภ์
2.Minor trauma
Bleeding/vg., uterine irritability
Abdominal tenderness, abdominal pain or cramps
Hypovolemia
FHR เปลี่ยนแปลง
Fetal activity หายหรือลดลง
Leakage of amnioticfluid
พบ fetal cell ใน maternalcirculation
3.Major trauma
ในการช่วยฟื้นคืนชีพแบบ ABCs ควรประเมินแบบ systematic evaluation ก่อนให้
การดูแล
ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพสำเร็จ ควรมีการประเมินสภาพร่างกายทั่วไปตามระบบต่างๆ
ทีมสูติกรรม (Obstetrics)
ทีมวิสัญญี (Anesthesia)
ทีมดูแลทารกในครรภ์(Neonatology)
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ พยาบาลผดุงครรภ์และพยาบาลเด็กควรประสานงานและทำงานแบบสหวิชาชีพ
ให้การดูแลตามกระบวนการเศร้าโศกและสูญเสีย (Grief and loss support)
การจำหน่ายสตรีตั้งครรภ์เพื่อกลับบ้าน สอนเกี่ยวกับ
การสังเกตอาการเลือดออกหรือมีสารคัดหลั่งออกจากแผล
การดิ้นของทารกในครรภ์
Signs and symptom of preterm labor
Signs and symptom PROM
Signs and symptom placenta abrubtion
หากการบาดเจ็บเกิดจากอุบัติเหตุ ควรแนะนำการคาดเข็มขัดนิรภัยที่ถูกต้อง
หากเกิดจากการถูกกระทำความรุนแรงควรแนะนำเกี่ยวกับวงจรการเกิดความรุนแรง แนะนำแหล่งช่วยเหลือเมื่อฉุกเฉิน
การช่วยฟื้นคืนชีพในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น
การตอบสนองขั้นแรก (First responder)
แจ้ง maternal cardiac arrest team
บันทึกเวลาที่เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
จัดท่านอน supine
เริ่มทำการ chest compressions วางมือไว้เหนือกระดูก sternum โดยตำแหน่งที่วาง
จะสูงกว่าในคนปกติเล็กน้อย
การตอบสนองขั้นต่อมา (Subsequent responders)
การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมารดา (maternal interventions)
ดูแลและช่วยเหลือในการช็อคไฟฟ้า (defibrillation) ทันที
ดูแลให้ได้รับชนิดยา ขนาด ปริมาณและวิถีทางที่ให้ยาให้ถูกต้อง
ดูแลให้ได้รับ 100% oxygen ทางท่อทางเดินหายใจ
ดูแลให้ได้รับการติด Monitor waveform capnography
ดูแลและประเมินให้กระบวนการ CPR มีคุณภาพ
ให้ IV fluid เหนือ diaphargm
ประเมินภาวะ Hypovolemia และดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
ดูแลและจัดการให้ท่อทางเดินหายใจโล่ง ไม่อุดกั้นตลอดกระบวนการช่วยคืนชีพ
กรณีที่สตรีตั้งครรภ์ได้รับ MgSo4 ทางหลอดเลือดดำ ให้ทำการหยุดทันที และให้ Calcium chloride 10 ml ใน 10% solution
ระหว่างและหลังการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง ดูแลและให้การพยาบาลอย่างต่อเนื่องทั้งหมดตามหลักของการช่วยฟื้นคืนชีพต่อจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ
การปฏิบัติการพยาบาลทางสูติศาสตร์ (Obstetric interventions)
นวดหัวใจด้วยมือ โดยจัดให้มดลูกเลื่อนขึ้นไปด้านบนซ้ายของลำตัว
ถอด internal และ external fetal monitors ออกก่อน (หากมี)
การเตรียมพร้อมเพื่อผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกรณีฉุกเฉิน
ภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพไปแล้วเป็นเวลา 4 นาที และไม่พบสัญญาณชีพปรากฏ ให้ทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องทันที
ตั้งเป้าหมายให้คลอดภายใน 5 นาที นับจากเวลาที่เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ
3.ค้นหาและดูแลรักษาปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น (BEAU-CHOPS)
Bleeding/DIC/accident
Embolism:coronary/pulmonary/amniotic fluid embolism
Anesthetic complications
Uterine atony
Cardiac disease (MI/ischemia/aortic dissection/cardiomyopathy)
Hypertension/preeclampsia/eclampsia
Sepsis